• จุนจิ อิโต้ คือ ‘สุดยอดนักวาดการ์ตูนสยองขวัญ’ ที่ไม่เพียงทรงอิทธิพลในญี่ปุ่น แต่ยังดังไกลไปในระดับนานาชาติ ด้วยภาพลายเส้นก้นหอยม้วนกลมอันเป็นเอกลักษณ์, ภาพดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอาฆาตมาดร้าย และภาพการทรมานทรกรรมตัวละครจนตาย ผ่านวิธีการเล่าเรื่องอันแสนบรรเจิด

  • จากอดีตช่างทันตกรรมที่แบ่งเวลามาเขียนการ์ตูนสยองขวัญเป็นงานอดิเรก มาสู่ผู้ชนะรางวัลชมเชยบนเวที Kazuo Umezu Prize ที่ทำให้เขาเปลี่ยนอาชีพเป็นนักวาดแบบเต็มเวลามานานกว่า 3 ทศวรรษ โดยมี Tomie, Uzumaki หรือ Gyo เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอก ซึ่งสะท้อนถึงสงครามการแย่งชิงอำนาจระหว่างหญิง-ชาย, ความหวาดกลัวของผู้คนที่มีต่อความไม่แน่นอนของชีวิตและสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจ รวมถึงพิษร้ายจากสงครามและกองทัพทหารบ้าอำนาจ

  • แต่ถึงอย่างนั้น ตัวจริงของอิโต้กลับเป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยน พูดน้อย สะอาดสะอ้าน และที่สำคัญยังเป็น ‘ทาสแมว’ กับเขาด้วย จนถึงขั้นเคยวาด Junji Ito's Cat Diary: Yon & Mu ที่เล่าถึงแมวสองตัวของเขาและภรรยาออกมาได้อย่างน่ารัก น่าชัง ...และน่ากลัว!

จุนจิ อิโต้
จุนจิ อิโต้

...


ต่อให้ไม่ใช่นักอ่านการ์ตูนตัวยง แต่เรามั่นใจว่าหลายคนต้องเคยได้ยินกิตติศัพท์ของ จุนจิ อิโต้ ในฐานะ ‘สุดยอดนักวาดการ์ตูนสยองขวัญ’ ด้วยกันทั้งนั้น หรือต่อให้ไม่เคยอ่าน ก็ต้องเคยเห็นลายเส้นก้นหอยม้วนกลมอันเป็นเอกลักษณ์, ภาพดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอาฆาตมาดร้าย และภาพการทรมานทรกรรมตัวละครจนตายด้วยวิธีการแสนบรรเจิด โดยผลงานของเขาไม่เพียงทรงอิทธิพลในญี่ปุ่น แต่ยังดังไกลไปในระดับนานาชาติด้วย

อาจารย์อิโต้เข้าสู่วงการมานานถึง 34 ปีแล้ว นับตั้งแต่ปล่อยของผ่านผลงานเรื่องแรกอย่าง Tomie เมื่อปี 1987 ล่าสุด เขายังแรงดีไม่มีตก คว้าสองรางวัล Will Eisner Comic Industry Awards -ซึ่งเปรียบเสมือนรางวัลออสการ์แห่งวงการการ์ตูนโลก- จากผลงานเรื่อง Remina ในสาขา Best U.S. Edition of International Material และเรื่อง Venus in the Blind Spot ในสาขา Best Writer/Artist ซึ่งถือเป็นของขวัญชั้นดีสำหรับต้อนรับวันเกิดปีที่ 58 ในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้

เขากลายมาเป็นนักวาดการ์ตูนสยองขวัญอันดับต้นๆ ของโลก โดยยังสามารถคงมาตรฐานไว้ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีได้อย่างไร? -- นี่คือปริศนาชวนฉงนที่ควรค่าแก่การค้นหาคำตอบ

Tomie
Tomie


ความหลอกหลอนที่หล่อหลอมเด็กชายผู้สงบเงียบ

โดยพื้นเพแล้ว เด็กชายอิโต้คือเด็กบ้านนอกจากเมืองเล็กๆ ในจังหวัดกิฟุ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความใกล้ชิดกับธรรมชาติ มีภูเขาห้อมล้อมตึกรามบ้านช่อง ทำให้เขามีวัยเด็กที่ค่อนข้างสงบสุข ...จนบางทีก็อาจจะสงบเกินไป

กระทั่งวันหนึ่งไม่รู้อะไรดลใจให้เด็กวัย 4 ขวบอย่างเขา อ่านหนังสือการ์ตูนหรือมังงะ (Manga) เป็นครั้งแรกด้วยผลงานในแนวสยองขวัญ (Horror) โดยเล่มแรกที่เขาอ่านคือเรื่อง Mummy Teacher ของ คาสุโอะ อูเมะสุ ปรมาจารย์นักวาดการ์ตูนสยองขวัญของญี่ปุ่น

มีคำกล่าวว่า ถ้าคนเราอยากเก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ควรเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ อูเมะสุจึงกลายเป็นอาจารย์คนสำคัญที่สอนเด็กชายอิโต้ผ่านตัวหนังสือและรูปวาดว่า การวางพล็อตเรื่องดีๆ จะช่วยให้การ์ตูนน่าติดตามได้อย่างไร

นอกจากอ่านผลงานของอาจารย์คนนี้ เขายังครูพักลักจำเคล็ดลับความหลอนจากการอ่านงานของ ฮิเดชิ ฮิโนะ, ชินอิจิ โคกะ, ยาสุทากะ สึสึอิ, เอโดกาว่า รัมโป และ เอช พี เลิฟคราฟต์ ซึ่งทุกคนล้วนเป็นนักเขียนนักวาดชั้นแนวหน้าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งสิ้น

แม้จะมุ่งมั่นกับการเป็นนักวาดการ์ตูน แต่ในช่วงยังหนุ่ม อิโต้เลือกศึกษาต่อและทำงานเป็นช่างทันตกรรมในปี 1984 โดยเขาแบ่งเวลาจากการทำงานหลักมาเขียนการ์ตูนเป็นงานอดิเรกอย่างสม่ำเสมอ เขาทำแบบนี้อยู่ 3 ปี จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเขาส่งการ์ตูนสั้นสยองขวัญที่ทุกคนรู้จักในชื่อของ Tomie เข้าประกวดรางวัล Kazuo Umezu Prize ที่มีไอดอลของเขาเป็นกรรมการ และได้รับรางวัลชมเชยมาครอง

เมื่อเริ่มต้นก้าวแรกได้ดีเกินคาด อิโต้จึงตัดสินใจลาออกจากงานช่างทันตกรรม แล้วทุ่มเวลาทั้งหมดเพื่อเป็นนักวาดการ์ตูนเต็มตัว …ซึ่งเราคงไม่ต้องบอกว่า นั่นคือการตัดสินใจที่ถูกต้องเพียงใด

...

Tomie
Tomie


เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน

มนุษย์แต่ละคนมี ‘ความกลัว’ แตกต่างกันออกไป บางคนกลัวแมลง บางคนกลัวงู บางคนกลัวความมืด แต่สัจธรรมที่ค้นพบคือ ไม่ว่าจะกลัวอะไรก็ตาม มันล้วนผูกโยงเข้ากับการกลัวความไม่แน่นอน กลัวสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ และจนกว่าคนเราจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์จนตรอกจริงๆ จึงจะรู้สึกถึงความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจ

“ผมตั้งคำถามตลอดว่า ทำไมผู้คนถึงอยากอ่านเรื่องราว หรือดูอะไรที่มันสยดสยอง คุณค่าของงานแบบนี้คืออะไร ทำไมเราต้องอยากเขียนอะไรแบบนี้ด้วย ซึ่งสิ่งที่ผมตกผลึกก็คือ ชีวิตของคนเรานั้น ‘ไม่แน่นอน’ ครับ เราไม่มีทางรู้ว่าชีวิตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางทีอาจมีเรื่องเลวร้ายรอคอยเราอยู่ก็ได้ ดังนั้น ถ้าเราดูหรืออ่านอะไรที่น่ากลัว มันอาจช่วยเตรียมตัวเตรียมใจให้เราเวลาเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นก็ได้”

Tomie มังงะแจ้งเกิดที่ทำให้เขากลายเป็นนักวาดการ์ตูนไฟแรง เล่าเรื่องของหญิงสาวแสนสวยที่ตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมของผู้ชายจิตใจโหดเหี้ยม ก่อนความจริงจะเผยว่า เธอไม่มีวันตาย หรือพูดให้ถูกคือไม่มีวันโดนฆ่าให้ตายได้ เพราะหากร่างกายของเธอโดนแทง โดนเชือด หรือโดนอะไรก็ตาม เธอไม่เพียงฟื้นตัวหรือคืนชีพได้เท่านั้น แต่ร่างของเธอจะ ‘แตกหน่อ’ งอกออกมาเป็นคนใหม่ได้ด้วย

...

และทุกครั้งที่เธอกลับมา ก็จะยิ่งทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์บ้าอำนาจเหล่านั้นคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม

เอกลักษณ์ที่ดูน่าหลงใหลของตัวละคร โทมิเอะ คาวาคามิ คือใบหน้าและดวงตาที่งดงามคมขำ แต่แฝงไว้ด้วยบรรยากาศอันไม่น่าไว้วางใจและยากแท้หยั่งถึง ซึ่งอิโต้ตั้งใจวาดเธอให้สวยเด่นที่สุด เพราะหากคนอ่านไม่อาจ ‘เข้าถึง’ เสน่ห์ชวนหลอนของตัวละครตัวนี้ได้ตั้งแต่แรกเห็น เขาก็คงไม่สามารถสร้างความสะพรึงและกระตุกขวัญคนอ่านได้ในหน้าถัดๆ ไป

ถึงทุกวันนี้ โทมิเอะจึงได้ชื่อว่าเป็นตัวละครที่สวยที่สุดของเขา แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังความสวยสยองจ้องประหารนี้ ต้นแบบของเธอคือ ‘เพื่อนผู้ชาย’ สมัยเรียนมัธยมของอิโต้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนต่างหาก

“ตอนนั้น ผมรู้สึกประหลาดพิกลครับ ว่าเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นคนเฮฮา จู่ๆ ก็หายไปจากโลกนี้ ผมเลยคิดว่า มันคงจะประหลาดดีนะ ถ้าจู่ๆ เขากลับมาปรากฏตัวอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ออกมาเป็นมังงะเรื่องนั้น”

การเลือกตัวละครเอกเป็น ‘ผู้หญิง’ ถือเป็นการตัดสินใจที่ทรงอิทธิพลต่อเรื่องราว เพราะอิโต้ใช้เสน่ห์และความเย้ายวนใจของโทมิเอะปั่นหัวตัวละครผู้ชายจำนวนมาก ด้วยการไม่ให้เธอปฏิบัติตัวตามสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง จนถูกตีความว่า เธอเป็นเหมือนสิ่งใดก็ตามที่ผู้ชายใฝ่ฝัน แต่ทำอย่างไรก็ไม่มีวันได้ครอบครอง ซึ่งนั่นยังเป็นสิ่งที่พวกเขา ‘ไม่อยากพบเจอ’ ในชีวิตจริงอีกด้วย

Uzumaki
Uzumaki

...


เล่าเรื่องผ่านภาพนิ่ง แต่คิดแบบภาพเคลื่อนไหว

ผลงานตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมาของอิโต้มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การ์ตูนสั้นจบในตอน, มังงะขนาดยาวหลายตอนจบ, นวนิยาย และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งด้วยขอบเขตการทำงานอันกว้างขวางนี้ ทำให้เขาได้เรียนรู้วิธีการเล่าเรื่อง และการใช้เครื่องมือเพื่อเขย่าขวัญผู้อ่านที่แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดสื่อ

“มันขึ้นอยู่กับความยาวของเรื่องครับ ถ้าเป็นเรื่องสั้น ผมจะชอบเขียนตอนจบให้ทำร้ายจิตใจคนอ่าน แต่ถ้าเป็นเรื่องยาว คนอ่านมักจะมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครที่ติดตามอ่านมา ผมเลยอยากหาบทสรุปแบบแฮปปี้ ให้คนอ่านได้ความรู้สึกดีๆ กลับไป แต่ส่วนตัวแล้ว ผมชอบเรื่องสั้นและการจบแบบโหดร้ายมากกว่า เพราะผมถนัดที่สุดแล้ว”

นอกจากตอนจบที่ทำให้คนอ่านอ้าปากค้าง เสน่ห์ในมังงะของเขาอีกอย่าง คือการสร้างบรรยากาศของเรื่องให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลและความไม่น่าไว้วางใจในทุกอณูของเรื่องราว

“จากประสบการณ์ของผม อารมณ์และสภาวะแวดล้อมสำคัญที่สุดครับ ผมอยากให้คนอ่านสัมผัสถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาด ผมอยากให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกนั้นตั้งแต่เห็นภาพครั้งแรก คือเนื้อเรื่องก็สำคัญนะ แต่ส่วนใหญ่แล้วสื่อแบบมังงะจะขายภาพและขายบรรยากาศเป็นหลักครับ”

และการขายบรรยากาศสยองขวัญ คือสิ่งที่อิโต้ได้เรียนรู้ผ่านการดูหนังและรายการโทรทัศน์สมัยเด็ก ซึ่งไปๆ มาๆ เขายอมรับว่ามันมีอิทธิพลต่อชีวิตเขามากยิ่งกว่าการ์ตูนสยองขวัญเสียอีก

“พวกการ์ตูนสยองขวัญไม่ค่อยน่ากลัวสำหรับผมครับ แต่รายการทีวีที่เล่าเรื่องผีสางนางไม้ พาเข้าบ้านผีสิง หรือทำพิธีเรียกวิญญาณพวกนี้ต่างหากที่ผมว่าน่ากลัว เวลาเห็นภาพของผีในรายการโทรทัศน์ มันเหมือนจริงมากจนผมไม่กล้าเข้าห้องน้ำคนเดียวอีกเลย”

“ส่วนหนัง ในยุคหลังๆ พวกเขามักใช้ฉากผีหลอกตุ้งแช่เพื่อทำให้คนดูตกใจ แต่ผมโตมากับหนังสยองขวัญค่าย Hammer และ Universal ในอดีตที่เน้นการสร้างอารมณ์ตื่นกลัวผ่านบรรยากาศชวนเขย่าขวัญ จริงอยู่ว่าการหลอกตุ้งแช่อาจทำให้ผู้คนตกใจในชั่วขณะนั้นได้ แต่มันก็จะได้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องของรสนิยมด้วยแหละครับ”

และหากจะหาผลงานที่ขายบรรยากาศชวนขนหัวลุกขั้นสุด อิโต้มั่นใจว่า Uzumaki หรือ ‘ก้นหอยมรณะ’ คือเรื่องนั้น

ตัวมังงะเล่าเรื่องของเมืองอันเงียบสงบแห่งหนึ่งที่จู่ๆ ก็พบเจอกับคำสาปก้นหอยมรณะ จนเกิดเรื่องเฮี้ยนๆ ไปทั่วทุกตารางนิ้ว โดยร่างกายของผู้คนจะเกิด ‘วงกลมปริศนา’ ขึ้นบนใบหน้า เนื้อตัว และทรงผม แถมบางคนยังค่อยๆ กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยง และไม่ว่าจะพยายามหลบหนีอย่างไร พวกเขาก็ออกไปจากเขตแดนของเมืองไม่พ้น

อิโต้ยกให้ Uzumaki เป็นงานเชิงทดลองที่สมบูรณ์แบบในเชิงศิลปะ เขาเชื่อว่าตอนสร้างสรรค์ผลงาน ความสามารถของเขากำลังอยู่ในช่วงสุกงอมพอดี และจินตนาการของเขาไม่เคยบรรเจิดเท่านี้มาก่อน การันตีได้จากภาพม้วนกลมของสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในทุกหน้ากระดาษ จนกลายมาเป็น ‘ภาพจำ’ เปี่ยมเอกลักษณ์ที่ผู้คนจะนึกถึงทันทีเมื่อพูดถึงลายเส้นสไตล์ จุนจิ อิโต้

Gyo
Gyo


‘ความกลัว’ ในส่วนลึกของยอดปรมาจารย์

มนุษย์ทุกคนย่อม ‘กลัว’ อะไรสักอย่าง แม้กระทั่งอิโต้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และหนึ่งในคำถามที่เขามักเจออยู่บ่อยๆ คือ “เจ้าพ่อการ์ตูนสยองขวัญอย่างเขากลัวอะไรมากที่สุด?” -- ซึ่งคำตอบของเขาก็คือ “สงคราม”

“พ่อแม่ผมเป็นคนจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยผมยังเด็ก ท่านจะเล่าถึงโศกนาฏกรรมและเรื่องน่ากลัวจากสงครามให้ฟังเสมอ ผมเลยเอามาพัฒนาต่อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสงครามนั้นน่ากลัวแค่ไหน อีกอย่าง ผมเคยกลัวว่าพอโตขึ้นจะโดนเกณฑ์ทหาร ความกลัวเหล่านั้นเลยพัฒนาเป็นความรู้สึกต่อต้านสงครามไปด้วยครับ”

ผลงานของเขาที่สะท้อนถึงด้านมืดของสงครามมากที่สุด คงเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ นอกจาก Gyo หรือ ‘ปลามรณะ’ อีกหนึ่งผลงานชิ้นเอก -ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Jaws (1975) หนังฉลามอาละวาดของ สตีเวน สปีลเบิร์ก- ว่าด้วยปลามีขาเหล็กที่ออกมา ‘วิ่ง’ ไล่ล่าผู้คนบนบกอย่างสะดวกโยธิน จนสุดท้ายถึงได้พบว่าพวกมันมีต้นตอมาจากการวิจัยทดลองอาวุธสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

อิโต้ใช้ Gyo เพื่อสื่อถึงผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์ที่ไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่สารแปลกปลอมจากระเบิดปรมาณูยังส่งผลทางชีวภาพต่อผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย มันจึงถือเป็นงานที่แฝงถึงพิษภัยของสงครามโลกได้อย่างดีในระดับเดียวกับ Gojira (1954) หนังสัตว์ประหลาดจากค่าย Toho ที่ซ่อนใจความสำคัญว่าด้วยผลลัพธ์อันเลวร้ายของสงคราม ภายใต้การเปรียบเปรยผ่านเจ้าแห่งอสุรกายอย่าง ก็อดซิลลา

Army of One
Army of One


ผลงานของอิโต้อีกเรื่องที่สอดแทรกความน่ากลัวของสงคราม และความกลัวการต้องเป็นทหารได้ค่อนข้างน่าสนใจ คือ Army of One หรือ ‘บ้านที่อยู่ของทหารหนีทัพ’ เรื่องสั้นระดับท็อปฟอร์มที่อุปมาอุปไมยถึงความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเชื่อมโยงเข้ากับ ‘โฆษณาชวนเชื่อ’ ของกองทัพในการเกณฑ์คนมาร่วมทำสงคราม ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้ก็ทำเอาผู้อ่านถึงกับเสียวสันหลังวาบ

อย่างไรก็ตาม ผลงานที่ ‘ชวนคลื่นเหียนที่สุด’ คือ Glyceride หรือ ‘ไขมัน’ การ์ตูนสั้นว่าด้วยพี่ชายร่างอ้วนที่ชอบใช้กลั่นแกล้งน้องสาวผ่านการ ‘บีบสิว’ จำนวนมหาศาลใส่หน้าเธอ เป็นงานชวนอ้วกขนาดที่อิโต้ยอมรับว่า แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียนเวลาวาดเหมือนกัน


อีกด้านอันอ่อนโยนของนักวาดสุดโหด

เห็นเขาเป็นยอดนักวาดการ์ตูนสยองขวัญแบบนี้ คนทั่วไปอาจไม่คาดคิดว่า ตัวจริงของอิโต้จะเป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยน พูดน้อย สะอาดสะอ้าน และที่สำคัญยังเป็น ‘ทาสแมว’ กับเขาด้วย

อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยเลี้ยงสัตว์ชนิดไหนมาก่อน จนกระทั่งเขาแต่งงานกับ อายาโกะ อิชิกุโร่ ศิลปินผู้รักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ พออยู่ใต้ชายคาเดียวกัน เขาจึงค่อยๆ ผูกมิตรกับ ยง และ มู สองแมวตัวป่วนของภรรยา จนกลายเป็นทาสชนิดถอนตัวไม่ขึ้น

อิโต้ยอมรับว่า เมื่อก่อนเขาไม่ถนัดวาดรูปสัตว์เท่าไร แต่การเลี้ยงแมวทำให้เขาตัดสินใจสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างจากงานอื่นๆ โดยสิ้นเชิงนั่นคือ Junji Ito's Cat Diary: Yon & Mu หรือมังงะอัตชีวประวัติตัวเขาเอง โดยมีโฟกัสหลักอยู่ที่การเลี้ยงเจ้าแมวจอมยุ่งทั้งสอง

“ผมไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกับแมวแบบนี้มาก่อน บอกตามตรงว่าพวกมันดูน่ากลัวหน่อยๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผมก็เกิดความคิดว่า ถ้าแต่งมังงะว่าด้วยการพบเจอสถานการณ์แปลกใหม่ มันก็คงน่าสนใจดีเหมือนกันนะ ซึ่งพอบรรณาธิการของผมรู้ว่าผมเลี้ยงแมวแล้ว เขาก็เลยเสนอไอเดียนี้ขึ้นมาครับ”


Junji Ito's Cat Diary: Yon & Mu อาจไม่ใช่มังงะสยองขวัญตามขนบของอิโต้ เพราะเป้าหมายหลักไม่ได้ต้องการเขย่าขวัญหรือทำให้ผู้อ่านรู้สึกกลัว แม้บางช่วงบางตอนจะยังแฝงลายเซ็นความหลอนอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ก็ตาม และเมื่อผลงานตีพิมพ์ออกไป มันก็ได้เสียงตอบรับที่ดี แถมยอดขายยังพุ่งเป็นประวัติการณ์ยิ่งกว่างานสยองขวัญขึ้นหิ้งของเขาเสียอีก

น่าเสียดายที่ปัจจุบันเจ้ายงและเจ้ามูได้ลาโลกนี้ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ครอบครัวอิโต้ก็ยังอุตส่าห์หาแมวมาอุปการะอีกสองตัว ชื่อว่า เทนมารุ และ โทนิจิ ซึ่งต่างก็เป็นแมวขี้อายที่ไม่ได้ก่อวีรกรรมกวนใจทาสอย่างเขาเยอะเท่ากับเจ้าแมวสองตัวที่จากไป

อย่างไรก็ตาม อิโต้รับประกันว่า ถ้าวันใดวันหนึ่ง พวกมันก่อเรื่องแสบๆ ละก็ เขาจะเก็บเอาเรื่องราวของพวกมันมาเขียนเป็นภาคต่ออย่างแน่นอน


วัยใกล้เกษียณ ...แต่ไกลจากภาวะโรยราทางความคิด

34 ปีแห่งความสยองขวัญล่วงผ่านไป จุนจิ อิโต้ อาจไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อล่ารางวัลหรือสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอีกแล้ว ...แต่บางทีความสำเร็จก็พร้อมจะพุ่งมาหาเขาเองโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ

เพราะเมื่อวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา อาจารย์อิโต้ได้รับข่าวดีว่า ผลงานชิ้นโบแดงอย่าง Remina หรือ ‘เรมิน่า ดาวมรณะ’ การ์ตูนนิยายวิทยาศาสตร์ระทึกขวัญของเขา -ที่เล่าถึงการค้นพบอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่กำลังพุ่งเข้าชนโลก ซึ่งส่งผลให้ผู้คนหวาดกลัว สิ้นหวัง จนเผยธาตุแท้อันดำมืดออกมา และพยายามเฮือกสุดท้ายเพื่อเอาชีวิตรอด- สามารถคว้ารางวัล Best U.S. Edition of International Material จากเวที Will Eisner Comic Industry Awards อันทรงเกียรติมาครอง


ไม่เพียงแค่นั้น เขายังได้รางวัล Best Writer/Artist จากเวทีเดียวกันจากงาน Venus in the Blind Spot หรือ ‘วีนัสที่มองไม่เห็น’ เรื่องสั้นแนวไซ-ไฟที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือรวมฮิต Best of Best ว่าด้วยหญิงสาวที่เชื่อในเรื่องยูเอฟโอและสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ก่อนจะเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่างที่ทำให้ผู้คนยิ่งปักใจว่าต้องเป็นฝีมือของ ‘เอเลี่ยน’ อย่างแน่นอน

มังงะทั้งสองเรื่องนี้เพิ่งได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา โดยสำนักพิมพ์ Viz Media ซึ่งแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อิโต้ได้รับรางวัลจากสถาบันนี้ แต่เขาก็ออกแถลงการณ์ว่ายินดีมากๆ ที่ผลงานทั้งสองได้รับการประเมินคุณค่าอย่างดีในอเมริกา ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่มีผลต่อจิตใจของเขาอย่างยิ่ง

ทุกวันนี้ แม้นักวาดการ์ตูนระดับ จุนจิ อิโต้ จะไม่ต้องการรางวัลใดๆ เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเองอีกแล้ว แต่ก็เป็นข้อยืนยันชั้นดีว่า ไม่ว่าผลงานของเขาจะถูกหยิบมา ‘อ่าน’ ในยุคใด มันก็จะยังคงเข้าสมัยเสมอ -- ถึงหากนับอายุแล้ว อิโต้จะอยู่ในวัยใกล้เกษียณเข้าไปทุกขณะก็ตาม

และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเขาถึงยังเป็นนักวาดการ์ตูนสยองขวัญมือวางอันดับต้นๆ ของโลกใบนี้


อ้างอิง: Wikipedia, Grapee.jp, Anime Sweet, Newsweek, Anime News Network, Gizmodo, Japan Times, Viz Media, Crunchyroll Extras