เปิดใจ มินนี่ (G)I-DLE ในรายการ WOODY FM เล่าถึงการค้นหาตัวตนช่วงแรกของการเป็นศิลปิน การเอาชนะความไม่มั่นใจบนเวที หลั่งน้ำตา! เผยเรื่องที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน เคยใจร้ายกับตัวเองจนเป็นสาเหตุที่ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า แพนิค และการก้าวข้ามช่วงเวลาที่แสนยากลำบาก
ใบหน้าคุณดูมีความสุข?
มินนี่ : แฮปปี้ค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าเพิ่งปล่อยอัลบั้มเดี่ยวค่ะ เป็นอัลบั้มแรกในชีวิตเลย วันนี้เอามาให้พี่วู้ดดี้ด้วย ความจริงจะมี 2 เวอร์ชัน แต่ว่าเอาเป็นเวอร์ชันสีชมพูมาค่ะ
นี่คือฝันของมินนี่เป็น First mini album?
มินนี่ : เป็น First mini album ใช่ค่ะ ชื่อว่า Her
ทำไมถึงชื่อว่า Her?
มินนี่ : ตอนแรกคิดไว้หลายชื่อมาก คือเพลง Title track ก็ชื่อว่า Her ค่ะ เรารู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่บ่งบอกความเป็นตัวเราสูงมาก ก็เลยเอามาเป็นชื่ออัลบั้มด้วย เพราะว่าอัลบั้มนี้มีความเป็นมินนี่เยอะมาก หนูอยากจะเล่าเรื่องตัวเองผ่านสายตาของคนอื่นค่ะ คือเราจะใช้ชื่อว่า My Story แบบ Mind หรืออะไรอย่างนี้ก็ได้ แต่ว่าเรื่องนี้คือพยายามเอาตัวเองออกมา แล้วมองมินนี่ในฐานะบุคคลที่ 3 ว่านี่คือเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ เหมือนเล่าเรื่องชีวิตคนอื่น มีหลายเพลงเลย มีเพลงสุดท้ายที่ชื่อ Obsession ได้พี่เตนล์มา Featuring ให้ด้วยค่ะ หนูโทรไปหาพี่เตนล์ว่ามาฟีทให้ได้ไหม มีเพลงหนึ่งทำไว้นานแล้ว เก็บไว้อยากปล่อยตอนโซโล่อัลบั้ม แล้วนึกถึงพี่เตนล์ก็เลยติดต่อหา แล้วพี่เตนล์ก็โอเค พี่ทำด้วย
...
ณ ปัจจุบัน MV Her ยอดวิวหลายสิบล้าน คนติดตามและคอมเมนต์เยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วมีคนดีใจกับมินนี่เยอะสุดๆ อยากรู้ว่าพอได้ออกโซโล่อัลบั้มแล้วเป็นแบบที่คิดไว้ไหม เพราะทราบว่ารอคอยมานานมาก?
มินนี่ : รอคอยมาหลายปีค่ะ ตอนแรกประมาณว่ามีแพลนว่าจะโซโล่แล้วก็เลื่อนไปก่อน เราก็คาดหวังว่าจะได้ปล่อยโซโล่แล้วมันก็ไม่ได้ปล่อยสักที ก็เป็นสิ่งที่เราคาใจประมาณหนึ่ง แล้วพอมันได้ออกมาจริงๆ ก็แบบน้ำตาไหล เพราะว่าตอนที่ทำอัลบั้มนี้คือหนูทำตั้งแต่แบบเริ่มจริงๆ แบบตั้งแต่ process ทำเพลง เขียนเนื้อ คอนเซปต์ แล้วก็ภาพลักษณ์อยากให้เป็นยังไง แบบสีหรือรูปภาพทุกอย่างคือหนูเลือกเองหมดเลย มันก็เลยเหมือนเป็นลูกของเราค่ะ แล้วพอมันออกมาเป็นอัลบั้มจริงๆ ที่จับต้องได้ ตอนแรกหนูเห็นแล้วน้ำตาไหลเลย โอเคตายตาหลับแล้ว
รู้สึกยังไง?
มินนี่ : ภูมิใจกับตัวเอง ทำได้แล้ว เหมือนมันเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งของหนูที่ฝันไว้ แล้วพอได้ปล่อยออกมาจริงๆ ก็เหมือนเป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่เราทำได้แล้วนะ
แต่กลับกันอยากจะถามว่าเวลาอยู่ในวงการนี้เป็นส่วนหนึ่งแล้วที่ต้องทำให้ทุกๆ คนชอบเรา อยากรู้ว่าการเดินทางของมินนี่กับเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วมันเปลี่ยนไปยังไง?
