ไม่นึกเลยว่า Star Wars: The Last Jedi หรือในชื่อไทยว่า สตาร์ วอร์ส: ปัจฉิมบทแห่งเจได ภาคที่ 8 ของซีรีส์ Star Wars หนึ่งในแฟรนไชส์หนังที่โด่งดังที่สุดในโลก จะเป็นภาคต่อที่ “สนุก มัน ครบรส” แหกขนบหนัง Star Wars แบบเดิมๆ จนหมดสิ้น นอกจากจะเป็นภาคที่ยาวที่สุดแล้ว ยังเป็นภาคที่เนื้อเรื่องมีความพลิกผัน “หักมุม” มากที่สุดเช่นกัน ใครที่คิดจะตีตั๋วไปดู ขอบอกว่าคุ้มค่า และต้องรีบเลย ก่อนจะโดนสปอยล์! หากเผลอโดนสปอยล์ไปละก็ ความสนุกที่จะได้รับจากภาคนี้จะหายไปกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
หมายเหตุ: ใครที่ยังไม่ได้ดูสามารถอ่านบทความนี้ได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวโดนสปอยล์!!!
Star Wars: The Last Jedi เล่าเรื่องราวต่อจาก The Force Awakens เมื่อ “เรย์” ที่เริ่มค้นพบพลัง (Force) ในตัว ได้เดินทางมาพบกับตำนานเจได “ลุค สกายวอร์คเกอร์” เพื่อศึกษาวิถีแห่งพลัง และขอให้ลุค เจได “ความหวัง” คนสุดท้าย กลับมาช่วยเหลือกลุ่มต่อต้านที่นำโดย “เจ้าหญิงเลอา” หยุดยั้งกองทัพปฐมภาคี “ไคโล เรน” และผู้นำสูงสุดสโนค.. ในขณะที่กลุ่มต่อต้าน ต้องรับมือกับปฐมภาคีที่ได้ค้นพบแหล่งกบดานที่สุดท้ายของกลุ่มต่อต้าน และส่งกำลังเข้าโจมตีอย่างเต็มกำลัง หมายกวาดล้างกลุ่มต่อต้านให้สิ้นซาก
...
จาก Star Wars: The Force Awakens ของ เจ.เจ. เอบรามส์ ที่เป็นการเริ่มต้นตำนาน Star Wars ไตรภาคใหม่ได้อย่างงดงาม แต่เขากลับส่งไม้ในการสร้างภาคต่อมาที่ ไรอัน จอห์นสัน ผู้กำกับที่แฟนหนังชาวไทยน่าจะรู้จักจากเรื่อง Looper เมื่อปี 2012 มากที่สุด ที่ทำหน้าที่เขียนบทและกำกับภาคนี้ด้วยตัวเอง แม้จะรู้ว่าผู้กำกับคนนี้เป็น “คนมีของ” อยู่พอตัว แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจนักกับการมากำกับ Star Wars ของเขา อย่างไรก็ตาม ก็แอบคาดหวังว่า ไรอัน จอห์นสัน จะทำ The Last Jedi ออกมาดีได้พอๆ กับที่ เจ.เจ. เอบรามส์ ทำไว้ใน The Force Awakens แต่ผิดคาดเมื่อสุดท้ายสิ่งที่ได้ กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อหนังสนุกกว่า แปลกกว่า สดใหม่กว่า และดีกว่า The Force Awakens อย่างชัดเจน
“หนังครบเครื่องความบันเทิงมากๆ” อะไรที่เป็นจุดขายของ Star Wars จัดมาครบ! ทั้งฉากต่อสู้บนอวกาศที่จัดเต็มมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ที่แม้จะเป็นฉากที่ไม่ได้ใหญ่อะไรเลย เมื่อเทียบกับการยิงถล่มสถานีดวงดาวในภาคที่แล้ว แต่มันมีกลยุทธ์ มีชั้นเชิงในการต่อสู้ ที่ทำให้คนดูได้ลุ้นและเอาใจช่วย การต่อสู้กันด้วยพลังและไลท์เซเบอร์ระหว่าง เรย์ และ ไคโล เรน ที่มีลูกเล่นใหม่ๆ มานำเสนอเพียบ และที่เสริมให้หนังสนุกขึ้นไปอีกก็คือ “มุกตลก” ใช่ครับ! อ่านไม่ผิด ภาคนี้เป็นภาคที่ใส่ซีนเรียกเสียงฮาเข้ามาเยอะมากอย่างเห็นได้ชัด แถมยังเป็น “มุกฉลาดๆ” ที่ไม่ทำร้ายโทนหนังในภาพรวม นอกจากนี้ยังเคารพงานต้นฉบับ (ภาค 4-5-6) ด้วยการ “ฉาก” ที่ใส่เข้ามา ที่ทำให้แฟนพันธุ์แท้ต้องกรี๊ดแน่นอน!
...
Star Wars: The Last Jedi ทำลายขนบเดิมๆ ของหนัง Star Wars ลงอย่างสิ้นเชิง เนื้อเรื่องในภาคนี้เต็มไปด้วย “เซอร์ไพรส์” เหตุการณ์พลิกผันชวนอึ้ง ที่ชอบเป็นพิเศษ คือการตีประเด็นเก่าๆ อย่างเรื่องความดีความชั่ว เรื่องของพลัง (Force) จนได้มุมมองใหม่ๆ และการเติมรายละเอียดของสงครามระหว่างกลุ่มต่อต้านและปฐมภาคี ที่ทำให้คนดูได้ขยายมุมมองต่อสงครามอวกาศในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากการต่อสู้ระหว่างขาวกับดำ ที่จะว่าไปมันก็สะท้อนกับความเป็นจริงในสังคมโลกทุกวันนี้ ในแบบที่ไม่เคยมีภาคใดทำมาก่อน
ซึ่งทั้งหมดคงต้องยกความดีความชอบให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน ที่เขียนบทหนัง Star Wars ได้อย่างมีชีวิตชีวา มอบความสดใหม่ให้กับแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ จนก้าวข้ามเรื่องราวที่วนเวียนอยู่กับ “ตระกูลสกายวอล์คเกอร์” และเปี่ยมพลังที่จะต่อยอดไปสู่การเล่าเรื่อง Star Wars ในด้านอื่นๆ ของตัวละครอื่นๆ ได้อีกในอนาคต
...
อย่างไรก็ตาม หลายสิ่งหลายอย่างที่แต่งเติมเข้ามาในหนัง Star Wars: The Last Jedi สำหรับแฟนหนังทั่วไปบางคนอาจตกใจ และอาจรับไม่ได้ จนถึงขั้นไม่ชอบหนังภาคนี้ไปเลยก็เป็นได้ แต่หากเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ "Feel the Force" แล้วละก็ จะอิน! และฟินกับสิ่งที่อยู่ใน The Last Jedi แบบสุดๆ
...
การปรากฏตัวของ มาร์ค ฮามิลล์ ในบท ลุค และ แคร์รี่ย์ ฟิชเชอร์ ผู้ล่วงลับ ในบท เลอา ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างประณีต สง่างาม ยิ่งใหญ่ และต่างมีบทบาทสำคัญในเรื่องไม่แพ้กลุ่มตัวละครสายเลือดใหม่เลย เดซี่ ริดลีย์ และ อดัม ไดร์ฟเวอร์ ตอกย้ำให้หนักแน่นยิ่งขึ้นว่าทำไมเขาทั้ง 2 ถึงได้บทบาทสำคัญใน Star Wars ไตรภาคนี้ การขับเคี่ยวกันในเรื่องของพลังระหว่าง “เรย์” และ “ไคโล เรน” นั้นชวนติดตามในทุกฉาก ในขณะที่ จอห์น โบเยก้า และ ออสการ์ ไอแซค ก็มีฉากเด่นของตัวเอง อีกคนที่น่าชื่นชมก็คือ เบนิซิโอ เดล โทโร่ รุ่นใหญ่อีกคนที่มาสมทบในภาคนี้ แม้จะมีบทน้อยไปนิด แต่ก็เป็นบทที่น่าจดจำ สุดท้ายกับอีกหนึ่งตัวละครสำคัญอย่างหุ่น BB-8 ก็ยังเป็นจอมแย่งซีนที่แฟนๆ จะหลงรักเช่นเดิม
โดยรวมแล้ว ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ของ Star Wars: The Last Jedi ที่ได้ชื่อว่าเป็น Star Wars ภาคที่ยาวที่สุด แต่หนังสนุก มัน ลุ้น จนลืมเวลาไปเลย เป็นภาคที่เปิดมุมมองใหม่ๆ ที่ยกระดับซีรีส์ Star Wars ให้มีมิติมากขึ้น และยังเป็นหนึ่งในภาคที่สนุกที่สุดภาคของซีรีส์ Star Wars ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าในอนาคต Star Wars: The Last Jedi จะถูกนำมาเทียบชั้นกับ The Empire Strikes Back ของไตรภาคคลาสสิกได้เลย
สุดท้ายนี้ใครที่คิดจะดู รีบตีตั๋วไปดูเถอะ เพราะนี่คือหนึ่งในหนัง “ต้องห้ามพลาด” ประจำปี 2560 และขอย้ำที่บอกไปในตอนต้น “ระวังโดนสปอยล์!!!”
อ่านบทความ ตีตั๋วชนโรง เรื่องอื่นๆ
--- ชาแมน ---