หลังจากที่ ออม สุชาร์ ได้ไปนั่งในรายการ โหนกระแส เพื่อชี้แจงถึงประเด็นที่เกิดขึ้นกับดราม่าดาราฮุบบริษัท ซึ่งหลังจากจบรายการ เจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกครั้ง เผยว่า

- เราอยากจะบอกสังคมว่า เราไม่ได้เป็นคนโกง เราไม่ได้เป็นคนที่ฮุบบริษัท อันนี้เป็นข้อหาที่เขาพยายามจะใส่ตรงนี้มาให้ออมสักพักแล้ว ซึ่งเราก็ไม่มีโอกาสที่จะมาตอบโต้อะไร

- วันนี้ได้มาพูดกับพี่หนุ่ม รู้สึกว่าสบายใจมากขึ้น คนได้เห็นมุมมองในฝั่งออม ออมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ออมไม่เคยโกงใคร ออมทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างดีที่สุดในทุกๆ งานที่เคยทำ

- ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น วันนี้หนูได้แสดงมุมมองออกไปแล้ว หนูไม่ใช่คนที่เขากล่าวหา ส่วนสังคมจะตัดสินหนูยังไง อันนี้ก็น้อมรับ

- ปัญหาจริงๆ มันเริ่มเพราะความไม่ซื่อสัตย์ ความไม่ตรงไปตรงมาของคนที่ยืนข้างๆ หนู ถ้าวันนั้นคุณเดินมาบอกเราสักนิดว่าอยากจะทำอะไร ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการค้าแข่ง ก็อาจจะมีทางออกได้ดีกว่านี้ แต่ปัญหานี้มันถูกแก้ไขด้วยการใช้อารมณ์ทั้งหมด

...

- ออมยอมรับสำหรับออมก็มีอารมณ์ด้วย และเขาก็มีอารมณ์ด้วยเช่นกัน

- พริมบอกว่า ตอนที่โทรหาออมแล้วออมไม่ได้รับสาย เพราะว่าตอนที่เกิดเหตุหนูโกรธเขามาก ได้ยินเสียงเขาไม่ไหว เขาโทรมาหาหนู 2 สายถ้วน เลยเลือกที่จะคุยกับสามีเขาเพราะยังไงเขาก็อยู่ด้วยกัน

- ที่เขาพยายามจะโทรมาหาเรา หนูก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาคุยเรื่องอะไร แต่คิดว่าเรื่องที่เราไปพบไฟล์ในไดร์ฟนี่แหละค่ะ

- ส่วนผลเสียที่เกิดขึ้นมันเกิดมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะไม่ได้เป็นกรรมการแล้ว ช่วงเดือน 2-4 เพอร์ฟอร์แมนซ์ของพนักงานตกเรื่อยๆ ในเดือน 4 อินสตาแกรมถูกโพสต์แค่ 1 โพสต์ และแบรนด์ที่ขายออนไลน์ โพสต์แค่โพสต์เดียว ออมคิดว่ามันมีปัญหาแล้ว มันมีผลกระทบเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำคอนเทนต์ที่ทำให้ประชาชนรับรู้ว่า ผู้ถือหุ้นมีปัญหากัน

- เรามองว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตั้งแต่เรารับรู้ว่า เขากำลังทำอีกบริษัทขึ้นมา และพนักงานก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

- เรื่องหุ้น 4% ที่ซื้อมาจากศสา สำหรับหนูรู้สึกว่ามันเป็นการปกป้องตัวเองเหมือนกัน เชื่อว่าหลายคนที่ได้ฟังโครงสร้างธุรกิจไป อาจจะตัดสินใจเหมือนหนูก็ได้ หนูก็เลือกที่จะปกป้องตัวเอง เพราะหนูคิดว่า ถ้าหนูไม่ซื้อ เขาก็คงอยากจะซื้อเหมือนกัน

- ด้านทนายความยืนยันว่า การซื้อหุ้นโดยที่ไม่ต้องบอกอีกฝ่ายผู้ถือหุ้น ทำได้ 100% และเราก็ทำถูกต้อง 100% แน่นอน

- ออมบอกว่า อยากถามกลับเหมือนกันว่า เพื่อนกันที่ไปทำอีกแบรนด์หนึ่งโดยที่ไม่บอกเพื่อน ไปทำลิปสติกโดยที่เราก็ทำลิปสติก และไม่บอกเพื่อน อันนั้นขอถามหน่อยว่า จริยธรรมเขามากกว่าหนูเหรอคะ

- ความเจ็บปวดของออมในครั้งนี้ มันควรเป็นสิ่งที่ออมได้รับจากการที่เลือกคบคนผิด

- เมื่อถามว่า พริมอยากให้ปิดแบรนด์ แล้วส่วนของออมเป็นอย่างไร เจ้าตัวบอกว่า เขาคงจะอยากให้เป็นอย่างนั้นเพราะเขามี 2 กระเป๋า แต่เราทุ่มเท ตั้งใจ เวลาทั้งหมดทั้งชีวิตเราทุ่มเทให้กับแบรนด์ทำทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ปีนี้เหนื่อยมากกับการที่ต้องกอบกู้เพื่อไม่ให้บริษัทถูกทำลายไปมากกว่านี้ ตั้งใจใส่เต็มหน้าตักกับกระเป๋าใบเดียวของออม รักแบรนด์นี้เหมือนลูก คิดตั้งแต่แรกเลยว่าอยากสร้างไปให้ถึงจุดไหน

- จะพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ปิดแบรนด์นี้

- ส่วน 48% ก็จะเป็นไปตามกลไกของผู้ถือหุ้น ในฐานะที่เราบริหาร ถ้าออกมาได้สวยเขาก็จะได้ปันผล มันเป็นกลไกของเรื่องราวธุรกิจ แต่หนูขอแค่ความสบายใจในการบริหาร

- เอาจริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะมาถึงวันนี้เลย หนูข่มใจมานานแล้ว ถูกทำร้ายในโซเชียลมีเดียเยอะมาก ถ้าดูใน TikTok จะเห็นเลยว่า ออมฮุบบริษัท ออมเป็นคนขี้โกง ออมนั่นออมนี่ ซึ่งออมข่มใจมาตลอด ออมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น พี่ๆ เพื่อนๆ ในวงการรู้ว่าออมไม่ใช่คนแบบนั้น

- หนูไม่ได้อยากตอบโต้ทางโซเชียลเพราะไม่อยากให้มีผลกระทบกับแบรนด์ ไม่อยากให้แบรนด์มีดิจิตอลฟุตปริ๊นแบบนี้เลย

- คำว่า ออมฮุบกิจการมันดูเหมือนหนูเป็นคนชั่ว ทั้งๆ ที่ตอนนี้หนูทำงาน งานก็เพิ่มกว่าเดิม จากไลฟ์ ทำคลิป มาตอนนี้ต้องดูส่วนหลังบ้านด้วย พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แบรนด์เติบโตขึ้น แต่ก็ได้เงินเท่าเดิม ได้ปันผลเท่ากับเขา

- ยอมรับเคยคิดแว้บๆ ว่าจะปิดปบรนด์เพื่อล้างภาพออกให้หมดและเปิดแบรนด์ใหม่ เพราะว่ายังยึดติดกับสิ่งที่รัก 

- เมื่อถามถึงเรื่องสีหน้าและแววตาเหมือนคนคับแค้นใจ ออมถามว่า ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ ก็ตามนั้นแหละค่ะ 

- ที่ผ่านมาทั้งสะเทือนใจ ทั้งเหนื่อย ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน (เสียงสั่นน้ำตาไหล) ก็เป็นประสบการณ์ชีวิต คิดว่าเส้นทางมันคงเจอหลุม และสะดุดบ้าง ต้องสู้ต่อไปและลุกขึ้นมายืนให้ได้ 

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม

...