มินนี่ : ตั้งแต่ตอนเดบิวต์ครั้งแรก ด้วยความที่เราก็ไม่รู้ว่าวงการนี้จะเป็นยังไงใช่ไหมคะ หนูก็จะมีความรู้สึกว่าหาตัวเองไม่เจอ งงๆ อยู่ช่วงหนึ่งแรกๆ ว่าเรามีฟิลเตอร์ พอเราอยู่ต่อหน้ากล้องปุ๊บ หนูจะเหมือนมีฟิลเตอร์บางอย่างที่รู้สึกว่าเราต้องทำตัวอย่างนี้นะ หรือบางทีเราระวัง เหมือนหนูคิดเยอะเกินค่ะ แล้วรู้สึกว่าบางทีเราไม่ได้เป็นตัวเอง 100% ขนาดนั้น แต่ว่าพอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เราก็มอนิเตอร์ตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าเราเกร็งเกินไป ไม่รู้หนูคิดอะไรอยู่บางทีพอเห็นกล้องแล้วหนูจะแบบไม่ได้ เราต้องปิดบังอะไรบางอย่างนิดหนึ่ง ไม่ได้เป็นตัวเอง 100% ขนาดนั้น แต่ว่าพอเดบิวต์มาประมาณเข้าปีที่ 7 ก็เริ่ม Whatever ก็เลยแบบชิล พออยู่ต่อหน้ากล้องก็ชิลมากขึ้น รู้สึกเหมือนเรารีแลกซ์มากขึ้นค่ะ เราก็จะเป็นตัวเองแบบไม่มีฟิลเตอร์แล้ว
ช่วงที่เปลี่ยนผ่านระหว่างรู้สึกเกร็งๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ดูแล้วอาจจะไม่ชอบตัวเอง?
มินนี่ : ช่วงแรกๆ หนูไม่ชอบ จนหนูแบบเลิกดูไปเลยช่วงนั้น แล้วกลายเป็นว่าไม่ได้อ่ะ มันก็ต้องดู เราก็เพิ่งมารู้ว่าเราก็ควรจะปรับ เราควรจะมอนิเตอร์ว่าไม่ชอบอะไรตัวเองตรงไหน หรือรู้สึกว่ามันไม่เป็นตัวเราตรงไหนนะ ควรจะแก้ แต่ช่วงแรกๆ หนูไม่เอา ไม่ดูเลย เลิกดูไปเลย ไม่อยากมานั่งอ่านคอมเมนต์หรืออะไร เพราะบางทีเราคิดเยอะ เอาเก็บมาคิดแล้วก็มันยิ่งกลายเป็นว่ายิ่งเกร็งกว่าเดิม หลังๆ ก็เลยโอเคดูตัวเอง แล้วก็เปลี่ยน Mindset ถ้าไม่ชอบ ก็เปลี่ยนได้ ค่อยๆ ปรับ แล้วหนูก็ค่อยๆ เริ่มเปิดใจให้ตัวเองว่าโอเค ไม่เป็นไรนะ คือก็เราไม่รู้ สิ่งไหนที่ไม่ชอบก็ค่อยๆ เปลี่ยน แล้วมันก็ค่อยๆ ดีขึ้น พอเรามอนิเตอร์ตัวเองก็เห็นเลยว่ามันดีขึ้นจริงๆ
นอกจากลุค ท่าทาง ซึ่งมันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา อะไรที่เป็นพลังงานในตัวเราที่มองว่าได้เปลี่ยนแปลงจริงๆ จากวันนั้นที่อาจจะไม่มีพลังงานแบบนั้น?
มินนี่ : ตอนแรกรู้สึกว่าเวลาอยู่บนเวที มองไปในตาตัวเองแล้วรู้เลยว่ามีความกังวลอยู่ตลอดเวลา เราไม่มั่นใจอะไรก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ก็ซ้อมมาเยอะแล้ว แต่พอเราหาตัวเองเจอแล้ว เรามั่นใจปุ๊บสายตามันเปลี่ยน ถ้าเกิดย้อนไปดูคลิปเก่าๆ จะรู้เลยว่าตอนนี้เหมือนดูกังวล แล้วหลังๆ มารู้สึกว่าดูมั่นใจขึ้น หนูว่าสายตามันดูออก ทุกวันนี้ก็มีนะคะ แต่รู้สึกว่าก็ถ้ามั่นใจว่าเราชอบที่เป็นแบบนี้ก็โอเค คนอื่นจะคิดยังไงอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราโอเคกับที่เราเป็นแบบนี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว
...
