เจจินตัย อันติมานนท์ วันนี้ขอควงภรรยาสาวคนสวย บี อิสราวรรณ และลูกสาว น้องพลอยเจ ที่ตอนนี้ทั้งครอบครัวกลับมาอยู่ไทยถาวรแล้ว พร้อมเปิดชีวิตครอบครัวหลังไปตั้งรกรากใช้ชีวิตที่อเมริกานานกว่า 2 ปี บอกเลยว่าเกือบทำให้ชีวิตครอบครัวไปไม่รอด เผยสาเหตุอะไรที่ทำให้ตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทย เคลียร์เรื่องราวที่กำลังเป็นข่าว หลังโดนคุณหมอเก๊โกงเงินสูญไปกว่า 3 ล้านบาท ในรายการ "คุยแซ่บ Show" ทางช่อง One31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกร 

ครอบครัวนี้อยู่มาวันหนึ่งตัดสินใจย้ายจากเมืองไทยไปอยู่อเมริกา เกิดเหตุการณ์อะไรถึงไปทั้งครอบครัว?

เจจินตัย : เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เรื่องแรกคือโควิด

บี : ตอนนั้นลูกเรียนออนไลน์อย่างเดียว อยู่บ้านมากกว่า 6 เดือน มันนานจังเลย สงสารลูก

เจจินตัย : พออยู่ในออนไลน์เขาไม่มีสมาธิที่จะเรียนออนไลน์ เพื่อนที่อยู่อเมริกาก็เลยแนะนำว่าไม่ลองให้มาเรียนที่อเมริกา เพราะที่อเมริกามันผ่านช่วงพีกของโควิดมาแล้ว เด็กๆ ที่เรียนที่นั่นสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว แต่ที่ไทยกำลังพีกเลย เราก็คุยกันว่าเราจะไปลงทุนทำอะไรได้บ้าง เราเคยทำร้านอาหารอยู่แล้ว งั้นเราไปลงทุนที่นั่น เราสามารถใช้วีซ่า E-2 ลูกก็จะไปเรียนที่นั่นได้ ก็เลยตัดสินใจไป

...

เริ่มแรกเลยคือการศึกษาของพลอยเจก่อน?

เจจินตัย : ใช่ เขาไม่สามารถที่จะอยู่กับจอได้ เขาไม่มีสมาธิที่จะเรียนออนไลน์ได้ จากเรียนออนไลน์เป็นออกนอกบ้านไม่ได้แล้ว ห้างปิด สวนสาธารณะปิด เราไม่มีกิจกรรมอะไร แล้วงานก็ถูกระงับไปเรื่อยๆ

วางแผน ณ ตอนนั้นเห็นว่ามีละครค้างอยู่?

เจจินตัย : ตอนนั้นถ่ายอยู่ 8 เรื่อง เราแจ้งทางผู้จัดหมดเลยว่าผมมีเวลาอีก 10 เดือน ผมจะบินวันที่ 15 พฤศจิกายนนะ ให้เวลา 10 เดือนเลย เพราะช่วงนั้นพอเริ่มถ่ายกองก็ทำงานกันไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวก็มีนักแสดงคนนี้ติดคนนั้นติด พอติดก็ต้องกักตัว 14 วัน เราก็ต้องมีไทม์ไลน์ที่ต้องเดินทางก็เลยแจ้ง สุดท้ายเขาก็ปรับบทให้ผมตายหมดเลย 6 เรื่อง เรื่องนึงตกตึก อีกเรื่องเป็นบู๊โดนไม้แทงอก อีกเรื่องโดนยิง อีกเรื่องรถชน 

ตอนนั้นอยากไปมั้ย?

พลอยเจ : อยากไปค่ะ หนูอยากไปเจอเพื่อนหนูแล้วก็อยากขึ้นเครื่องบิน 

พอขึ้นเครื่องบิน 24 ชั่วโมง เป็นยังไง?

พลอยเจ : ไม่สนุกแล้วค่ะ

ก่อนจะไปก็ต้องเริ่มวางแผน เริ่มขายของ ขายอะไรบ้าง?

เจจินตัย : ตอนนั้นขายรถ ขายที่ ขายคอนโด

บี : ขายทุกอย่างเลยเพราะว่าเรารู้สึกว่าเราต้องย้าย จะไม่มีใครดูทรัพย์สินให้เรา เพราะว่าทางคุณแม่ก็อายุเยอะแล้ว เราต้องเคลียร์ตัวเองก่อนที่จะไป เพราะเราคิดว่าเราคงไม่ได้กลับมาแล้ว 

ณ วันที่จะไปกะว่ารันยาวแล้ว?

บี : ใช่ค่ะ ต้องยาวเลย เพราะเหมือนเราทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้ว เราตัดสินใจแล้วว่าเราทิ้งทุกอย่างที่นี่เพื่อลูกได้ไปเรียนที่นู่น เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่มาก

มีเวลาเตรียมตัวกันนานขนาดไหน?

เจจินตัย : คิดกันเป็นปีเหมือนกัน

บี : ถ้ามีแพลนเป็นปี แต่ตัดสินใจเลยต้องแล้ว ประมาณไม่ถึงสองเดือนดี ประมาณเดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง 

เจจินตัย : คาราคาซังมาเรื่อยๆ เตรียมตัว คาราคาซังแล้วก็วางแผน เตรียมตัว พอถึงเวลามันโช๊ะเลย

บี : มันเป็นช่วงโควิดหนักๆ พอดี โอเคต้องไปแล้ว

ณ ตอนที่เราจะไปเราฝันว่าจะเป็นยังไง แล้วพอไปถึงมันเป็นอย่างที่เราฝันมั้ย?

บี : คือก่อนที่เราจะไปอยู่จริงๆ เราก็ลองไปอยู่สักเดือนนึง อารมณ์เหมือนไปเที่ยวไปลองอยู่

เจเจินตัย : ไปเซอร์เวย์ก่อนแล้วก็ไปดูว่าเราจะอยู่อย่างนี้นะ โรงเรียนจะเป็นอย่างนี้ แต่เราไปสั้นประมาณเดือนนึง 

บี : ตอนไปเซอร์เวย์เราอยู่ได้นะ คือยังไงมันก็ไม่เหมือนอยู่จริงเนอะ แต่เราไม่รู้ว่ายังไง แต่พอเราไปอยู่จริงมันไม่เหมือนเลย มันแย่มากๆ นะ ความที่เราต้องปรับตัวหลายๆ อย่าง ทั้งตัวเราเองด้วย ทั้งลูกด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม 

ตอนไปตอนแรกบ้านยังไม่มี ต้องไปแชร์เขาอยู่ด้วย?

เจจินตัย : ใช่ แต่ว่าแชร์ในองค์กร เพราะว่าร้านอาหารจะมีหลายสาขา เรามีอยู่สองสาขาที่เราไปลงทุนใหม่ ตรงนั้นเป็นสำนักงานใหญ่แล้วเราก็แชร์กับพาร์ตเนอร์ ก็คือไปอยู่รวมก่อน ซื้อบ้านที่โน่นไม่ง่าย มันต้องมีพอยต์ มีเครดิตสกอร์ ไม่สามารถที่จะเอาเงินสดไปซื้อ ไม่ได้

...

บ้านไปแชร์กับเขาแล้ว รถก็ต้องดาวน์ 50% ก่อน?

บี : เรามีเงินที่พอจะซื้อได้ แต่ซื้อไม่ได้

เจจินตัย : เขาไม่ให้ซื้อสดด้วยนะ เขาให้เราซื้อเพื่อให้เราทำสกอร์ให้เราสร้างเครดิตขึ้นมาก่อนเพื่อที่จะปูตัวเอง 

บี : ที่สำคัญวีซ่าด้วย ถ้าเราไม่ใช่พลเมืองของเขาจริงๆ หรือเป็นนักลงทุนที่มีระยะเวลาอยู่เขาก็ไม่ให้อะไรที่เป็นทรัพย์สมบัติเลย

เจจินตัย : เพราะว่าตัววีซ่าที่ผมใช้ผมเป็น E-2 เป็นนักลงทุนมันอยู่ได้ 2 ปี เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปซื้อรถ เขามองว่าถ้า 2 ปี มันไม่ได้ต่อวีซ่าเขาจะทำยังไง ก็เลยต้องสร้างเครดิตสกอร์ขึ้น

หนีโควิดจากไทยถึงโน่นติดโควิดทั้งครอบครัวเลย?

เจจินตัย : ใช่ครับ ที่นี่แกร่งมากครับ ที่นี่ไม่มีปัญหา รอด เป็นผู้ชนะ ขึ้นเครื่องดีใจมาก ไปติดที่โน่นหนักเลย

ที่โน่นอย่าหวังว่าจะได้ไปโรงพยาบาล ต้องรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน?

บี : ใช่ค่ะ ไม่ได้ไปโรงพยาบาล เรื่องการแพทย์ไม่ว่าจะอาการเล็กอาการน้อยอาการใหญ่ติดต่อแพทย์ยากมาก 

เจจินตัย : ไม่เหมือนเมืองไทยเลยนะ ที่ไหนใครก็รักษา

แล้วที่ปรับตัวหนักสุดคือพลอยเจ?

พลอยเจ : เขาบอกว่าเป็นเด็กไทยเขาก็เลยไม่เล่นด้วย เริ่มมาผลักหนู แล้วก็เหมือนมาแกล้ง หนูก็อยู่เฉยๆ 

บี : เหมือนบูลลี่เอเชีย 

คุณพ่อคุณแม่ก็ไปโรงเรียนไปคุยกับคุณครูแต่ก็ไม่เกิดผล?

เจจินตัย : เขาก็รับเรื่องไว้ ก็เป็นการติดต่อยาก จะไปเจอครูก็ต้องมีอีเมล์เป็นการนัดหมายล่วงหน้า ไม่สามารถจะเดินไปแบบที่ไทยว่าคุณครูครับ เรามีปัญหาอันนี้ แล้วเคลียร์กันได้เลย 

โดนแกล้งอะไรบ้างพลอยเจ?

...

พลอยเจ : บางทีเขาก็เอากระดาษมาแปะกระเป๋าหนู เริ่มทำเกินไป แล้วหนูก็ร้องไห้ หนูก็ไม่ชอบ เป็นอยู่ประมาณเดือนนึง 

พ่อแม่ทำยังไง?

เจจินตัย : ได้แต่ไปเจอครู อีเมล์นัดเจอ พอนัดเจอก็บอกว่ามีปัญหาแบบนี้ เขาก็บอกว่าจะดูให้ เขาบอกว่าแรกๆ อย่างนี้แหละ เวลาเด็กทุกคนมาก็ปรับตัวแบบนี้แหละ อาจจะยังไม่ชินกับที่นี่ 

ชีวิตคู่ก็ยากเหลือเกิน ไม่พูดกันเกือบครึ่งปี?

เจจินตัย : กดดันหลายๆ อย่าง มันเหมือนอยู่กันแค่ 3 คน อยู่ที่นี่ยังช่วยเหลือกันได้ มีเพื่อนผม เราเครียดเรื่องลูก เรื่องงาน เรื่องวัฒนธรรม เรื่องสภาพแวดล้อมที่มันเปลี่ยนหมดเลย มันก็เลยตึงกันไปแล้วก็ไม่ได้คุย 

อยู่ๆ ก็ตื่นเช้ามาวันนี้ไม่คุยกันดีกว่า ก็ไม่คุยกันยาว 6 เดือน?

เจจินตัย : เรารู้อยู่แล้วว่ามันมีอะไรที่มันกดดันเราอยู่บ้าง มันหลายๆ อย่างมาก ที่มันรู้สึกว่าไม่คุยกันดีกว่า

เป็นเพราะความเครียดมั้ย ก่อนที่เราจะไปเราวาดฝันคิดว่าจะเป็นแบบนึง?

...

บี : ใช่ค่ะ พอไปถึงแล้วมันไม่เหมือนเลย

เจจินตัย : ชีวิตจริงมันคนละเรื่องหมดเลย มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดพลิกแพลง เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องมันเกิดขึ้น แต่ก็เป็นประสบการณ์

6 เดือนพูดกันให้น้อยที่สุด ทำยังไง?

เจเจินตัย : จะเหลือแค่การสนทนาเกี่ยวกับลูก ไม่ใช่ไม่พูดกันเลย

บี : เหลือแค่สนทนาว่าใครจะดูลูกยังไง ใครจะไปรับไปส่ง เพราะว่าต้องสลับกันตลอดเพราะความที่ทำงานหนักกันทั้งคู่ อยู่ที่โน่นต้องช่วยกันทำงาน ซื้ออะไร ลูกทานข้าวอะไร แค่นั้น 

ก็เกือบจะพังเหมือนกันนะ?

เจจินตัย : เกือบครับ ผมไม่เคยร้าวรานนานขนาดนั้นเลย

พลอยเจรู้มั้ยว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่คุยกัน?

พลอยเจ : รู้ค่ะ 

พลอยเจทำยังไงให้คุณพ่อคุณแม่คุยกัน?

พลอยเจ : หนูก็เอามือพ่อกับมือแม่มาจับกันค่ะ หนูบอกว่าให้หม่ามี้บอกไปเลิฟยูแดดดี๊ ให้แดดดี๊บอกไอเลิฟยูหม่ามี้ 

บี : เขาจะคอยมาถามว่าหม่ามี้รักแดดดี๊มั้ย เขาจะพยายามเป็นกาวตลอด หรือบางทีเจอผู้ชาย หม่ามี้คนนี้หล่อมั้ย เราก็บอกว่าหล่อ เขาก็จะโกรธเรามาก หล่อได้ยังไงหม่ามี้ แดดดี๊หล่อกว่าตั้งเยอะ เขาก็จะเป็นกาวใจอยากให้รักกัน

พลอยเจรู้ได้ยังไงว่าทำแบบนี้แล้วหม่ามี้กับแดดดี๊จะดีกัน?

พลอยเจ : หนูทำได้ที่หนูจะทำได้ที่สุดเพื่อให้หม่ามี๊กับแดดดี๊มารักกันค่ะ

เจจินตัย : เราก็เลยทบทวนตัวเองใหม่ เพราะว่าผมกับบีก็เยอะแยะแหละ สุดท้ายก็ต้องประคอง เพราะว่าคนท่ีเจ็บปวดที่สุดคือลูก เราก็ลดกำแพงลง เข้าไปกอดไม่ต้องพูดอะไรเลย ทำตัวใหม่ ไม่มีมาคุยกันนะ ไม่ต้อง ความรู้สึกมันชัดมาก

การกลับมาครั้งนี้มันทำให้เรารู้สึกว่ารักและแน่นแฟ้นกว่าเดิมมั้ย?

เจจินตัย : รักครับ รักเลยครับ เมื่อไหร่มันก็มีแค่เรา 3 คนที่ไปเจอประสบการณ์ครั้งนี้ ไม่มีใครรู้ดีเท่าเราสองคน ไม่รู้จะคุยกับใครแล้วเข้าใจเท่ากับเราสองคน มันแน่นแฟ้น เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลย เมื่อก่อนจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ง่ายๆ ให้อภัยได้ ตอนนี้ก็คือไม่ใช่ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ มันทำให้เราเองถูกต้องในทุกเรื่อง อย่าไปอ่อนแอจนเกินไป มันไม่มีจริงในความหวังดีที่เราคิด 

บี : มันสอนอะไรเราเยอะมาก เช่น ตอนบีไป เราเป็นผู้หญิงเนอะ เรารู้สึกเจ็บปวดมากเลย เหมือนเราย้ายครอบครัวมา เอาลูกมา ต้องประคองลูก ตัวเองก็ร้าวรานเหมือนกัน ในขณะที่ลูกเราต้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร เขาก็รู้ยังไงก็ปิดเขาไม่มิด เพราะเขาโตแล้ว มันเป็นความเจ็บปวดที่ทรมาน

ทั้งที่ตอนอยู่ไทยเราไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ครอบครัวเราปกติมาก มันคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง สุดท้ายผ่านมาแล้วมันทำให้เราเรียนรู้นะ สุดท้ายแล้วเป็นครอบครัวกัน เราต้องฟังกันเยอะๆ เราต้องคุยกัน เราจะเห็นคนอื่น มองคนอื่น หรือแม้กระทั่งอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยเขาก็เรียนรู้ว่าครอบครัวสำคัญที่สุด 

2 ปีผ่านอุปสรรคเยอะแยะมากมาย 2 ปีที่อยู่ในโมเมนต์ที่กลับไทยดีกว่า มีมั้ย?

เจเจินตัย : คิดครับ แต่รู้สึกว่ากำลังเรียนรู้ กำลังทำทุกอย่างเองเป็นแล้ว กำลังรู้โลเกชั่นต่างๆ เราก็บู๊กันหมด ไปทำใบขับขี่เอง ทำไอดีเปิดบัญชี ทุกอย่างที่เป็นธุรกรรมเราพยายามที่จะศึกษาเองเพื่อที่ให้เข้าใจได้ไว ตอนที่ไม่กลับมาเพราะรู้สึกว่าถ้ากลับมามันจะขาดช่วง เราก็เลยลากเต็ม 2 ปีโดยที่ไม่กลับไทยเลย เราเข้าใจระบบการใช้ชีวิตแล้ว ได้เวลากลับมาซัมเมอร์แล้ว เขาปิดเทอมใหญ่ก็กลับมาหาแม่กัน

จะกลับมาอยู่เลยหรือจะกลับมาแค่ซัมเมอร์เฉยๆ?

เจจินตัย : ตอนแรกตั้งใจมาซัมเมอร์เฉยๆ สุดท้ายแม่ผมได้ยินจากน้องมาเรื่อยๆ ว่าไม่สบาย บีก็มีแม่คนเดียว เราก็มาตัดสินใจกันว่าเอายังไงดี ถ้าไปรอบนี้อย่างที่บอกมันต้องไปยาว เราเป็นพาร์ตเนอร์กับหุ้นส่วนอื่นๆ ตั้งใจว่าเราอยากจะมีร้าน มีธุรกิจของเราแบบ 100% ซึ่งขั้นต่ำในการอยู่ต้องมี 5 ปี ต้องตัดสินใจคิดว่าเอายังไงดี พอมาถามพลอยเจ พลอยเจไม่อยากไปแล้ว อยากอยู่นี่ งั้นก็จบเลย 

บี : พอกลับมาเจอครอบครัว เจอคุณยาย คุณย่า เขาคงอบอุ่น เขาคงมีความสุข มีเพื่อนที่นี่ ไม่อยากกลับไปแล้ว 

พลอยเจเพราะอะไรถึงไม่อยากกลับไปที่โน่น?

พลอยเจ : หนูไม่อยากโดนเพื่อนแกล้งค่ะ

เลยตัดสินใจบินกลับอเมริกาแล้วเคลียร์ทุกอย่าง?

เจจินตัย : ไม่ได้กลับเลย เพื่อนเขาส่งของมาชิปปิ้งมา อลังการเยอะแยะไปหมด

คุณไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรที่ต้องเก็บ หรือให้เพื่อนโกยให้หมด?

เจเจินตัย : เก็บมาเยอะมาก

บี : เยอะมาก กล่องประมาณ XXL ประมาณ 10 กล่องใหญ่มาก หลายเดือนกว่าจะส่งหมด คือเราตัดใจแล้ว เรารู้ว่าที่โน่นเราไม่มีความสุข เหมือนเรารู้สึกว่าเราอยู่ที่โน่นเหมือนเราอยู่เพราะหน้าที่ เราไม่มีความสนุกเลย เราไม่ได้ใช้ชีวิตเลย เรารู้สึกว่าเราอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว นี่กลับมาที่ไทยก็ไม่มีอะไรนะ แต่เราก็โอเค เรายังรู้สึกว่าที่นี่ทำใหม่ได้

ตอนโควิดย้ายไปอเมริกาโละขายหมดทุกอย่าง กลับมาก็ต้องเริ่มใหม่ เห็นว่ากลับมาเล็งว่าจะทำคลินิกเสริมความงาม?

บี : ใช่ค่ะ คือตอนแรกกลับมาก็คือมีรุ่นพี่คนนึงเป็นคุณหมอ ก็คุยกันว่าเขาอยากจะเปิดคลินิกเพิ่ม 10 สาขา เพราะตัวเขาอยู่โรงพยาบาลใหญ่อยู่แล้ว เราก็วิ่งหาดูที่คลินิกไปเรื่อยๆ กลับมาอีกทีประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้วค่ะ มิจฉาชีพเยอะมาก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเจอหมอปลอม?

บี : ใช่ค่ะ

ไปเจอเขาได้ยังไง แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาปลอม?

บี : ความที่เราวิ่งหาคลินิกก็เจอ เขาก็วิ่งหาคลินิกเหมือนกันแล้วเขาก็แนะนำว่าเขาเป็นหมอ

เจจินตัย : เจอที่ตึกพอดีครับ แล้วเขาก็บอกว่าทำด้วยกันมั้ย เขาก็ชวนเลย เราก็รู้สึกว่าเราถนัดพวกมาร์เก็ตติ้ง เราถนัดหน้าบ้าน บีบริหาร เราไม่มีหมอ เขาบอกเขาถนัดหมอ แต่ไม่มีหน้าบ้าน มาจอยกันมั้ย 50-50 ก็เลยเปิดบริษัทร่วมกัน ด้วยโปรไฟล์เขานั่งรถตู้ ใส่ปาเต๊ะ 16 ล้าน โปรไฟล์ดีมาก สรุปของเก๊หมดเลย รถก็เช่ามา

บี : ตอนแรกเขาก็เอาใบ ว.แพทย์มา เอามาก็คือปลอมมา ซึ่งเราก็ไม่รู้ เราก็บอกว่าทำไมไม่ค่อยเหมือน เขาก็บอกว่าเขาศัลยกรรมมาหมดเลยนะ ก็จะไม่เหมือน

เจจินตัย : เขาหนักประมาณ 130 แล้วไปผ่ากระเพาะตัวแบนเหลือ 70 แล้วมันไม่เหมือน

เริ่มระแคะระคายได้ยังไง?

เจจินตัย : ไม่เคยออกเงินเลย ลงเงินเท่าไหร่เขาก็บอกว่าพี่บีออกให้หนูก่อนนะ แรกๆ ก็ลงเครื่องมือมาประมาณล้านนึงนะคะ ต้องซื้อของมาตุน แต่พี่บีออกให้ก่อนนะ บีโอนให้ พอโอนให้เสร็จอีกวันนึงไปเช่ารถ 911 สีเหลืองมาแบบอลังการให้เรารู้สึกว่าน่าเชื่อถือ ทีนี้พอมาถึงเรื่องค่าเช่าพี่บีออกให้อีกนะ ทีนี้เราก็ไปตรวจหาชื่อเขาในแพทยสภา

บี : เรารู้ชื่อจริงเขา ก็ไปตรวจในแพทยสภา ไม่ใช่ไม่มีชื่อในแพทยสภา ก็คือไม่มีหมอแล้ว เข้าใจเลยว่าจะล้มทั้งยืนเป็นยังไง นอนไม่หลับตลอดเลย 

เจจินตัย : มีอีกดอกนึงเขาบอกว่าเขาทำจากคลินิกมาจากอีกที่นึง เขาบอกว่าเขาผ่ามาวันละ 9 คน 11 คน ได้เดือนละ 4-5 ล้าน จากการ DF40% เขาเปิดให้ดูหมดเลย แล้วเขาบอกว่าถ้าพี่ทำกับผมนะ ผมมีลูกค้าตามมากับผมอีก 40 คนรออยู่ ต้องการใช้สถานที่ที่มีห้องผ่าตัด เราก็เทคตึกนั้น แล้วเขาก็บอกว่าเขามีลูกค้า แต่บอกว่าต้องใช้เป็นเคสรีวิวนะพี่บี แต่จริงๆ รับเงินก้อนมาแล้ว  เราเช็คไปที่คลินิกเดิม คลินิกเดิมขึ้นโพสต์ว่าระวังแก๊งมิจฉาชีพ ผมก็เลยโทรหาพี่ท่านนั้นที่คลินิกว่าเขาชื่อนี้ใช่มั้ย เขาบอกใช่ โอ้โห ล้มทั้งยืนเลย 

บี : สุดท้ายพอได้ชื่อเขาไปเช็ก นอกจากไม่เป็นแพทย์แล้วก็มิจฉาชีพเลย มีคดีความเพียบ 

สูญเสียเงินไปเท่าไหร่?

บี : 3 ล้านกว่า

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม