- เคยมีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า พรสวรรค์และความสามารถในการเล่นกีตาร์ที่ยอดเยี่ยม และเสียงร้องที่อ่อนนุ่มของ จอห์น เมเยอร์ ดูจะย้อนแย้งกับนิสัยและพฤติกรรมอันดิบเถื่อนของเขาเสียเหลือเกิน นั่นอาจเป็นเพราะชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยมอบความอบอุ่นให้กับเขาได้มาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น บั่นทอนจิตใจของเขาอย่างมาก จึงส่งผลให้เขามี ‘ปัญหา’ หลายอย่างมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
- และด้วยรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลานี้เอง ยังทำให้เมเยอร์เป็นหนุ่มเพลย์บอยมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่เขาไม่รู้ว่าจะมอบ ‘ความรักที่แท้จริง’ ให้กับผู้หญิงได้อย่างไร เพราะความรักหลายครั้งมักส่อแววว่าจะล่มสลาย ทำให้ลึกๆ เขากลัวที่จะมอบความรักให้ผู้หญิงสักคนแล้วถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดี
- การเป็นเสือผู้หญิงและมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศของเขานั้น เคยมีนักจิตวิทยาชี้ว่าอาจเกิดมาจากปม ‘ขาดความรักจากพ่อในวัยเด็ก’ เมเยอร์จึงแต่งเพลงรักหวานๆ ออกมาแทน เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถดึงเอาจิตใต้สำนึกที่ว่า แท้จริงแล้ว เขาหลงใหลในสตรีเพศ และชื่นชมพวกเธอผ่านศิลปะดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาทำในชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง

...
บางที สิ่งที่จะสามารถนิยามพรสวรรค์และความสามารถในการเล่นกีตาร์ที่ยอดเยี่ยมและเสียงร้องที่นุ่มนวล ซึ่งย้อนแย้งกับนิสัยและพฤติกรรมอันดิบเถื่อนของ จอห์น เมเยอร์ ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นฉากที่ตัวละคร มาร์ตี แม็กฟลาย (รับบทโดย ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์) ในหนังเรื่อง Back to the Future (1985) จับกีตาร์ Gibson ES-345 มาเล่นเพลง Johnny B. Goode ของ ชัก เบอร์รี ก่อนที่จะจบลงด้วยลีลาการโซโล่กีตาร์สุดดิบเถื่อนแบบเดียวกับ เอ็ดดี แวน ฮาเลน และลงเอยด้วยการถีบตู้แอมป์ลงกระแทกพื้น
ฉากนี้อาจจับความรู้สึกส่วนลึกภายในจิตใจของเมเยอร์ได้อย่างลึกซึ้ง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาหลงรักเครื่องดนตรีชนิดนี้ที่สามารถแสดงความอ่อนโยน, สนุกสนาน หรือดิบกร้าวออกมาได้ตามแต่ใจปรารถนา เมื่อขณะที่เด็กชายเมเยอร์อายุได้ 13 ปี พ่อของเขายืมกีตาร์ตัวหนึ่งมาให้ลูกชายเล่น เพื่อนบ้านหยิบเทปคาสเซตต์ของตำนานกีตาร์บลูส์อย่าง สตีวี เรย์ วอห์น ให้กับเมเยอร์ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหลงรักดนตรีบลูส์ และหลังจากนั้น เขาก็หัดเล่นกีตาร์ตามมือเทพเจ้าบลูส์อย่าง บัดดี กาย, บี บี คิง, เฟร็ดดี คิง, อัลเบิร์ต คิง และ โอทิส รัช
ด้วยวัยเพียง 13 ปี จอห์น เมเยอร์ ไม่ได้ขอพ่อเรียนดนตรี แต่เขาขอให้ อัล เฟอร์เรนเต เจ้าของร้านขายกีตาร์ในเมืองแฟร์ฟิลด์ รัฐคอนเนกติกัต สอนกีตาร์ให้เพื่อตัวเองจะได้หลีกลี้จากโลกแห่งความจริง ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเส้นลวด 6 สายแบบถอนตัวไม่ขึ้น ...จนพ่อแม่ตัดสินใจพาไปพบจิตแพทย์
นี่คือบาดแผลแรกที่ซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใต้สำนึกของเขา ด้วยคำถามที่ว่า “การหมกมุ่นในการเล่นกีตาร์เป็นเรื่องผิดอะไร?” และเขาเองก็รับมือกับการเห็นภาพที่พ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงต่อหน้าหลายครั้งหลายคราไม่ได้ เด็กชายเมเยอร์จึงเร้นตัวอยู่ที่มุมเล็กๆ ภายในห้องส่วนตัวเพื่อเล่นกีตาร์อย่างมุ่งมั่นเป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะมีฝีมือมากพอจะหาเงินจากการเล่นกีตาร์ที่บาร์ท้องถิ่นหลายแห่งทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย และตั้งวงดนตรีที่มีชื่อว่า Villanova Junction ที่หยิบยืมมาจากชื่อเพลงของ จิมี เฮนดริกซ์ ร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเมเยอร์ เกิดขึ้นเมื่อเขาเกือบตายด้วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะในวัย 17 ปี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “นั่นเป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณความเป็นนักแต่งเพลงก่อกำเนิดขึ้นในตัวผม” เขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงแรกในชีวิตบนเตียงคนไข้ในคืนสุดท้ายก่อนออกจากโรงพยาบาล
เคยมีตำนานเล่าขานว่า โรเบิร์ต จอห์นสัน มือกีตาร์บลูส์ที่มีฝีมือเก่งฉกาจที่สุดคนหนึ่งยอมขายวิญญาณให้กับ ‘ซาตาน’ กลางสี่แยกแห่งหนึ่ง เพื่อแลกกับความสามารถในการเล่นกีตาร์ที่เหนือชั้นในชั่วข้ามคืน ขณะที่ถึงแม้เมเยอร์จะไม่ได้ขายวิญญาณให้กับซาตาน แต่ด้วยชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยมอบความอบอุ่นให้กับเขาได้มาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น บั่นทอนจิตใจของเขาอย่างมาก จึงส่งผลให้เขามีปัญหาทางสุขภาพจิตหลายอย่างตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นอาการวิตกกังวล หรืออาการแพนิก (Panic) ที่หวาดกลัวว่าตัวเองจะไร้ซึ่งความมั่นคงในชีวิต
...
และด้วยรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลานี้เองที่ทำให้เมเยอร์เป็นหนุ่มเพลย์บอยมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่เขาไม่รู้ว่าจะมอบ ‘ความรักที่แท้จริง’ ให้กับผู้หญิงได้อย่างไร เพราะความรักหลายครั้งมักส่อแววว่าจะล่มสลาย ทำให้ลึกๆ เขากลัวที่จะมอบความรักให้ผู้หญิงสักคนแล้วถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดี
ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เขาจึงเป็นฝ่ายบอกเลิกกับคนรักก่อนเสมอ เมื่อสัมผัสได้ว่าความรักเริ่มสั่นคลอน แต่หารู้ไม่ว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเองต่างหากที่ทำให้เขาตัดจบความสัมพันธ์ก่อนถึงเวลาอันควรอยู่หลายครั้ง
Daughters เพลงจากอัลบั้มชุดที่ 2 อย่าง Heavier Things (2003) อาจเป็นเพลงแรกที่ทำให้ชื่อของ จอห์น เมเยอร์ โด่งดังในระดับโลกอย่างแท้จริง ...แต่บทเพลงที่คว้า 2 รางวัลแกรมมี่เพลงนี้ก็บ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า เมเยอร์มีความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า “รักแท้ไม่มีอยู่จริง”
ครั้งหนึ่ง เมเยอร์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาจินตนาการถึงผู้ชายคนหนึ่งที่รักคนรักของเขามาก แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ไม่ยินยอมให้ชายคนรักเข้ามาครอบครองหัวใจของเธอได้ทั้งดวง เพราะความหวาดกลัวว่าจะถูกหลอก มีทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์เพลงตีความว่า ผู้หญิงในเพลงนี้คือ ‘ความรู้สึกหวาดกลัวในความไม่มั่นคง’ ที่อยู่ภายในจิตใจของเมเยอร์เอง
...
“มันเป็นเพลงที่พูดถึงการย้อนอดีตเพื่อหาร่องรอยที่ว่า อะไรกันหนอที่ทำให้คนคนหนึ่งรักใครอีกคนหนึ่งได้อย่างหมดหัวใจ ซึ่งคำตอบก็คือ ร่องรอยเหล่านั้นมันไม่มีอยู่จริง เราทึกทักเอาเองว่ามันมี ทั้งๆ ที่มันไม่มี” นั่นคือหนึ่งในการตีความ
และด้วยความสามารถในการแต่งเพลงของเมเยอร์ เขาจึงไม่ได้พูดถึงสิ่งเหล่านั้นออกมาตรงๆ แต่บอกเล่าผ่านเนื้อหาของบทเพลงที่เรียกร้องให้พ่อแม่ดูแล ‘ลูกสาว’ ของพวกเขาให้ดีที่สุด เพื่อให้เธอได้เข้าใจถึงความรักที่แท้จริง ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่า เมเยอร์กำลังพูดถึงพ่อแม่ของเขาที่ไม่ได้มอบความรักอันยั่งยืนให้กับเขาเลย และเขาก็ให้ลูกสาวเป็นตัวแทนของตัวเองเพื่อแสดงด้านที่อ่อนไหวนั้นออกมา ซึ่งสอดคล้องกับดนตรีอะคูสติกติดกลิ่นอายดนตรีบลูส์ของตัวเพลงได้อย่างหมดจดงดงาม
แม้จะไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า ในสมัยที่ยังไม่มีชื่อเสียง เมเยอร์เคยเดตกับผู้หญิงมาแล้วกี่คน แต่ในปี 2002 มือกีตาร์เสือผู้หญิงคนนี้เคยเดตกับนักแสดงสาว เจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิตต์ อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะเลิกรากันไป และคนจำนวนมากเชื่อว่า Your Body Is a Wonderland บทเพลงที่พร่ำเพ้อถึงเรือนร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยงามจนน่าพิศวงนั้น เมเยอร์อาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปร่างที่สวยงามของเลิฟ ฮิววิตต์ ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้อาจเป็นไปได้สูง หากเขาไม่เคยพูดที่คลับระหว่างการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน The Laugh Factory ในแอลเอว่า เขาไม่เคยมีเซ็กซ์กับอดีตคนรักนักแสดงสาวคนนี้มาก่อน เพราะทุกครั้งที่เมเยอร์อยาก ‘บรรเลงเพลงรัก’ กับเธอขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาก็มักเกิดอาการอาหารเป็นพิษอยู่ตลอด
...
การแสดงตลกที่ไม่ค่อยมีใครตลก-โดยเฉพาะกับผู้หญิง-นี้ ทำให้เมเยอร์ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า เขามองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาออกมาขอโทษอดีตแฟนสาวในภายหลัง พร้อมบอกด้วยว่า “ผมมันโง่เองที่เล่นมุกตลกแบบนี้”

แต่เมเยอร์ก็หาได้เข็ดไม่ เพราะในปี 2008 เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาเลิกรากับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่เคยเดตกันไม่นานในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น เนื่องจากไม่อยากให้ฝ่ายหญิงเสียเวลา เพราะรู้ตัวดีว่าเขาไม่เหมาะสม ซึ่งหากพูดเพียงเท่านี้ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี ถ้าเมเยอร์ไม่พยายามอย่างหนักที่จะบอกกับสื่อว่า เขาเป็นฝ่าย ‘บอกเลิก’ นักแสดงสาวที่สวยและฮอตที่สุดในเวลานั้นอย่างอนิสตัน จนถึงขั้นบอกว่าการบอกเลิกกับเธอนั้น ก็ไม่ต่างจากการที่เขาเผาธงชาติอเมริกัน ซึ่งเปรียบได้กับการไม่ไยดีผู้หญิงในอุดมคติของผู้ชายทั่วโลก
และแน่นอนว่า คนที่ชอกช้ำกับการคุยโวของเมเยอร์มากที่สุด ก็คืออนิสตันเอง ซึ่งทางนิตยสาร Rolling Stone ถึงกับเขียนถึงมือกีตาร์หนุ่มว่า “การเรียกร้องความสนใจด้วยการให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองเป็นฝ่ายบอกเลิกผู้หญิงที่เขาคิดเอาเองว่าเป็นผู้หญิงในฝันของผู้ชายทั้งโลก ทำให้เขาเหมือนเป็นไอ้ผู้ชายหน้าโง่คนหนึ่ง”
นักร้องสาว เจสสิกา ซิมป์สัน ก็เคยรักๆ เลิกๆ กับเมเยอร์อยู่หลายปี นับตั้งแต่ที่ทั้งคู่เริ่มคบกันในปี 2010 ซึ่งหลังจากที่เลิกรากัน เมเยอร์ก็ยังคงไม่ให้เกียรติฝ่ายหญิงอยู่เช่นเดิม เพราะเขาเปรียบเทียบการมีเซ็กซ์กับซิมป์สันว่า “ไม่ต่างไปจากการติดยาเสพติด” และบอกตรงๆ ด้วยซ้ำว่า สำหรับเขาแล้ว เธอคือ ‘โคเคน’ ที่ต้องเสพตลอดเวลา และระดับความรุนแรงดิบเถื่อนในการมีเซ็กซ์กับเธอก็ไม่ต่างกับ ‘ระเบิดนาปาล์ม’ โดยคำพูดที่ทำให้เมเยอร์ถูกก่นด่าจากเหล่าเฟมินิสต์มากที่สุดก็คือ “ถ้าคุณคิดเงินผมหมื่นเหรียญเพื่อที่จะมีเซ็กซ์กับผู้หญิงแบบนี้ ผมจะเทหมดหนักตักเลยเพื่อที่ได้มีเซ็กซ์กับผู้หญิงแบบนี้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ”
นอกจากจะเป็นคนเหยียดเพศแล้ว เมเยอร์ก็ยังแสดงออกว่าเป็นคน ‘เหยียดผิว’ อยู่กลายๆ ด้วย เพราะเขาเคยเปรียบเทียบน้องชายของตัวเองกับ เดวิด ดุก ซึ่งเป็นอดีตแกนนำคนสำคัญของ Ku Klux Klan (คู คลักซ์ แคลน) ซึ่งเป็นกลุ่มคนขาวที่เหยียดคนผิวดำอย่างสุดขั้ว โดยเมเยอร์บอกว่า เขาไม่คิดที่จะมีเซ็กซ์กับผู้หญิงเชื้อสายแอฟริกัน/อเมริกันเพราะองคชาติของตัวเองเป็นพวก White Supremacy ที่เชื่อว่าคนขาวคือชาติพันธุ์ที่สูงส่งกว่าคนเชื้อชาติอื่น
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เคยมีบทสัมภาษณ์ที่เมเยอร์สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มเกย์อย่างมาก เพราะคำพูดประชดประชันที่ว่า เขาอยากจะจูบกับ เปเรซ ฮิลตัน (สื่อเกย์ระดับเซเลบ) อย่างดูดดื่มที่สุด เพื่อให้สมกับที่เขาเกลียดพวกลักเพศ
แต่ก็ยังมีอดีตแฟนสาวของเมเยอร์คนหนึ่งที่กล้าตอบโต้เสือผู้หญิงอย่างเขา เธอคนนั้นคือ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่แต่งเพลง Dear John ขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่า เธอไม่ควรตกเป็นเหยื่อของเขา ซึ่งในภายหลัง เมเยอร์ก็ออกมาบอกว่า เขารู้สึกเสื่อมเสียเกียรติมากที่ถูกด่าผ่านเพลงแบบนี้ และเขาก็ได้แต่งเพลงอย่าง Paper Doll ออกมาตอบโต้สวิฟต์ โดยอ้างอิงจากเนื้อเพลง Dear John ท่อนหนึ่งที่ว่า “คุณแต่งแต้มท้องฟ้าให้ฉัน ก่อนที่จะเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเมฆฝน” มาแปลงเป็นเนื้อหาของ Paper Doll ในท่อนที่ว่า “ถ้าหากปีกคู่นั้นทำให้นางฟ้าอย่างเธอบินไม่ได้ สงสัยคงต้องให้ใครสักคนมาแต่งแต้มท้องฟ้าอันใหม่ให้กับเธอแล้วล่ะมั้ง”
เจมส์ เบลก นักเทนนิสระดับโลกที่เป็นเพื่อนสนิทกับเมเยอร์บอกว่า แม้ชายผู้นี้จะเป็นที่คลั่งไคล้ของสาวๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าในช่วงวัยรุ่น เขากลับโฟกัสไปที่การเล่นกีตาร์มากกว่า โดยเขาสามารถเล่นกีตาร์ของ สตีวี เรย์ วอห์น ได้ด้วยตัวเอง แถมบอกว่าเขาอยากเล่นดนตรีไปตลอดชีวิตด้วย ขณะที่ โจ เบเลซเนย์ ที่เคยเล่นริทึมกีตาร์กับเมเยอร์สมัยเรียนไฮสคูลก็บอกว่า เพื่อนเขาสามารถเล่นเบสส์ดรัมและตีคอร์ดกีตาร์ไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้เห็นตกตะลึงไปเลย
เมเยอร์เองเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone ว่า “การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุด ผมไม่ชอบการเรียนไปโรงเรียน ผมเคยบอก เจมส์ เบลก ว่า ผมไม่กลัวที่จะไม่มีเงิน และต้องอาศัยนอนตามบาร์สกปรกๆ หลังเล่นดนตรีเสร็จแล้ว ผมแค่อยากเล่นดนตรีเท่านั้น” ซึ่งก็คล้ายกับสิ่งที่เขาบอกกับพ่อแม่ที่ก่อให้เกิดผลตอบกลับที่ไม่สู้ดีนัก

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ร่ำเรียนจนจบไฮสคูล และเข้าศึกษาต่อในสถาบันดนตรีที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกาอย่าง Berklee College of Music ในเมืองบอสตัน แต่เรียนไปได้เพียงแค่ปีเดียว เขาก็ตัดสินใจดร็อปเรียนและย้ายไปอยู่ที่เมืองแอตแลนตา เพื่อแต่งเพลงและเล่นดนตรีประจำให้กับร้าน Eddie’s Attic โดยในเวลาเดียวกันก็รับงานเป็นเด็กรับแขกหน้าร้านแบบพาร์ตไทม์ไปด้วย
“เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมพรสวรรค์ทางดนตรีเท่าที่ผมเคยเห็นมา” เอ็ดดี โอเวน เจ้าของร้าน Eddie’s Attic กล่าวเช่นนั้น “เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่าเขาจะต้องเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ แม้ในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุด” ส่วน ไมเคิล แม็กโดนัลด์ ผู้จัดการส่วนตัวที่เป็นเพื่อนกับเมเยอร์มานานกว่า 10 ปี เผยว่า “เขามักจะปลีกวิเวกไปเล่นกีตาร์ เพราะในใจลึกๆ แล้ว เขามองตัวเองว่าเป็นคนนอกและเข้าสังคมไม่ได้เลย”
สำหรับเรื่องของการเป็นเสือผู้หญิงและมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศของเขานั้น เคยมีนักจิตวิทยาชี้ว่าอาจเกิดมาจากปม ‘ขาดความรักจากพ่อในวัยเด็ก’ เมเยอร์จึงแต่งเพลงรักหวานๆ ออกมาแทน เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถดึงเอาจิตใต้สำนึกที่ว่า แท้จริงแล้ว เขาหลงใหลในสตรีเพศ และชื่นชมพวกเธอผ่านศิลปะดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาทำในชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง
ครั้งหนึ่งในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone มีสาวสวยกลุ่มหนึ่งเดินผ่านหน้าเมเยอร์ไป เขาหยุดคุยกับนักข่าวทันทีและมองสาวๆ เหล่านั้นแบบตาไม่กะพริบ แล้วเผยว่า “หากผมคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งในนั้น ผู้หญิงคนอื่นๆ จะคิดว่าทำไมผมถึงไม่คุยกับพวกเธอก่อน และผมจะรู้สึกผิดมากๆ ถ้าคุยไปแล้วตาเกิดเหลือบไปเห็นผู้หญิงที่ผมอยากคุยมากกว่า ผมเป็นผู้ชายแบบนั้นแหละ ผมอยากได้ผู้หญิงทุกคน ผมช่วยตัวเองทุกวัน แต่ตอนนี้ผมคงกลับบ้านไปสูบกัญชา และเล่นเกม Modern Warfare 2 ทั้งคืน” ซึ่งก่อนจะจบบทสนทนาและกลับบ้าน เมเยอร์สูดลมหายใจเข้าปอดเล็กน้อย พร้อมพูดเสริมอีกด้วยว่า “สาวสวยหนึ่งในนั้นใช้น้ำหอมแบรนด์ Child ถ้าผมทายผิด ผมก็คือไอ้โง่คนหนึ่ง แต่ถ้าผมทายถูก ผมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เจมส์ บอนด์ ของแท้”
และนั่นก็ยังแสดงให้เห็นว่าเขายังคงเป็น จอห์น เมเยอร์ ตัวจริงเสียงจริงไม่เคยเปลี่ยน

Sob Rock สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 ของ จอห์น เมเยอร์ ที่มีเพลง New Light และ Last Train Home เป็นซิงเกิลฮิต มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้
อ้างอิง: Rolling Stone, Insider, Nolala