หลายปีเลยกับความไม่มั่นใจตรงนั้น?
มินนี่ : หลายปีค่ะ เพิ่งมาปรับปรุงความคิดได้ไม่นานมากเท่าไหร่ค่ะ คือแฟนๆ จะรู้ว่าหนูเป็นคนที่ตื่นเวทีมากตลอดเวลา ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ยิ่งเวทีใหญ่ๆ หรือเป็นที่ใหม่ๆ หนูจะตื่นมาก แต่คือแฟนคลับบอกว่าดูไม่ออก เพราะว่าพอเราขึ้นเวทีจริงๆ ต้องเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง คือหนูจะใส่หน้ากาก
มีสิ่งที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไหม?
มินนี่ : หนูจะจับมือตัวเอง แล้วก็บอกตัวเองว่า เธอทำได้ๆ
ในการร้องเดี่ยวจากเดิมที่ฉันจะร้องถูกไหมจะเพี้ยนไหมมันอาจจะยังมีบ้าง แต่ตอนนี้มีความมั่นใจขึ้น?
มินนี่ : รู้สึกว่าแค่สนุกกับมัน เริ่มเปิดใจยอมรับตัวเองได้ว่าโอเค ถึงแม้คุณจะทำพลาดก็ไม่เป็นไร ถ้าแต่ก่อนคือหนูจะไม่ได้ ยูห้ามผิด ยูต้องเป๊ะ ค่อนข้างเป็นคนที่มีความเป็น Perfectionist มากประมาณหนึ่งเวลาทำงานค่ะ แต่แบบหลังๆ ก็เพิ่งมาเริ่มใจดีกับตัวเองขึ้นว่าไม่เป็นไร บางทีมันก็ผิดได้แต่แบบ คุณสนุกกับโมเมนต์นั้นให้ได้มากที่สุด
แล้วตอนที่ใจร้ายกับตัวเอง?
มินนี่ : บางทีมอนิเตอร์ตัวเองแล้วก็แบบได้แค่นี้เองเหรอ คุณควรทำได้ดีกว่านี้ ชอบเป็นอย่างนี้ ชอบแบบกดดันตัวเองแล้วก็แบบโอเคไม่ได้รอบหน้าต้องดีกว่านี้ ทุกครั้งที่โชว์คือรู้สึกว่าต้องดีกว่ารอบที่แล้ว ไม่จบสิ้น คือรู้สึกว่าโอเคมันดีที่เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา แต่ว่าบางทีเราก็ไม่ใช่ Robot เพราะบางทีเราอาจจะมีวันที่แบบอาจจะเหนื่อย หรือบางทีเราอาจจะอ่อนแอ เราก็ต้องใจดีกับตัวเองว่าแบบโอเควันนี้เราเป็นแบบนี้แต่ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ณ ตอนนั้น ถือว่าโอเค
เรื่องที่คุยในวันนี้เป็นเรื่องที่พี่เพิ่งทราบมาเมื่อไม่นาน เป็นเรื่องที่ทุกคนจะสามารถ relate ได้และจะเป็นประโยชน์ต่อหลายคนมาก ต้องขอบคุณที่พร้อมจะเปิดใจแชร์เรื่องนี้
...
มินนี่: ค่ะ หนูไม่เคยพูดให้คนอื่นฟัง มีคนรู้บ้างค่ะเป็นเพื่อนคนที่สนิท หนูไม่แน่ใจว่ามันเริ่มจริงๆ ตอนไหน แต่ว่าตั้งแต่ตอนเป็นเด็กฝึก คือเราจะมีรูทีนต้องซ้อม แล้วเราก็ไม่ได้ไปไหนก็จะซ้อมทุกวัน แล้วเขาจะมีจิตแพทย์มาเช็คทุกๆ 6 เดือนหรืออะไรหนูไม่แน่ใจ เขาจะคอยมาเช็คว่าเราโอเคหรือเปล่าเป็นยังไง แล้วเขาจะอัปเดตทางค่าย แต่ว่าหลังจากเดบิวต์แล้วก็คือไม่ได้มี จะไม่ได้มาเช็ค คือถ้าเรารู้สึกว่าอยากปรึกษาต้องไปหาเอง ซึ่งหนูก็รู้สึกว่าเราโอเคก็ไม่ได้คิดอะไร
แต่ก็รู้สึกว่ามันก็มีหลายๆ ครั้งที่เริ่มรู้สึกว่าเรามีความ negative มันดาวน์มากๆ แต่คิดว่าไม่เป็นไรเราอาจจะ sensitive ไม่เป็นไร แต่ว่ามันมีครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าไม่ปกติจริงๆ คือตอนที่หลังจากโควิดค่ะ เหมือนช่วงโควิดเป็นปีเลยที่เวลาเราไปแสดงที่ไหนก็คือส่วนใหญ่แฟนคลับจะมาดูไม่ได้ ก็คือเราอยู่บนเวทีแล้วก็ถ่ายกับกล้อง เพราะฉะนั้นจะไม่ได้เจอคนเลยมาเป็นปี แล้วหลังจากโควิดคือหนูมีทัวร์ครั้งแรก แล้วอยู่ดีๆ เราก็ได้เจอคนเยอะมากๆ หนูไม่แน่ใจว่าอาจจะปรับตัวไม่ได้หรือเปล่า แต่ว่าเราเริ่มเป็นแพนิคตอนทัวร์ครั้งแรก
...
จำได้ไหมว่าครั้งแรกอาการเป็นยังไง แล้วมันมายังไง?
มินนี่: หนูตกใจมาก ตอนนั้นอยู่บนเวที อยู่ดีๆ ก็รู้สึกไปเองว่าสายตาที่มองมา เรารู้สึกว่ามองทำไม เค้ามองอะไร ทั้งๆ ที่เค้าคือแฟนๆ ที่เขาชื่นชอบมาดูเรา แล้วมันเป็นฝันของเราที่อยากมี world tour ทำไมรู้สึกแบบนี้ สมมุติว่ามีคนยกกล้องขึ้นมาถ่ายหนู รู้สึกว่าเค้าถ่ายอะไร เราทำอะไรผิดเหรอ ทำไมเขาต้องถ่ายเราด้วย หนูตีกับตัวเองว่าทำไมถึงมีความคิดนี้ขึ้นมาในหัวแล้วก็จะมีเสียงพูดขึ้นมาว่า get out of here you shouldn't be here ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณนะ หนูแบบเหมือนตีกับตัวเองค่ะ คือถ้าคนดูคือดูไม่ออกอยู่แล้ว
หนูก็ยืนแล้วแบบเกิดอะไรขึ้น เหมือนเป็นความรู้สึกแบบเหมือนมี devil กับ angel อยู่ในหัว มี devil พูดว่าคุณไม่ควรอยู่ตรงนี้ที่นี้เค้าไม่ต้อนรับคุณหรอก แล้วก็มี angel พูดว่าไม่ คือเค้ามาดูเรา ทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ แต่เหมือนช่วงนั้นหนูว่า devil มันตัวใหญ่มาก เราจะได้ยินเสียงแต่ devil เราจะได้ยินแต่เสียง devil ว่าไม่คุณต้องออกไปจากนี้ คือรู้แค่ว่าต้องออกไปจากตรงนี้ แล้วหนูรู้สึกแบบ oh my god ต้องออก ต้องออกจากตรงนี้แล้ว แล้วเสร็จหนูก็ตีกับตัวเองแล้วพอจบโชว์ก็คือร้องไห้ ร้องไห้หนักมาก คือมันเป็นอย่างนี้อยู่ประมาณหลายๆ วันติด หนูว่าเพราะว่าคือด้วยความที่เราโชว์วันเว้นวันเลย หนูโชว์เสร็จปุ๊บวันรุ่งขึ้นบิน คือทุกครั้งที่หนูลืมตามาคือบางทีงงว่าอยู่ที่ไหน มันขนาดที่ว่าเราอยู่ที่ไหนอะไรงี้
ไม่ได้บอกใคร?
มินนี่: ตอนแรกไม่ได้บอกใคร หนูพยายามฮึบไว้ ไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วง เพราะรู้ว่าตอนนั้นทุกคนก็เหนื่อยแล้วไม่อยากจะไปเพิ่มความเครียดหรืออะไรให้เขา พอถึงห้องปุ๊บหนูปิดประตูร้องไห้หนักมากทำไมรู้สึกอย่างงี้ (ร้องไห้) มันเกิดอะไรขึ้น พอเข้ามาในห้องจำได้เลยว่าโรงแรมตอนนั้นเราสามารถเห็นห้องฝั่งตรงข้ามได้ เรานั่งอยู่บนเตียงแล้วตรงนี้เป็นหน้าต่าง คือหนูปิดม่านแล้ว แต่รู้สึกเหมือนมีคนมองเราตลอดเวลา แล้วหนูไม่สามารถนอนได้ เหมือนรู้สึกไปเองว่ามีคนจ้องเราตลอดเลย
หนูก็บอกโอเค แบบนี้ไม่ปกติ ตอนแรกหนูบอกแค่พี่ผู้จัดการว่านอนไม่ได้จริงๆ รู้สึกไม่ปลอดภัยมากๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นไรอะไร พี่เขาก็แบบโอเคกลับไปเกาหลีเดี๋ยวไปหาหมอ มันเป็นๆ หายๆ ช่วงนั้นสมมติว่าออกไปข้างนอกแล้วมันเป็นที่ๆ คนเยอะๆ หนูจะไม่โอเค ทั้งๆ ที่เราชอบเจอคนมาก แต่ช่วงนั้นเจอคนแล้วเหมือนชอบมาคิดว่าถ้าเค้ามองเราคือมองทำไม ทำไมต้องมอง แล้วหนูจะมองพื้นตลอดเลย แบบไม่โอเค ก็เลยไปปรึกษา
สภาพจิตใจตอนก่อนไปปรึกษา มันดาวน์ขนาดไหน ที่สุดของชีวิตไหมในแง่ของจิตเวช?
มินนี่: คือไม่อยากให้ใครเห็นเราในสภาพนี้ด้วย แล้วก็เหมือนเราตกใจมั้งค่ะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่หนูไม่อยากให้แฟนคลับรู้อยู่แล้ว เพราะรู้สึกเดี๋ยวเค้าเป็นห่วง หนูไม่กล้าบอกคุณพ่อแม่ด้วยตอนแรกเพราะว่ากลัวเป็นห่วง เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน จำได้ว่าโทรหาเพื่อนสนิทที่ไทยก็เล่าให้ฟัง หนูแค่พูดว่าฉันไม่โอเคแล้วก็ร้องไห้ แล้วเพื่อนก็ปล่อยให้หนูร้องไห้เป็นอะไรค่อยๆ พูดมา หนูก็เล่าให้เขาฟังว่ารู้สึกแปลกมากเลย ทำไมถึงรู้สึกอย่างงี้ไม่รู้ รู้สึกแย่มาก มันไม่ควรจะเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้เลย
ก็เลยไปหาคุณหมอ หนูงงมากคุณหมอพูดว่าทำไมเพิ่งมาตอนนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสัญญาณอะไรเลยเหรอ แต่หนูคิดว่าคือมันก็มีสัญญาณมาตลอดแต่แค่เรามองข้าม ไม่เป็นไรหรอกใครๆ ก็รู้สึกแบบนี้ มันรู้สึกกันได้ บางทีกลับมาบ้านแล้วก็ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากเจอใคร ทั้งที่เราปกติจะเป็นคนชอบเจอเพื่อนมากๆ มันมีช่วงหนึ่งที่แบบไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากทำอะไร รู้สึกแบบหมดไฟนิดหนึ่ง ทำไมก็ไม่รู้ เหมือนมันมาไกลเหมือนกันนะกว่าจะมาถึงจุดนี้
แล้วเขาบอกว่ามันคืออะไร?
มินนี่: เค้าบอกว่าเป็นภาวะซึมเศร้ากับแพนิค
แล้วขั้นตอนต่อไปสำหรับคุณ หลังจากที่ทราบ?
มินนี่: เขาบอกว่าควรจะมาหาคุณหมอบ่อยๆ อย่างน้อยมาเล่าหรือมาคุยกับเขา ซึ่งเราก็ไม่มีเวลา คือหนูรู้สึกว่าสิ่งที่อยากพูดคือบางทีเราไม่มีเวลา เราชอบมองข้ามสิ่งนี้ ทั้งๆ ที่ความจริงมันสำคัญมากๆ เหมือนเวลาเราไม่สบายเราก็ต้องไปหาหมอ สมมุติเราไอไม่ไหวเราก็ต้องไปหาหมอกินยา สภาพจิตใจเหมือนกันสำคัญมากๆ คุณต้องหาเวลาให้ตรงไม่งั้นมันมีผลกระทบทุกอย่างทำอะไรไม่ได้เลย
สุดท้ายดูแลจัดการกับมันยังไง?
มินนี่: ตอนแรกคุณหมออยากให้ยาค่ะ แต่ว่าพอพูดว่าจะให้ยาหนูร้องไห้ ไม่เอา ยังไม่อยากกินยาได้ไหม เขาก็บอกโอเคถ้างั้นก็ต้องไปหาคุณหมอ แล้วก็ไปคุยกับเขาบ่อยๆ จนเรารู้สึกดีขึ้นหรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องกินยานะ เลยไปหาหมอปรึกษาโน่นนี่นั่นก็ดีขึ้น แต่หนูรู้สึกว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเรา
ตัวกระตุ้นแพนิคคือเรื่องอะไร?
มินนี่: หนึ่งคือตอนนั้นเราปรับตัวไม่ทัน คุณหมอพูดว่าอาจจะเป็นเพราะเราเดินทางตลอด เราไม่ได้อยู่เป็นที่ เป็นหลักเป็นแหล่งค่ะ เราไม่ได้อยู่บ้านหรือที่ๆ เรารู้สึกว่ามันปลอดภัยพอที่จะเป็นบ้านเรา มันเลยรู้สึกไม่ปลอดภัย อันนี้มีสิทธิ์ว่าเป็นสิ่งที่กระตุ้น สองคือก็น่าจะคนเยอะ เหมือนโชว์ปีแรกเรายังโชว์ที่เวทีเล็กๆ ซึ่งมันแออัดมากไม่มีพื้นที่ระหว่างเรากับคนดู คือค่อนข้างอยู่ไกลมากๆ ค่ะ แล้วเราอาจจะแบบรู้สึกว่ามันใกล้เกินไป
ความเป็น perfectionist เกี่ยวไหม?
มินนี่: เกี่ยวมากค่ะ คุณหมอพูดว่าคุณต้องใจดีกับตัวเอง เพราะว่าเหมือนคุณกดดันตัวเองมากเกินไป ก็น่าจะเป็นตัวกระตุ้นที่เยอะค่ะ มันไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเอง (ร้องไห้) คือหนูโชคดีที่ว่าคนรอบข้าง มีเพื่อนที่ดี มีทีมงานที่ดีที่เขาพร้อมจะสนับสนุนเรา มีเมมเบอร์ที่ดีพร้อมจะสนับสนุนเรา แต่ว่าท้ายที่สุดเวลาเรากลับบ้านนอน เราก็อยู่กับตัวเองไง มันคือตัวเราเองที่ต้องดึงตัวเองขึ้นมา ดังนั้นหนูรู้สึกว่าต้องใจดีกับตัวเองเยอะๆ อันนี้สำคัญมากๆ
มีอะไรที่เราดูแลจัดการกับตัวเอง คุณได้เรียนรู้อะไร?
มินนี่: หนูว่าความคิดสำคัญมากๆ ค่ะ คือถ้าเราเปลี่ยนความคิดของตัวเองได้ หรือยอมรับความเป็นตัวเองได้ มันดีขึ้นจริงๆ รู้สึกเลยว่าบางทีเราต้องยอมรับ สมมติวันนี้คุณทำผิดไม่โอเคก็ยอมรับว่าใช่ ก็มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่เป็นไร ครั้งหน้า พรุ่งนี้เอาใหม่ ยอมรับแล้วก็พร้อมที่จะ move on ให้ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมันไปเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ แล้วก็สนุกกับโมเมนต์ต่างๆ ได้มากขึ้น
ดีใจที่ก้าวผ่านมันมาได้รู้สึกเลยว่าข้างในเราโตขึ้นเยอะมาก รู้สึกว่าเราเห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ หรือสิ่งที่มีอยู่ได้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมามัวแต่กังวลโน้นนี่จนลืมไปว่าสิ่งที่มีอยู่ ณ ตอนนี้เรามาไกลมากแล้วนะ คุณทำมันได้ดีแล้วนะตอนนี้คุณมีแฟนๆ ที่สนับสนุนขนาดนี้ ทั้งๆ ที่วันแรกเริ่มจากศูนย์ ยังมีเพื่อนๆ ยังมีเมมเบอร์ที่ดี มีครอบครัวที่คอยสนับสนุนแค่นี้คุณควรจะเห็นคุณค่าและรู้สึกดีกับมันได้แล้ว หนูรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาที่จิตไม่อยู่กับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม