นักแสดงและผู้จัดมากความสามารถ นก จริยา แอนโฟเน่ ที่วันนี้จะมาเคลียร์ข่าวลือสาเหตุตัดสินใจปลงผมบวชชี และขึ้นจอดำบนอินสตาแกรมจนกลายเป็นข่าวเม้าท์ใหญ่เพราะมีปัญหาชีวิตคู่จริงหรือไม่? แล้วอะไรที่ทำให้คนไม่มีศาสนา กลายเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี! ย้อนเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดสะสมจนเป็นเหตุให้ป่วยเป็นโรคแพนิกถึงขั้นอยากจบชีวิต เพราะไม่อยากเป็นภาระใคร! ในรายการ "คุยแซ่บ Show" ทางช่อง one31 ที่มี หนิง ปณิตา และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกร

เป็นคำถามของสังคมเยอะมากๆ ที่หลายคนอยากรู้ว่าจริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้รู้อะไรมากมาย จริงๆ เราก็เป็นมนุษย์ปกติที่วันนึงมีความรู้สึกว่าอยากเข้าไปศึกษาแล้วก็เรียนรู้และเอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับพระธรรมคำสั่งสอนมากขึ้น เราอยากจะรู้ว่าตัวเองจะได้อะไร จะไม่ได้อะไร มันเป็นการเข้าไปศึกษาด้วยตัวเอง”

หลังจากได้ไปปฏิบัติ ชีวิตคมขึ้น ชัดขึ้น มันคือยังไง?
“พอได้ให้โอกาสตัวเองไปเรียนรู้ ค่อยๆ เข้าไปเข้าใจ ไม่ได้ถึงกับเข้าไปปั๊บนิ่งแล้ว สงบแล้ว อันนั้นคือคิดเอง แต่ค่อยๆ เข้าไปเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ตอนนี้ตัวเองรู้สึกแบบไหน ทำยังไงจะรู้แล้วเข้าใจในอารมณ์ที่เป็นอยู่ ณ ตอนนั้น”

...

สิ่งหนึ่งที่พี่นกตัดสินใจเลยคือไม่ใช่แค่ปฏิบัติธรรม คือโกนหัวบวชด้วย?
“ตอนแรกพี่ก็ไม่คิดนะว่าจะไปถึงจุดนั้น ก่อนหน้านี้ ณ ความเป็นจริยา 40 กว่าปีไม่เฉียดวัด ไม่มีศาสนา ไม่รู้ว่าคืออะไร และเป็นคนที่เชื่อตัวเอง ฉันไม่ได้เลว ฉันเป็นคนดีคนหนึ่ง ทำแต่เรื่องดีๆ คิดดี แล้วยังนึกไม่ออกว่าหลักธรรมคืออะไร ความดีจากศาสนาจะมีประโยชน์อะไรกับตัวเอง คือห่างมาก พี่เป็นคนเชื่อตัวเองระดับนั้น

จนกระทั่งถึงอายุนึงอะไรหลายๆ อย่างสอนว่าเรายังโง่อีกเยอะ ยังถูกความหวั่นไหว ยังถูกการกระตุ้นที่ทำให้เราเกิดทุกข์ได้ตลอดเวลา ถ้าเกิดว่ามีหลักใดหลักนึงที่เรายังไม่เรียนรู้แล้วถ้าเกิดเราเรียนรู้และสามารถสร้างสติให้กับชีวิตเราได้ ทำไมเราไม่ลองล่ะ ก็บอกกับตัวเองว่าทำไมเราไม่ลองเรียนรู้”

เมื่อกี๊สะดุดคำนึงคำว่า “ไม่มีศาสนา” เชื่อว่าเราทำดีได้ดี คิดดีได้ดี แต่พี่นกไม่ได้เชื่อในบาปบุญ เวรกรรมอะไรแบบนี้ใช่มั้ย?
“เกิดมาในพุทธศาสนาเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีที่เข้าใจว่าการที่เข้าไปนั่งสวดมนต์ไหว้พระในแต่ละครั้ง ฉันพูดอะไร เพราะว่าพอเป็นบาลีสันสกฤต พูดไปเป็นนกแก้วนกขุนทอง แล้วไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดอะไรอยู่ ก็เลยใช้คำว่าเหมือนคนไม่มีศาสนามากกว่า เพราะไม่มีความเข้าใจเกิดขึ้นเลย ทำอะไรตามรูปแบบที่ทำตามๆ กันมา”

จุดที่ทำให้พี่นกได้เริ่มเข้ามาศึกษาธรรมะจากคนที่บอกว่าไม่มีศาสนา นั่นคือช่วงสถานการณ์โควิดมันเกิดอะไรขึ้น?
“ตอนโควิดเป็นไปทั้งโลกเลยนะ เราฟังแต่ข่าวที่แต่ละวันมีคนตายกี่คน มันทำให้พี่มีจังหวะสตั๊นท์กับชีวิต เราเห็นคนใกล้ตัวเราต้องเลิกอาชีพ ครอบครัวเขาลำบากมากนะ เราเองก็ต้องหยุดกองถ่าย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะการที่จะรวมตัวของคนกองถ่ายไม่ได้ แล้วเราเห็นลูกน้องลำบากกับครอบครัว ตัวพ่อพี่เองกำลังรักษาโรคมะเร็งอะไรใดๆ วิกฤติไปหมดเพราะเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ ในโรงพยาบาลมีแต่คนเสียชีวิตรายวัน มีเงินก็ซื้อชีวิตไว้ไม่ได้ มันเกิดสิ่งนี้ได้ยังไง แล้วพี่เก็บความรู้สึกเครียดเอาไว้กับตัวไว้เยอะมาก ไม่อยากให้ใครลืมภาวะนี้เลย อยากให้ทุกคนเก็บไว้เตือนใจว่าความไม่แน่นอนของชีวิตเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”

ตอนนั้นพี่นกเกิดอาการแพนิกเบาๆ?
“ใช่ค่ะ คือมันเครียดสะสมมา จนกระทั่งคุณพ่อเสียซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย เราต้องเก็บความแข็งแรงเอาไว้ พอเสร็จจากการเสียคุณพ่อไปแล้ว ทำพิธีไปแล้ว ลูกน้องจะทักว่าพี่ดูเครียดขึ้น ท่าเดินพี่เปลี่ยน จากคนที่เดินตรงๆ ท่าเดินพี่จะห่อลง พี่จะไปอยู่มุมเล็กๆ ของพี่ไม่ค่อยอยู่กับคนเยอะ และตอนนอนกลางคืนจะผวาตื่นทั้งคืนเลย ก็เลยรู้ได้เลยว่าไม่มีความสุขเลย หลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จนไปถึงวันที่เกลียดตัวเองว่าทำไมเป็นขนาดนี้ เกลียดตัวเองมากเลยนะ เพราะจากคนที่รักตัวเองมากๆ เกิดอะไร เป็นอะไร อยู่ดีๆ จะอ่อนแอ”

เราไม่เหมือนเดิมเพราะว่าเราไม่สามารถยื้อคนที่เรารักที่สุดไว้ได้ใช่หรือเปล่า?
“การยื้อไม่ได้ เราไม่ได้คิดว่าตรงนั้นเป็นปัญหา แต่มีความรู้สึกว่าถ้ามันไม่ใช่ภาวะนั้นเราจะดูแลอะไรได้ดีกว่านี้ มันก็เลยกลับไปทับถมตัวเองไปส่งผลต่อข้างในโดยที่เราไม่รู้ตัว”

จุดไหนที่พี่นกรู้สึกว่าอาการผิดปกติของแพนิกมันเกิดขึ้นกับเรารุนแรงที่สุด?
“มีจังหวะที่ขับรถ เป็นคนที่ชอบขับรถมาก จะไปทำงานหรือไปอะไรใดๆ จะขับรถเอง ไม่ใช้คนขับรถ เพราะว่าชอบร้องเพลง ชอบดูโน่นดูนี่ตอนขับรถ แล้วมีอยู่วันนึงเราเหนื่อยมากเราเพลีย แล้วเรากำลังพุ่งเข้าไปท้ายรถบรรทุก แล้วเราก็เห็นท้ายรถบรรทุกอยู่ตรงหน้าเรา ใจเราก็สั่นๆ ขึ้นมาทันทีว่าฉันไม่ได้มีชีวิตกลับไปเจอลูกอีกแล้วแน่ๆ เลย ตกใจก็มือเท้าเย็นควบคุมไม่ได้ มันไม่รู้ว่าเท้าจะเหยียบเบรกหรือจะเหยียบคันเร่ง แต่นิดนึงมันก็ยังมีความรู้สึกว่าค่อยๆ เหยียบเบรกแล้วค่อยๆ เข้าข้างทางแล้วก็อยู่ข้างทาง 2 ชั่วโมง ออกมาไม่ได้อีกเลย

...

จากวันนี้พี่ก็ขับรถไม่ได้อีกเลย 3 ปี เพราะว่าทุกครั้งที่จับพวงมาลัยพี่จะสั่น สั่นแล้วก็ขับรถไม่ได้ แล้วก็เกลียดตัวเองเพราะว่าฉันชอบการขับรถ ร้องเพลง และมีความสุขไปคนเดียว นั่นคือความสุขอย่างหนึ่งของพี่ แล้วมันก็ไม่เข้าใจ ก็ยังพยายามอยู่หลายทีมันก็ยังขับไม่ได้ พอเราจะไปไหนมันเหมือนจะเป็นภาระคนอื่น ไม่ชอบเลย

จนกระทั่งถึงวันที่เดินไม่ได้ ไปเดินห้างกับลูกสาว ลูกสาวเห็นว่าเครียดก็พาไปเดินช็อปตอนนั้นห้างเริ่มเปิดแล้ว ไปเปลี่ยนบรรยากาศนะมี๊ ไปเดินกับเขาแล้วอยู่ดีๆ ก็ผวาอะไรไม่รู้สักอย่าง เข่ามันอ่อน ลงไปนั่งอยู่กับพื้น แล้วก็บอกว่า จีนส์ๆ มี๊เดินไม่ได้ มันไม่มีแรงที่จะสั่งให้ขาลุกขึ้นมาแล้วก็เดิน ไม่มีแรง จีนส์ก็บอกว่ามี้อย่าเครียด ค่อยๆ หายใจ เหมือนจะดีขึ้น ลูกสาวพาไปนั่งกินข้าวก็กินไม่ได้ วันนั้นมันมีความรู้สึกว่าเราอยากร้องไห้ มันเกิดอะไรขึ้นจากคนที่แข็งแรงมาก เราเป็นบ้าอะไร เกลียดมากเลย ก็บอกตัวเองว่าต้องหาหมอ”

สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาคุณหมอ บอกอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา คุณหมอบอกว่าเป็นแพนิก?
“ใช่ค่ะ จากความเครียดสะสม คุณหมอบอกว่าคุณนกไม่ต้องตกใจคนเป็นกันเยอะมาก แต่จะเป็นระดับไหนแค่นั้นเอง และคนที่มีความรับผิดชอบเยอะๆ มันสามารถเป็นสิ่งนี้ได้ ณ ตอนนี้เรามารับข้อมูลและเรารู้ว่าเราเป็นแล้วเราจะไปแบบตรงไหน ตั้งสติแบบไหน”

เห็นว่าไม่ได้ดีขึ้น จนมีอยู่วันนึงพี่นกบอกว่าไม่อยากอยู่แล้วบนโลกใบนี้?
“มันเบื่อนะที่ต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลา มันมีเสี้ยววินาทีนั้นนะคะที่อันตราย มันมีความรู้สึกว่าตายก็ดีนะ มันมีเสี้ยววินาทีนั้นและมันสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้”

การที่เราเข้าใจอารมณ์ตัวเอง มันทำให้แพนิกเรามันลดลงเหมือนกับที่ตัดสินใจไปบวชครั้งนี้เกี่ยวด้วยมั้ย?
“คือจริงๆ แล้วพอหลายอย่างมันเริ่มสอน เราไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด เราก็อ่อนแอได้ เราต้องกลับมาดูตัวเราเองแล้ว มันก็มีความรู้สึกว่า เราก็เริ่มรักษาตัวเองแล้ว เราลองมาอ่านหนังสือดูซิอะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แล้วลองเปิดใจกับคำว่าพุทธศาสนาอย่างจริงจัง พอเห็นพระพี่จอนบวช เราก็มีความรู้สึกว่าดีจัง อยากให้โอกาสให้เขาบวชแล้วก็สนับสนุนมาตลอด แล้วถ้าเราบวชล่ะจะเป็นยังไงก็ถามตัวเอง ก็เดินเข้าไปอยากปฏิบัติธรรม

...

วันนึงก็ได้เดินเข้าไปที่เสถียรธรรมสถานอยู่ใกล้บ้าน เราเคยได้มีโอกาสทำงานกับคุณแม่ศันสนีย์มาบ้าง ไปกราบกายสังขารของคุณแม่ที่ตั้งอยู่ มีความรู้สึกว่าทำไมเราไม่บวชล่ะ สำหรับพี่ตอนนั้นคือเปิดใจแล้วก็เรียนรู้ไปเลย ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราโกนหัวแล้วเราบวชเดี๋ยวผมมันก็ขึ้น

เราก็หันไปมองหน้าลูกว่าบวชเดี๋ยวนี้เลยเนาะ ลูกก็บอกว่าแล้วแต่หม่ามี้เลย หม่ามี้สบายใจยังไงถ้าเคลียร์งานได้ ก็บอกว่าเดี๋ยวกลับไปบอกปะป๊าก่อน ก็กลับไปปรึกษาที่บ้านทุกคนก็บอกว่าอยากทำทำเลย เรามีความรู้สึกว่าชีวิตเป็นของเราแล้ววันรุ่งขึ้นจะเป็นยังไง สุขภาพเราจะได้มาบวชมั้ยหรือว่าเราออกไปจะรถชนตายตอนไหนก็ไม่รู้ วันนี้มีโอกาสทำอะไรให้ตัวเองแล้ว ทำเถอะ”

ผู้หญิงเรามีผม มีคิ้วสวยๆ ผู้หญิงแบบพี่นกดูแลตัวเองมาดีตลอด มันมีอาการแพนิกหรือกลัวอะไรมั้ย?
“วินาทีที่โกนผมมันจะคิดมาตลอดว่าเราจะเกิดอุปสรรคอะไรในใจมั้ย ทำให้เราหม่นมั้ย ทำให้เรากังวลมั้ย เราโกนผมแล้วตกใจกลัวอาการแพนิกมา แต่ว่าในพิธีพอเริ่มเข้าไปสู่จุดที่นั่งที่จะบวช ผู้ใหญ่ที่มาวันนั้นมีพี่จิ๋มมาที่แทนแม่ ปาดแรกที่ปาดเข้าไปแล้วผมออกแล้วเนี่ยเราบอกตัวเองว่าละแล้วนะ คำว่าองค์ใดพระสัมพุทธ มันขึ้นมาทันที แล้วก็มีความรู้สึกว่าดีใจจังเลยเราให้โอกาสตัวเอง องค์ใดพระสัมพุทธใดๆ เกิดขึ้นแล้ว เราขอให้ท่านเปิดโอกาสให้เราเป็นผู้บวชเรียน เข้ามาได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

...

เป็นจังหวะที่พี่จิ๋ม เราก็ขอพี่จิ๋มมาคือเหมือนแม่เราคนที่ให้ชีวิตให้อาชีพให้โอกาสทุกอย่างเลยกับเราเดินเข้ามาปลงผมให้ แล้วเราก็ได้ล้างเท้าท่าน เงยหน้าขึ้นมองกันแล้วก็รู้สึกว่าดีใจจังเลยที่ให้โอกาสตัวเองได้ตอบแทนผู้มีพระคุณและทำสิ่งนี้ แล้วครอบครัวก็เข้ามา กัลยาณมิตรก็เข้ามา ทุกคนดีใจกับวาระนี้ของพี่ พี่ว่าความสุขกับปีติมันเกิดขึ้น น้ำตาไหลตลอดเวลา”

ครอบครัวพูดอะไรกับพี่นกบ้าง?
“ก็บอกว่าให้ทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องมีห่วงกับที่บ้าน ได้แต่ขอบคุณทุกคนได้ให้โอกาสกับผู้หญิงคนนี้ได้ไปศึกษาพระธรรม”

อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกือบจะไม่ได้บวช?
“คงไม่ถึงตรงนั้น แต่มันมีนิสัยไม่ดีอยู่วันนึง คือวันที่พี่ขึ้นจอดำ วันนั้นมันคงเป็นอะไรนิดนึงที่ทำให้เป็นจุดกลับมาสอนตัวเราเองด้วย พี่ไม่ชอบคนที่สื่อสารกับคนไม่ดี แล้วไม่ชอบคนใช้อำนาจ ไม่ชอบคนที่ชอบสร้างวจีกรรมกับคนอื่นแล้วทำให้คนเจ็บปวด วันนั้นมันมีการดีลเรื่องงานแล้วมันมีการสื่อสารอะไรแบบนี้ออกมาแล้วพี่โกรธ พี่โมโห พี่เกลียดคนประเภทแบบนี้ พี่ก็ยังไม่ทันที่จะยั้งอะไรใดๆ ฉันจะต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เพราะฉันจะไม่ยอมให้มันผ่านไป

ซึ่งวันนั้นพอเราโกรธแล้วทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ซักพักนึงเราก็กลับมาคิดคนนั้นคนนี้เป็นห่วงเราไปหมดเลย แล้วคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือพี่จอน เพราะทุกคนพุ่งเป้าไปว่ามีปัญหาครอบครัวแน่ๆ พระก็ถามว่าเธอทำอะไร ฉันเดือดร้อนนะ ฉันต้องตอบคำถามคนเยอะแยะเลย เราก็เลยลงขอโทษในโพสต์ต่อๆ ไปว่าเรามีสติน้อยไป เราใช้อารมณ์วู่วามไป ก็เป็นบทเรียนให้ตัวเรา”

หลังจากนั้นพี่นกได้ไปบวช พี่นกว่าพี่นกได้จัดการปัญหาเหล่านั้นออกจากใจมั้ย?
“รู้มากขึ้น ก็ยังคงเป็นมนุษย์คนนึง เข้าใจตัวเองมากขึ้น ถ้าจะมาถามพี่คำที่มันยากๆ คงพระพุทธศาสนาพี่ไม่ค่อยรู้หรอกนะ แต่พี่รู้จักตัวเองมากขึ้น พี่เข้าใจอารมณ์ตัวเองมากขึ้น และรู้จักจัดเรียงอันนี้โมโหวางลงก่อน อันนี้สำคัญกว่ามั้ย แล้วก็เห็นชัดขึ้น แต่ไม่ได้บรรลุอะไร แต่รู้จักที่จะเลือกทุกข์กับเลือกสุขมากขึ้น อันนี้ทุกข์ไม่เลือกแล้วดีกว่าอายุ 59 แล้ว ลมหายใจที่จะเหลืออยู่ในแต่ละวันจะทำให้เป็นทุกข์หรือเป็นสุข”

ตอนแรกจะบวช 15 วัน สุดท้ายบวชได้แค่ 12 วัน เพราะอะไร?
“พระพี่จอนตอนนั้นยังไม่ได้บวชก็ดูแลบ้านแทนอยู่ แล้วบ้านกำลังรีโนเวต แต่ว่าเหมือนมีวาระที่จะต้องบวช แล้วแกก็บอกมาว่าจะต้องบวชวันที่ 6 ไปได้มั้ย แต่ถ้ายังกังวลใดๆ ไม่เป็นไรเดี๋ยวไว้บวชรอบอื่นก็ได้ เราก็มีความรู้สึกว่าเราก็มาบวชแล้ว ครอบครัวก็เอื้อให้เรามา ได้มามีความสุขตรงนี้ เราก็อยากเอื้อวาระนี้ให้กับพระพี่จอนด้วยได้ไปบวชอีกทีนึงที่ศรีลังกา ก็เลยจัดสรรวันกัน พี่สึกก่อนกำหนดสัก 3 วันเพื่อไปจัดการหน้าที่อะไรใดๆ แทน”

ตอนนี้พระพี่จอนก็ยังบวชอยู่?
“กลับมาเมืองไทยแล้วค่ะ แต่ยังไม่มีกำหนดที่จะสึก”

ทำไมครั้งนี้ต้องเป็นที่ศรีลังกา?
“ศรีลังกาเป็นที่พระพุทธศาสนาเคร่งครัดมากสำหรับคนที่นั่น แล้วพอดีทางวัดพระอุปัชฌาย์ของพระพี่จอนอยากให้เหมือนมีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากที่อินเดียแล้วก็ไปที่ศรีลังกาด้วย ยังไงใดๆ ด้วยแล้วแต่มันจะเป็นสิ่งที่ส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนา”

ทราบมาว่าที่พระพี่จอนไปบวชคือมีเหตุการณ์ที่เครียดด้วย?
“ปีที่ผ่านมาทางครอบครัวพี่จอนน้องสาวแล้วก็หลานชายประสบอุบัติเหตุ หลานชายก็เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ น้องสาวก็ยังโคม่ารักษาอยู่หลายเดือน ตอนนี้ก็ดีขึ้น แต่ว่ายังต้องดูแลร่างกายอยู่อีก ซึ่งเขาก็หนักกับทางความรู้สึก”

พี่นกบวชเสร็จก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ออกมาสัมภาษณ์ แล้วพระพี่จอนก็บวชต่อ เลยมีข่าวเม้าท์ว่าหรือชีวิตคู่ไม่เหมือนเดิม มีปัญหากัน?
“คือจริงๆ แล้วทุกข์สุขใดๆ มันมีมาตลอด มันไม่มีหรอกราบเรียบมีความสุข จนมาตอนนี้เราต้องใช้คำว่าเราเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน เรายังอำกันเลยว่าพี่สึกออกมาพระไปบวชต่อ ชอบพูดเล่นจนเป็นเรื่องว่าคนต้องนึกว่าเกลียดกันไม่อยากอยู่บ้านเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไร มันคืออยากส่งวาระเป็นสุขใจให้กัน”

ชีวิตคู่ 30 ปี เสมอต้นเสมอปลาย ไม่หวานยังไงก็ไม่หวานอย่างนั้น?
“ดอกไม้พี่ได้ช่อเดียวนะที่ใหญ่มาก จากที่ไม่เคยให้เลย ได้ช่อเดียวแล้วก็ช่อใหญ่มาก ก็เลยถามว่า กะว่าจะไม่ให้อีกแล้วด้วยใช่มั้ย ถึงได้ให้ใหญ่ขนาดนี้ วันนั้นเขาสร้างภาพ ขำๆ ระหว่างพี่กับเขา”

เรื่องที่รู้สึกว่าเป็นลิ้นกับฟันมากที่สุดคือเรื่องอะไร?
“เรื่องที่เพลี่ยงพล้ำบ้าง ต้องมีการดึงสติบ้าง ก็เคยทะเลาะกัน จัดกระเป๋าให้เลยออกไปเลยนะ ก็มีมาเรียนรู้กันใหม่”

เคยถึงขั้นจะเลิกกัน แยกกันอยู่เลย?
“เคย ก็กรณีเพลี่ยงพล้ำนี่แหละค่ะ กรณีแบบว่ามีวูบวาบมีโน่นมีนี่ พี่ก็เป็นคนมั่นใจตัวเองนะ คือเลิกเลิกได้ตอนนั้นนะ แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองทำผิดแล้วเปลี่ยนแล้วก็มาปรับ เราก็ให้โอกาสได้ แต่อย่าบ่อย มันก็มีขีดจำกัด พระก็ปรับให้บ้างเท่าที่เห็น เท่าที่ไม่เห็นอันนี้ไม่รู้ ออกนอกบ้านไปแล้วบางทีจะให้เราตามเหรอ ก็ไม่ตามหรอก แต่ก็ไม่ตามหรอก แต่ก็บอกเขาว่าหน้าอย่างนี้เดินไปที่ไหนในประเทศ ใครๆ เขาก็รู้นะว่าถ้าผู้หญิงที่ไม่ใช่หน้าแบบฉันไปนั่งอยู่กับเธอก็สัมภเวสีแหละนะ”

