กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองในช่วงสุดสัปดาห์ เมื่อ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ภาพคู่กับ หนุ่ม ณพสิน แสงสุวรรณ หรือ หนุ่ม กะลา พร้อมทั้งบอกว่านักร้องหนุ่มมอบหมายให้ตนยื่นฟ้องคนใกล้ชิด 2 คน ที่ยักยอกเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดทองบริบูรณ์ 365 โดยการโอนเงินของห้างเข้าบัญชีส่วนตัวโดยทุจริต รวม 452 ครั้ง เป็นเงิน 66,359,957 บาท ที่ศาลแขวงสมุทรปราการ และบอกว่ามีพยานหลักฐานชัดเจนและยืนยันดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ล่าสุด หนุ่ม กะลา พร้อมด้วย ทนายเดชา แถลงเปิดใจกรณีดังกล่าว ณ สำนักงานทนายคลายทุกข์ ซ.รามอินทรา 52/1

เริ่มที่ ทนายเดชา บอกว่า วันนี้จะมาพูดเรื่องห้างหุ้นส่วนจำกัดทองบริบูรณ์ 365 ที่ หนุ่ม กะลา เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และน้องสาวเป็นหุ้นส่วน แต่เงินหายไปจากบัญชีตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2566 เงินหายไป 66 ล้านบาท ได้ตรวจสอบสเตตเมนต์ หลังจากที่ภรรยาไปฟ้องชู้ และเรียกสเตตเมนต์มา และเอาเอกสารสำนวนนั้นมาทำการตรวจสอบ ก็พบว่ามีเงินหายไปจากบัญชี จึงถามหนุ่มว่าเงินหายไปรวมๆ 66 ล้านบาท ถามว่าทราบไหม เขาก็บอกว่าไม่ทราบ

...

ทางนี้ก็ช็อกเลยที่เงินหายไปขนาดนี้ ก็เช็กสเตตเมนต์ของภรรยา และของห้างมาเทียบกัน ก็เงินเข้าบัญชีของภรรยาหมด พอพบความผิดปกติก็ไปเช็กบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดทองบริบูรณ์ 365 หลังมีปัญหาเรื่องมือที่ 3 ก็ดูแล้วคงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เลยแยกกันอยู่ พอมาดูบัญชีก็เหลือเงินประมาณ 2-3 แสนบาท ก็ตกใจและรวบรวมพยานหลักฐานและฟ้องไปที่ศาลแขวงสมุทรปราการเมื่อ 16 พ.ค. 2567 จริงๆ ไม่ได้ต้องการแถลงข่าว แต่ทางคู่กรณีไปปล่อยข่าวทำให้เสียหาย เลยต้องออกมาชี้แจง

ด้าน หนุ่ม ชี้แจงว่า จริงๆ ไม่ได้อยากให้เป็นข่าวเลย ที่ผ่านมาตั้งแต่มีข่าวเรื่องมือที่ 3 ก็พูดครั้งเดียวด้วยซ้ำ การที่ไม่ออกมาพูดเลยคือกลัวกระทบถึงลูก ครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าจะพูด วันนั้นที่ผมอยู่วัด ผมจะบวช ก็คุยกับทนายเดชาว่าไม่ทำข่าวนะ พี่เดชาก็รับปาก แต่อยู่ดีๆ เริ่มมีข่าวออกมาจากบางเพจบางบุคคลว่าจะบวชเพราะหนีไปอยู่กับเมียน้อย ปกติผมไม่ค่อยเล่นโซเชียล พอเห็นก็เลยให้พี่เดชาวิเคราะห์ จนตอน 4-5 โมงเย็น พี่เดชาบอกว่าต้องพูดอะไรหน่อย เพราะมันไปไกลแล้วเหมือนกัน

ผมรู้สึกว่าการที่ผมไปฟ้องศาลเพื่อเคลียร์ปัญหา ผมว่าเป็นปัญหาภายใน การให้ศาลคุยเป็นการคุยภายใน ไม่ใช่การใช้สื่อมากดดันว่าผมไม่เลี้ยงลูก ผมชั่วร้าย แต่พอทางฝั่งนั้นพูด ก็ถึงเวลาต้องอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น

เรื่องข้อสงสัย ที่ผ่านมาตอนเป็นศิลปินเดี่ยว 10 ปีที่ผ่านมา ไม่มีข้อสงสัยเรื่องการเงิน เพราะเราเป็นสามีภรรยากัน ผมมีหน้าที่หาเงินอย่างเดียว แต่จุดที่ทำให้ผมรู้สึกคือพอเขาคืนเงินกลับมา 2-3 แสน มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าเดี๋ยวนะ ผมยังต้องรับผิดชอบรายเดือนให้เขากับลูกอีกหลายแสนด้วยซ้ำ แล้วเงินผมไปไหนหมด ถามว่าเขาให้เหตุผลว่ายังไง เขาไม่เคยให้เหตุผลเรื่องเงินอะไรผม

ผมได้เป็นเงินเดือน 4 หมื่นบาท พอเขาคืนเงินกลับมาก็แอบตกใจว่าเงินไปไหน แต่มันเช็กสเตตเมนต์ทางมือถือได้คร่าวๆ ชื่อมันก็ออกไปเป็นเพ็ญชุลีๆๆ ผมเคยพูดกับจูนว่าทำไมบ้านเราไม่มีเงิน 10 ล้านสักที ผมคุยมาตลอด ทุกครั้งเวลาไปแบงก์ ผมเป็นกรรมการ ผมต้องเซ็นเพื่อเบิกเงิน ผมเป็นคนเดียวที่เบิกเงินได้ คำถามคือทำไมเงินถึงเข้าบัญชีเพ็ญชุลีได้โดยที่ผมไม่ได้เซ็นชื่อ

...

สมมติพอเราทำงานเดือน 1-2 มีรายได้เดือนละ 2 ล้าน สมมติเราได้ 10 ล้าน ใช้เงินฟุ่มเฟือยสุดๆ 5 ล้าน แต่เงินเหลือแค่ 2-3 ล้าน พอเราทำงานครึ่งปีก็รู้สึกเฮ้ย เงินของเราหายไปไหน คำตอบก็คือมีค่าใช้จ่ายนั่นนี่ ทุกอย่างมันย้อนกลับมา แล้วมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนเป็นวงกะลาจนเป็นนักร้องเดี่ยว ทีนี้ทุกอย่างเริ่มกระจ่างตอนผมเริ่มดูสเตตเมนต์ ทำไมผมเห็นยอด 3 ล้าน เพราะก่อนที่จะเหลือเงิน 3 ล้านบาทมันถูกกระจายๆ ออกไป ยอดเหลือให้เห็นเท่านี้

ผมคุยกับจูนมาตลอด ผมเป็นหนี้อยู่ 10 กว่าล้าน ถ้าบริหารเงินผมได้จริง ผมเป็นนักร้อง 26 ปี ทำไมผมถึงเป็นหนี้ 20 ล้าน หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้คอนโดฯ ทุกอย่างไม่เคยมีการดูแล ทุกอย่างมันเป็นหนี้หมด พอผมเห็นสเตตเมนต์แล้ว ผมเริ่มมาพบพี่เดชา ผมไม่ได้จะเอาเงิน 66 ล้านคืน จริงๆ มันมีบัญชีอื่นอีก ต่อให้ 100 ล้านผมก็ไม่เอาคืน แต่ขอให้จูนปิดหนี้ให้หน่อย และถ้าเป็นไปได้ขอเงินติดตัว 5 ล้านบาท ถ้าไม่มีไม่เป็นไร ปิดหนี้ให้หน่อยแล้วจบกัน เรื่องที่มีคนคอมเมนต์ว่าอยากหย่าขนาดนี้เหรอ ความจริงแล้วจูนขอหย่าเป็นประจำในช่วงหลัง แต่ผมบอกผมยังหย่าไม่ได้ เพราะเงินของฉันมันอยู่ที่ไหน เราต้องคุยกันเรื่องนี้ก่อน

ผมได้เงินเดือน 4 หมื่น แล้วมันค่อยๆ เพิ่ม ช่วงก่อนหน้านี้อาจจะ 2 หมื่น หลังๆ มาเดือนละ 4 หมื่น ผมได้ 1 แสนบาทตอนแยกบ้านมาได้ 1-2 ปี ซึ่งก็เพิ่งได้ ถามว่าได้คุยกับเขาไหมว่าเงินไปไหน คุยครับ เขาบอกว่าไม่มีเงิน มีบางช่องพูดว่าผมมีเงิน 8 ล้านบาท แต่เชื่อไหมว่าผมไม่เคยเห็นเงินในบัญชีเกิน 5 ล้านด้วยซ้ำ ตอนที่บอกว่า 8 ล้าน เขาบอกว่าเขาขอไว้ให้ลูกนะ ผมดีใจที่สุดในชีวิตเลยด้วยซ้ำว่าอย่างน้อยเลิกกันไปลูกยังมี 8 ล้าน

...

ถามว่าระแคะระคายมานานแค่ไหน หนุ่ม ตอบว่า มันมีคำถามทุกครั้งที่ไปแบงก์ แต่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะผมไม่ได้ไปไหนจากเขา ไม่คิดว่าคนคนนึงจะใจร้ายขนาดที่เลิกกันแล้วตัวเองเก็บทรัพย์สินทุกอย่างไว้หมด แล้วทิ้งหนี้ให้ผมขนาดนี้ ที่ฟ้องเนี่ยมันคือการที่เขาจะต้องมาแจงกับผมว่าเงินไปไหน เขาแจงได้หรือไม่ได้ก็ตาม เราจะต้องคุยกันว่า ถ้าไม่อยากให้บานปลายก็ปิดหนี้ให้หน่อยแล้วจบกันไป แต่เขาบอกว่าไม่มี จะฟ้องก็ฟ้อง ถามว่าทำไมถึงเลือกเป็นฟ้องอาญา ทำไมไม่ฟ้องหย่าแล้วแบ่งสินสมรส คือมันแบ่งสินสมรสไม่ได้ครับ เพราะตอนที่ผมแยกออกจากบ้าน ของที่เป็นหนี้เขาให้ผม แต่ทุกอย่างที่ผ่อนหมดแล้วเขาเอาไปนะครับ แล้วผมจะแบ่งจากอะไร

จากนั้น ทนายเดชา เสริมว่า เหตุที่ไม่ฟ้องหย่าแล้วแบ่งสินสมรสเพราะว่ามันไม่มีสินสมรส ถ้าพูดภาษากฎหมาย สินสมรสถูกจำหน่ายไปโดยคู่สมรสอีกฝ่าย ในเมื่อสินสมรสหายไป 66 ล้านบาทจึงไม่สามารถฟ้องหย่า ฟ้องไปก็ไม่มีสินสมรส จึงต้องใช้คดีอาญาฟ้องว่ายักยอกไป แต่ที่ฟ้องคือเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด เวลาหย่า หนี้สินทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังจดทะเบียนสมรสต้องแบ่ง แต่เงินที่อยู่ในห้างหุ้นส่วนคือคนละส่วน เงินที่ยักยอกไม่ใช่สินสมรส โจทก์ที่ฟ้องคือห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นเรื่องนิติบุคคล

ถ่ามว่าเป็นปัญหาที่ทำให้ทะเลาะและเลิกราไหม หนุ่ม บอกว่า จริงๆ ผมรู้สึกผิดที่ทำสิ่งนั้น ผมยอมรับผิด แต่หลังจากนั้นเราก็อยู่กันไม่ได้ พอแยกทางมันต้องตกลงกันว่าจะเอายังไงต่อ ปัญหาคือเราตกลงไม่ได้ ถ้าเราทำงาน 100% แต่ใช้จ่ายเพื่อคนอื่น 90% แล้วยังเป็นหนี้อีก มันเป็นไปไม่ได้เลย ผมทำงานทั้งชีวิต มันไม่ยุติธรรมกับผม มันหายไปหมด กลายเป็นผมต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ทุกวันนี้ต้องส่งลูกหาหมอ ถ้ารวมๆ ทั้ง 2 บ้าน รวมค่าใช้จ่ายก็ 7 แสนบาท/เดือน ถ้าเขามีหลักฐานยืนยันว่าเงินไปอยู่ส่วนไหน ดีสิครับ ถ้ารู้ว่าอยู่ตรงไหนก็เอามาสิ ถ้าเงินยังอยู่ก็เอามาปิดหนี้ก็จบแล้ว และจดทะเบียนหย่าตกลงเรื่องลูก

...

ถามว่าเรื่องนี้คุยมานานแค่ไหน หนุ่ม บอกว่า เราอาจไม่ได้คุยเรื่องเงิน 66 ล้านบาท แต่ผมรู้ว่าเขามี เลยขอเอาเงินมาปิดหนี้ให้หน่อย และขอเงิน 5 ล้านแล้วจบเลย บ้านต่อให้ปิดแล้ว ผมก็ให้เป็นชื่อเราทั้งคู่ แต่เขายืนยันว่าไม่มี ย้อนกลับไป 2 ปีที่ผมแยกออกมา นั่นคือผมไม่ได้เอาเงินมาใช้ช็อปปิ้งเลย มีแค่เงินเดือน 4 หมื่น/เดือน เท่ากับเงินผมปีละ 20 ล้านเข้าเขาเต็มที่ 100% ปีก่อนหน้านี้ไม่มีผมเชื่อ แต่ 2 ปีนี้ผมว่ามี มันจะเหลือแค่ 8 ล้านได้ยังไง เรื่องหุ้นส่วนก็มีผม น้องสาว และตอนแรกเขาเป็นด้วย ตอนนี้ผมกลับมาดูแลเองแล้ว ก่อนหน้านี้หุ้นส่วนมีแค่จูนกับฝ่ายบัญชี 1 คน

นักข่าวถามว่า พอกลับมาดูแลบัญชีตัวเอง เงินเข้าออกเป็นยังไง หนุ่ม บอกว่า ปีที่แล้วผมเริ่มรับงานน้อยแล้ว 15-18 งานต่อเดือน ไม่รวมค่าลิขสิทธิ์ รีวิว รายได้ต่อปีประมาณ 20 ล้านบาท ครั้งสุดท้ายที่เห็นเงินเกือบ 5 ล้านบาทตอนก่อนโควิด แล้วจำได้ว่ายังนั่งอยู่บนที่นอนบ้านใหม่แล้วคิดว่าเมื่อไรงานจะเปิด ค่าใช้จ่ายก็โหด พอวันนี้มารู้ ผมเสียใจมากเลย พอมาเห็นบัญชีก็เฮ้ย ถามว่าเคยสงสัยไหม คุยกันไหมว่าเขาให้เหตุผลว่าไง เขาบอกว่าค่าใช้จ่ายครับ แต่ในที่สุดแล้วผมจะบอกว่าสเตตเมนต์ไม่โกหกนะครับ

25 ปีที่ผ่านมาเป็นเงินที่ผมเลี้ยงเขาและครอบครัว ผมบกพร่องตรงไหน ผมทำผิดยอมรับผิด แต่เรื่องดูแลผมดูแลทุกคนทั้งครอบครัวผมและเขา มันเป็นเงินผมทั้งหมดนะครับ จูนไม่ได้เป็นคนดูแลครอบครัว วันนี้ต่อให้ได้สเตตเมนต์ทุกบัญชีมาขึ้นศาลและเป็นเงินอีก 100 ล้านก็ไม่เอาคืน เพราะผมเชื่อว่าเขาจะดูแลลูกได้ ผมแค่ขอปิดหนี้นี้ซะและต่างคนต่างใช้ชีวิต

เรื่องบวชก็ตั้งใจจะบวช 15 ก.ค. ถามว่าเพราะอะไร เหนื่อยครับ ไม่ใช่แค่เหนื่อยกับข่าวที่เกิดขึ้น ผมรับงานเยอะเกินมาหลายปีมาก พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเลยอยากอยู่สงบๆ จริงๆ เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน ทุกอย่าง แต่มีแพลนมานานแล้ว ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้จะไม่บวช แต่เราไม่ได้ฟ้องเขาเพื่อจะให้เขาติดคุก หรือฆ่าเขาให้ตาย เราแค่อยากคุย เราไม่ได้มีความทุกข์ใจว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาของการบวช

ที่คนมองว่าเป็นการกลบกระแส จริงๆ เพลงปล่อยไปก่อนหน้านี้ ยอด 1.6 ล้านวิวเอง ไม่ได้ต้องการกระแส ถ้าให้พูด เพลง “ปล่อย” เหมาะที่สุด เนื้อหามันปล่อยวางทุกอย่าง จริงๆ ผมไม่ค่อยเล่นโซเชียล ที่ลงโซเชียลเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เพราะยังทำงานในวงการ ก็คิดว่าเพลงนี้เหมาะ ความจริงทำใจไม่ได้ที่จะไม่เจอลูก ซึ่งผมก็บอกกับจูนว่างานบวชถ้าไม่รบกวนเกินไป จูนพาลูกมาได้ไหม พอได้พูดแล้วสบายใจขึ้นไหม จริงๆ ไม่เคยสบายใจขึ้นเลย ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ถ้าใครตามเรื่องนี้ ผมโดนกระแสเรื่องมือที่ 3 ทุกครั้งมีกระแสฝั่งนั้น ผมโดนด้วยเสมอ มันไม่ได้สุข 100% ส่วนคดีนั้น ทนายเดชา บอกว่า อยู่ในชั้นศาล ปัจจุบันยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ และทางบุคคลที่ 3 ฟ้องกลับจูนเป็นคดีอาญา

ถามว่ามั่นใจไหม ผมไม่ได้มั่นใจว่าเขามีเงิน 66 ล้าน ต่อให้ขึ้นศาลผมก็คงไม่ได้เงินสักบาท มันรู้ปลายทางอยู่แล้ว แต่ถามว่ามั่นใจจากอะไร สเตตเมนต์มันโกหกไม่ได้ ถ้าไม่ใช่นักร้อง ผมเดินห้างเองไม่ได้ จ่ายเองไม่ได้ จูนเป็นเหมือนทั้งเพื่อนทั้งแม่ ทำแทนหมด บางอย่างต่อให้เราสงสัยก็ไม่เอ่ยปากถาม เพราะเราอยู่มานาน ถามว่าปกติขอบ่อยไหมเวลาซื้อของ ก็ไปช็อปปิ้งด้วยกัน จะซื้อของก็แล้วแต่เขากรุณาเอง อย่างไมค์อัลบั้มที่แล้ว ผมต้องเก็บเงินซื้อเอง ทั้งที่เงินอยู่ที่เขา ถ้าเขาทำเพื่อลูก จะต้องไม่เอาเงินเดือนจากผมแล้ว

ถามว่าคิดว่าเขามีเหตุผลอะไรถึงทำ ผมไม่ทราบ อาจเพราะเขาไม่มั่นใจ สมมติถ้าเขาระแคะระคายเรื่องบุคคลที่ 2 มา 2-3 ปี เขาอาจตั้งรับเรื่องนี้ไว้เลย แต่พฤติกรรมนี้เป็นมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีเรื่องมือที่ 3 สเตตเมนต์มันย้อนกลับไปไกลมาจนน่าตกใจ คือ 9 ปี ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทุกอย่างก็จะอยู่ในสายตาผมเสมอ แต่พอแยกบ้านไปแล้ว เขาช็อปปิ้งแบรนด์เนม 5 ใบ อะไรก็ตามที่เขาไม่ได้ซื้อตอนอยู่กับผม เขาซื้อ เขาสบายแต่ผมลำบาก

เรื่องการฟ้อง ธงของผมกับพี่เดชา เราฟ้องเขาก็จริงก็อยากให้เขาแจง ต่อให้มีเงินมากมหาศาลขนาดไหน ต่อให้ปิดหนี้ ผมก็ยังส่งเสียลูกอยู่ เรื่องความสัมพันธ์ผมว่ามันจบมาพักนึงแล้ว มันร้าวกว่านี้ไหม จริงๆ ผมไม่ได้โกรธเขา ไม่คิดว่าต้องคิดว่าเขาต้องติดคุก การยักยอกทรัพย์มันมีผลต่อการทำงานของเขา ไม่ได้ต้องการเห็นใครล้ม ผมแค่อยากได้ในส่วนที่เป็นธรรมต่อผม

ผมว่าความโชคดีคือลูกยังเด็กมาก ยังไม่รับรู้อะไร ถ้ายืดเยื้อไปเรื่อยๆ มันต้องคิดถึงลูก มันต้องไม่เป็นแบบนี้ มันต้องไม่ใช้สื่อฟาดฟันกัน รอบนี้ผมโดนด่าค่อนข้างหนัก แต่ไม่กระทบมาก เพราะรอบที่แล้วก็โดนด่าหนักกว่านี้ แต่ครั้งนี้ในบทบาทกลับกัน ถ้าเขาผิด เขาควรกลับมาตกลงกัน ไม่ใช่ใช้สื่อบีบให้กระทบงานของผม แล้วสุดท้ายผมก็ไม่มีเงินมาเลี้ยงดูลูก ตอนนี้เวลาไปไหนสายตาคนอื่นๆ ไม่เปลี่ยน แต่การโดนเล่นข่าวเรื่อยๆ คนเริ่มเสื่อมศรัทธาเรื่อยๆ เราขายความเป็นพี่น้อง แต่ถ้าคนมองเราเป็นผู้ร้าย มันมีผลอยู่แล้ว

ตอนนี้ยังร้องเพลงได้อยู่ งานอัลบั้มใหม่แต่งเสร็จแล้ว ครั้งที่แล้วผมเคยขอโทษ ผมยังยืนยันว่าผมทำตัวไม่เหมาะสม ขอโทษผ่านทางนี้ แต่ที่มาพูดเรื่องยักยอก ทำเพื่อปกป้องตัวเองและครอบครัว ผมคิดว่าถ้าคนเข้าใจขอบคุณมากๆ คนไม่เข้าใจก็ฟังเป็นข้อมูล ยังไงก็ต้องหย่า แต่ต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จก่อน.

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม