- แฟนคลับ Friends แทบต้องปาดน้ำตา เมื่อ HBO Max ปล่อยตัวอย่างความยาวกว่า 2 นาทีของซีรีส์ตอนพิเศษ Friends: The Reunion จนสามารถสร้างปรากฏการณ์ยอดผู้ชมมากถึง 15 ล้านวิว ภายในระยะเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น
- ด้วยความที่ Friends กินระยะเวลาการฉายนานถึง 10 ปี (1994 - 2004) และมีจำนวนตอนมากถึง 236 ตอน ผู้ชมจึงรู้สึก ‘ผูกพัน’ กับตัวละครจนเปรียบเสมือนเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ไปโดยปริยาย ซึ่งนอกจากตัวบทที่สนุกมากๆ แล้ว สิ่งที่ให้ Friends ครองใจผู้ชมอีกประการหนึ่งก็คือ แนวคิดการใช้ชีวิตอันแหลมคมที่ถูกบอกเล่าผ่านการเติบโตของตัวละครในมิติที่แตกต่างกันไป
- มีรายงานว่า ซีรีส์ชุดนี้ทำรายได้ให้สตูดิโอมากถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เรตติ้งก็หรูหราไม่แพ้กัน เพราะมียอดผู้ชมแต่ละซีซั่นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน ทั้งยังเคยทำสถิติสูงสุดในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่อันดับ 2 ของปี -และเป็นรองแค่การแข่งขันอเมริกันฟุตบอลอย่าง Super Bowl เท่านั้น- มาแล้ว
หากคุณกำลังจะเจอ ‘เพื่อนสนิท’ ที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานกว่า 17 ปี ...คุณจะรู้สึกอย่างไร?
มันอาจเป็นความรู้สึกเดียวกับแฟนคลับ Friends ที่แทบต้องปาดน้ำตา เมื่อ HBO Max ได้ปล่อยตัวอย่างความยาวกว่า 2 นาทีของซีรีส์ตอนพิเศษ Friends: The Reunion จนสามารถสร้างปรากฏการณ์ยอดผู้ชมมากถึง 15 ล้านวิว ภายในระยะเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น
นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่า มีคนตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของเพื่อนทั้ง 6 อย่าง รอสส์ เกลเลอร์, เรเชล กรีน, แชนด์เลอร์ บิง, โมนิกา เกลเลอร์, โจอี้ ทริบิอานี และ ฟีบี บูเฟย์ ที่จะมาร่วมกันรำลึกความทรงจำ นับตั้งแต่การอำลาหน้าจอไปของพวกเขาเมื่อปี 2004
และเพื่อต้อนรับการกลับมาของ Friends เราจะมาย้อนดู ‘ตำนาน’ ของซีรีส์แนวซิตคอม (Sitcom) ที่มีชื่อแปลว่า ‘เพื่อน’ แต่กลับมีความหมายมากกว่า ‘เพื่อน’ เรื่องนี้กัน
...
‘เพื่อน’ ที่เกิดขึ้นจากชีวิตจริง
Friends ออกฉายครั้งในปี 1994 โดยเป็นผลงานของสองเพื่อนซี้นักเขียนบท มาร์ทา คอฟฟ์แมน และ เดวิด เครน ที่นำเค้าโครงจาก ‘เรื่องจริง’ ของตัวเองสมัยเพิ่งเรียนจบมาเป็นแรงบันดาลใจ โดยคอฟฟ์แมนเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ต้นกำเนิดของ Friends มาจากช่วงเวลาที่เพื่อนเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณ”
ประเด็นดังกล่าวโดนใจผู้บริหารช่อง NBC เป็นอย่างมาก เพราะพวกเขากำลังมองหาซีรีส์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ ‘เพื่อนที่กลายมาเป็นครอบครัว’ อยู่พอดี ทั้งคอฟฟ์แมนและเครนจึงเริ่มพัฒนาพล็อตต้นแบบจากเรื่องง่ายๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของกลุ่มเพื่อน 6 คน ที่อาศัยอยู่ร่วมกันภายในอพาร์ตเมนต์สีม่วงของนิวยอร์ก
มองเผินๆ อาจเป็นพล็อตที่ดูแสนจะธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้ Friends พิชิตใจผู้ชมได้ ก็คือมิตรภาพและความสัมพันธ์ของเพื่อนกลุ่มนี้ที่ค่อยๆ เติบโตไปในแต่ละซีซั่น ผ่านการเขียนบทที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ซึ่งก็มีทั้งมุกตลกโบ๊ะบ๊ะที่ทำให้เราขำท้องแข็ง และฉากซึ้งๆ ที่สามารถเรียกน้ำตาจากเราได้ด้วย
คงต้องยกเครดิตให้กับทีมเขียนบทที่ช่วยสร้างสรรค์เรื่องราวการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ให้ออกมาสมจริงและกินใจเข้ากับยุคสมัย เนื่องจากคนเมืองส่วนใหญ่มักเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา หรือกระทั่งการต้องแชร์ห้องร่วมกับคนอื่นไม่ต่างจากบรรดาตัวละครเหล่านี้ เหมือนกับที่ แมตต์ เลอบลังก์ ผู้รับบท โจอี้ บอกว่า “เราทุกคนต่างเคยมีความสัมพันธ์แบบนี้ในชีวิตจริงกันมาทั้งนั้น” นั่นแหละ
ฉะนั้น ภาพมิตรภาพอันเหนียวแน่นของเพื่อนกลุ่มนี้ จึงกลายเป็นภาพในอุดมคติที่ใครหลายคนโหยหา เพราะไม่ว่าจะผ่านเรื่องราวผิดหวัง เจ็บช้ำ หรือทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันมาก็ตาม พวกเขาก็ยังคงพยายามทำความเข้าใจ ให้อภัย และรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้เสมอ
Friends จึงทำหน้าที่เป็น 'เพื่อนทิพย์' ที่คอยอยู่เคียงข้างผู้ชมในทุกครั้งที่ได้รับชม
‘เพื่อน’ ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้ชม
ด้วยความที่ Friends กินระยะเวลาการฉายนานถึง 10 ปี (1994 - 2004) และมีจำนวนตอนมากถึง 236 ตอน ผู้ชมจึงรู้สึก ‘ผูกพัน’ กับตัวละครจนเปรียบเสมือนเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ไปโดยปริยาย ซึ่งนอกจากตัวบทที่สนุกมากๆ แล้ว สิ่งที่ทำให้ Friends ครองใจผู้ชมอีกประการหนึ่งก็คือ แนวคิดการใช้ชีวิตอันแหลมคมที่ถูกบอกเล่าผ่านการเติบโตของตัวละครในมิติที่แตกต่างกันไป ทั้งจากเรื่องราวน่ายินดี หรือบาดแผลความเจ็บปวด
ยกตัวอย่างเช่น ประเด็นความรักอันบอบช้ำ ทั้งการต้องหย่าร้างกับภรรยาของรอสส์, การพยายามที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากหลบหนีงานแต่งของเรเชล หรือการเลิกรากับแฟนหนุ่มรุ่นราวคราวพ่อของโมนิกา เพราะต่างคนก็มองอนาคตไม่เหมือนกัน เป็นต้น
ประเด็นทางอาชีพการงาน ทั้งการที่แชนด์เลอร์ลาออกจากงานประจำรายได้ดี มาทำตามความฝันในการเป็นนักโฆษณา, การยึดติดความสำเร็จในฐานะนักแสดงโทรทัศน์ของโจอี้ หรือความรักในการร้องเพลงของฟีบี ที่ถึงแม้จะร้องได้ไม่ดีนัก แต่เธอก็ไม่เคยล้มเลิกอาชีพนี้เลย
รวมถึงประเด็นสังคมเข้มๆ อย่าง ‘ความหลากหลายทางเพศ’ ที่ถูกพูดถึงอย่างตรงไปตรงมาผ่านภรรยาเก่าของรอสส์ที่ใช้ชีวิตแต่งงานใหม่กับคู่เลสเบี้ยนอย่างเรียบง่ายอบอุ่น หรือเรื่องราวของคุณพ่อแชนด์เลอร์ที่เป็นสาวข้ามเพศ ก็ถูกนำเสนอออกมาโดยไม่มีท่าทีตัดสินแต่อย่างใด
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Friends เต็มไปด้วย ‘บทเรียนชีวิต’ ที่ผู้ชมสามารถนำไปปรับใช้ได้ในโลกแห่งความจริง และก็ไม่แปลกเลยที่หลายคนจะสามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับตัวละครได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผ่านการร่วมทุกข์ร่วมสุขและเติบโตไปพร้อมๆ กับตัวละครนี่เอง
...
‘เพื่อน’ ในฐานะนักแสดง
องค์ประกอบสุดท้ายที่ทำให้ Friends มีเสน่ห์เหนือซีรีส์เรื่องอื่นในสายตาแฟนๆ คงหนีไม่พ้นเคมีของทีมนักแสดงที่เข้าขากันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจังหวะการปล่อย, ปู, ชิง, ตบ และขยี้มุกตลก ที่ ‘เป๊ะ’ ราวกับนักแสดงตลกมืออาชีพ ชนิดที่ผู้ชมหลายคนดูซ้ำรอบสองหรือสาม ก็ยังอดระเบิดเสียงหัวเราะกับมุกเดิมๆ ไม่ได้
ทั้งหมดทั้งมวลคงต้องยกความดีความชอบให้ทีมนักแสดงที่สามารถถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของตัวละครทั้ง 6 ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา ทั้ง เดวิด ชวิมเมอร์ ในบทหนุ่มเนิร์ดไดโนเสาร์ รอสส์ เกลเลอร์, เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ในบทสาวมั่นหนีรัก เรเชล กรีน, แมตธิว เพอร์รี ในบทหนุ่มผู้หวั่นกลัวการมีคู่ แชนด์เลอร์ บิง, คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ ในบทสาวเจ้าระเบียบ โมนิกา เกลเลอร์, แมตต์ เลอบลังก์ ในบทหนุ่มหล่อเซ่อซ่าแต่น่ารัก โจอี ทริบิอานี และ ลิซา คูโดรว์ ในบทสาววีแกนผู้มองโลกในแง่ดี ฟีบี บูเฟย์
อย่างไรก็ดี มิตรภาพของนักแสดงกลุ่มนี้ยังสานต่อออกมาถึงนอกจออีกด้วย เพราะในช่วงซีซั่นแรกๆ ที่ค่าตัวของนักแสดงยังได้รับไม่เท่าเทียมกัน แต่พวกเขาก็เคยรวมตัวเจรจาต่อรองจนได้รับค่าตัวเท่ากันใน 2 ซีซั่นสุดท้ายมาแล้ว หรืออย่างกรณีของเพอร์รี ที่มีชีวิตจริงไม่ตลกเหมือนกับตัวละครสายฮาของเขา เนื่องจากปัญหาการติดเหล้าและยาเสพติดจนชีวิตเกือบพัง แต่เพื่อนนักแสดงทุกคนก็ยังยื่นมือมาช่วยเหลือเท่าที่จะพอทำได้ (ซึ่งแฟนๆ คาดว่า เราจะได้เห็นกรณีนี้ใน Friends: The Reunion ด้วย จากตัวอย่างที่เพอร์รีก้มหน้าบอกว่า ‘ผมกำลังจะร้องไห้’ แล้วอนิสตันก็ยื่นมือมาแตะไหล่เบาๆ เพื่อปลอบใจ)
ยิ่งไปกว่านั้น Friends ยังเป็นหนึ่งในซีรีส์ซิตคอมที่ทีมนักแสดงหลักไม่เคยลาออกหรือถูกเปลี่ยนตัว และอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย “มิตรภาพและความเป็นครอบครัวที่เราได้รับจากซีรีส์เรื่องนี้มันคงไม่มีคำไหนที่จะมาใช้อธิบายได้ มันประเมินค่าไม่ได้จริงๆ ค่ะ” อนิสตันในวัย 52 ปีกล่าว ซึ่งนั่นก็นับเป็นความแน่นแฟ้นในมิตรภาพของทีมนักแสดงที่มีมาจนปัจจุบัน
...
‘เพื่อน’ ของผู้ชมทุกยุคทุกสมัย
Friends ประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอด 10 ปีที่ออกฉาย โดยมีรายงานว่า ซีรีส์ชุดนี้ทำรายได้ให้สตูดิโอมากถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่เรตติ้งก็หรูหราไม่แพ้กัน เพราะมียอดผู้ชมแต่ละซีซั่นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน ทั้งยังเคยทำสถิติสูงสุดในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่อันดับ 2 ของปี -และเป็นรองแค่การแข่งขันอเมริกันฟุตบอลอย่าง Super Bowl เท่านั้น- มาแล้ว
และถึง Friends จะลาจอไปตั้งแต่ปี 2004 แต่สิ่งที่ทำให้มันยังได้รับการพูดถึงอยู่เสมอ ก็เพราะการนำกลับมาฉายซ้ำอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งยอดการรับชมย้อนหลังผ่านเคเบิลทีวี, ดีวีดี, บลูเรย์ หรือระบบสตรีมมิง รวมกันแล้วก็ไม่ใช่น้อยๆ โดยเฉพาะทาง Netflix ที่สถิติปี 2018 ระบุว่า มียอดคนดูถล่มทลายมากกว่า 54.3 ล้านชั่วโมงเลยทีเดียว
ยิ่งบวกเข้ากับประเด็นเรื่องมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันล้าสมัย ก็ยิ่งทำให้ Friends เป็นซีรีส์ซิตคอมคลาสสิกที่คนรุ่นใหม่ยังสามารถ ‘เข้าถึง’ ได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม ถึงขนาดที่ Rap Monster หรือ RM สมาชิกวงบอยแบนด์เกาหลีอย่าง BTS เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ Carpool Karaoke ว่า ตัวเองฝึกภาษาอังกฤษมาจาก Friends แถมสมาชิกคนอื่นๆ ก็ยังเป็นแฟนคลับซีรีส์เรื่องนี้เสียด้วย
ปัจจุบัน เราจึงยังคงได้เห็นคนรุ่นใหม่ที่สถาปนาตัวเองเป็นแฟนคลับซีรีส์เรื่องนี้ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าประทับใจ
...
‘เพื่อน’ ที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง
จริงอยู่ที่คำว่า Friends อาจมีความหมายตายตัวว่า ‘เพื่อน’ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซีรีส์ชุดนี้กลับสร้างความหมายที่มากไปกว่านั้น นั่นคือการเป็นเสมือน ‘ครอบครัว’ ของแฟนคลับ ของผู้ชม และของทีมงานด้วยกันเอง
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่การกลับมาของ Friends: The Reunion สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับหลายคนทั่วโลก เพราะมันเหมือนว่า เรากำลังจะได้พบเจอเพื่อนสนิทที่ไม่เห็นหน้ากันมากว่า 17 ปีเต็ม ไม่ต่างจากเพลงไตเติลรายการ I’ll Be There For You โดย The Rambrandts ที่สื่อว่า เพื่อนกลุ่มนี้ไม่ได้หายไปไหน และพร้อมจะกลับมาสร้างความสุขให้คุณทุกเมื่อ
Friends: The Reunion ที่เป็นการพาทีมนักแสดงกลับไปเยี่ยมฉากถ่ายทำ พูดคุย และแสดงบทบาทเดิมๆ ร่วมกันนั้น จะมาย้อนรำลึกความทรงจำให้ผู้ชมทุกคนในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ทางช่อง HBO Max พร้อมแขกรับเชิญจากสารพัดวงการ อาทิ เดวิด เบ็กแคม, จัสติน บีเบอร์, เลดี้ กาก้า, คารา เดเลอวีน, คิต แฮริงตัน, วง BTS หรือแม้กระทั่งเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ มาลาลา ยูซาฟไซ
และหากจุดเริ่มต้นของซีรีส์เรื่องนี้คือ ‘ช่วงเวลาที่เพื่อนเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณ’ ตลอด 27 ปีที่ผ่านมา Friends ก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ
เหมือนที่อนิสตันเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ซีรีสเรื่องนี้จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ และเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันตลอดไป”
อ้างอิง: People, Hollywood Reporter (1, 2), Variety, The New York Times, Biography