จริงๆ เรื่องที่พี่เป็นห่วงพระมากที่สุดคือเรื่องการดื่ม?
“ดื่มด้วย เราเคยเป็นห่วง แล้วเราก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนตอนกลางคืนกลัวเกิดอุบัติเหตุ เพราะท่านเคยเกิดอุบัติเหตุ ก็จะบอกกับท่านว่าถ้าดื่มเยอะๆ นอนตรงนั้นไปเลย นอนบ้านเพื่อนไปเลย”

พี่นกจะบอกกับพระพี่จอนและลูกๆ ว่า ชีวิตแม่ไม่อยากอยู่แบบตายทั้งเป็น อันนี้หมายถึงอะไร?
“ก็คือเป็นคำสอนจากคุณแม่ที่สอนออกมา ลมหายใจของเราที่อยู่ ณ ตอนนี้ เราอยากทุกข์หรือเราอยากสุข ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราแก้ได้หรือแก้ไม่ได้ เราค่อยๆ เรียนรู้มันแล้วก็จัดเรียง อันไหนแก้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวปล่อยให้มันเป็นวาระของมัน แต่อันไหนแก้ได้เราค่อยๆ แก้กันด้วยความมีสติ แต่อันไหนที่มันทุกข์ไปเลย ถ้าเราเลือกได้ทุกข์หรือสุข เราเลือกสุขดีกว่ามั้ย ลมหายใจเราที่เหลืออยู่ หายใจเข้าหายใจออกก็มีแต่ความทุกข์ตายทั้งเป็น ขอจิตที่มีความสุขเถอะ”

อยากฝากอะไรถึงพระจอนนี่มั้ย?
“ก่อนอื่นก็อนุโมทนาสาธุจะบวชอีกกี่โบสถ์ก็อนุญาตนะคะ เพราะเป็นสิ่งที่ดี แต่อยากจะบอกว่าก็ขอบคุณนะคะในสิ่งที่เราได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขและเรียนรู้กันมา มันไม่ใช่บวกทั้งหมดหรอกในชีวิต แต่เราก็จะเรียนรู้กันแล้วก็จะเกื้อกูลกันต่อไป แต่มีข้อยกเว้นถ้าบางเส้นมันเกินไป ชีวิตคือความไม่แน่นอน

แต่ว่าต้องขอขอบคุณทุกสิ่งที่เราได้เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ครอบครัวด้วย ลูกๆ ด้วย พี่จะบอกว่าชีวิตพี่มีบุญอย่างนึงที่มีคนรอบตัวดี เพื่อนรว่มงานดี ทีมงานดี สามีดี ลูกๆ ดี ซึ่งพี่มีความรู้สึกว่าลูกเราไม่ได้ไปคาดหวังอะไรกับเขา อย่าไปคาดหวังกับคนอื่น แต่เขาเป็นคนที่ไม่เกเร ไม่ไปทางอบายมุข เขาอยู่ในเส้นในทางที่ถูกต้อง แค่นี้ก็มีความสุข”

ก่อนหน้านี้จากคนที่ไม่มีศาสนา ไม่เข้าใจศาสนา แต่พอเราได้ไปสัมผัส ได้ไปปฏิบัติ ศาสนาให้อะไรกับเรา?
“ให้มากมายที่พี่ยังไม่กล้าตอบชัดเจน พี่เหมือนต้นไม้ได้ฝน ได้เติมเต็มชุ่มฉ่ำกับความรู้สึกบางอย่าง ให้อะไรยังไม่ได้กล้าระบุชัดเจน เพราะว่ามากมายเหลือเกินในสิ่งที่เราต้องเรียนรู้อีกเยอะ แต่เหมือนเราได้ก้าวขึ้นมาจากความติดขัดอะไรหลายๆ สิ่ง”

ยังรับงานในวงการละครอีกหรือเปล่า?
“ปัจจัยทุกอย่างยังจำเป็นต่อชีวิต ยังทำละครอยู่ค่ะ”.

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม