นานๆ จะได้เจอกับนักข่าวสักที สำหรับ จา พนม ยีรัมย์ หรือ โทนี่ จา ที่ล่าสุด ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในงานกาลา พรีเมียร์ ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง “Expendables4 โคตรคนทีมมหากาฬ” ณ ลานอินฟินิซิตี้ ฮอลล์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โดยเจ้าตัวได้อัปเดตชีวิตล่าสุด ที่ตอนนี้อายุใกล้จะเลข 5 แล้วให้ได้ฟังกันว่า 

มีอาการบาดเจ็บยังไงบ้างไหม?
ก็มีช่วงที่เราต้องกระโดดเตะ เป็นท่าที่ยากครับ แล้วเราต้องเล่นต่อเนื่อง เป็นคอมโบที่เราเซตไว้ ต้องกระโดดเตะสูง โดยไม่ใช้สลิง ก็ซ้อมไปประมาณ 20 ครั้ง พอเล่นด้วยอากาศมันหนาว ก็เลยมีกล้ามเนื้อฉีก ก็ฝืนเล่น ปฐมพยาบาลแล้วก็เล่นต่อ

หลายคนเป็นห่วงวัยใกล้เลข 5 แล้ว?
ด้วยวัยเนี่ย ถ้าจะไปกระโดดเหมือนสมัยองค์บาก มันก็คงเป็นไปไม่ได้ เอาที่เราสามารถทำได้ แล้วก็ผู้กำกับซื้อ โปรดิวเซอร์ซื้อ โอเค แล้วก็ปลอดภัยสำหรับเรา มันเป็นท่ายาก แต่เป็นท่าที่เราคุ้น แต่มันด้วยสภาพอากาศ ด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ประมาณ 10 กว่าเทคครับ ก็ผ่านไปด้วยดี

ตอนที่บาดเจ็บเราใจแป้วเลยไหม?
ครับ ก็ฝืนเล่น ผ่านไปได้ แต่มันมีบาดเจ็บทุกที่ครับ เพราะเราอยู่กับสิ่งนี้ การทำแอ็กชัน แต่ต้องบอกว่าเรารักในสิ่งที่เราทำ มันก็เลยเป็นพลังขับเคลื่อน แฟนหนังรอดูอยู่ เราก็เต็มที่กับมัน

กลัวว่าจะสะสม แล้วมีผลต่อสุขภาพระยะยาวไหม?
อันนี้เราก็ระวัง กลับมาก็ต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดีครับ ประคบกล้ามเนื้อ ใช้ยาสมุนไพร ซึ่งเราก็ทำมาตั้งแต่สมัยเล่นองค์บากแล้ว เป็นวิธีอบน้ำสมุนไพรฟื้นร่างกาย แล้วก็ดูร่างกายว่าเราสามารถขนาดไหน แล้วก็เพิ่มกล้ามเนื้อ บำบัดร่างกายให้มันเข้าที่ เรื่องของอาหารการกินด้วย

...

ถ่ายหนังเรื่องหนึ่ง ต้องป้องกันร่างกายขนาดไหน?
อย่างถ่ายเรื่องหนึ่ง ผมก็พัก 2 เดือน ให้กล้ามเนื้อมันได้ฟื้นตัว ก็ต้องให้หมอเช็กทุกรอบครับ บางทีกระดูกแตก บางทีก็เย็บ 21 เข็ม มันมีฉากที่ผมต้องวิ่งไล่จับผู้ร้าย เขาถามว่ากระโดดได้เท่าไร ผมก็กระโดดให้ดู ซ้อมไป 3 ครั้ง

ทีนี้เอาจริงไฟมันมา อยากโดดให้สูง ปึ้ง! ชน เลือดอาบเลย ต้องไปโรงพยาบาล เย็บ 21 เข็ม แต่เราก็กลับมา ถามถ่ายฉากไหนต่อได้บ้างครับ (หัวเราะ) เรามันคอหนังแอ็กชัน มันอยู่ในสายเลือด เวลาแอ็กชันมันจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะโฟกัสอยู่กับสิ่งนั้น ที่เคยเจ็บหนักที่สุดคือเรื่อง ต้มยำกุ้ง

จะเล่นแบบนี้ไปจนถึงอายุเท่าไร?
ดูเหมือนผู้อาวุโสเลยนะ (หัวเราะ) ในส่วนของผมคือเราไปถึงเป้าหมาย ไปถึงความฝันของเรา คือฮอลลีวูด ผมมองเป็นกำไรชีวิตแล้วครับ นั่นคือเราสร้างสรรค์อัตลักษณ์ของเรา ไปโชว์ให้ต่างประเทศเห็นแล้ว ที่เหลือเนี่ย มันก็สามารถที่จะทำต่อไป แรงเรายังมี จินตนาการ ความฝันเรายังมีก็ทำต่อไป (จะเล่นจนกว่าจะไม่ไหว?) โอ้โห (หัวเราะ) ก็…มา หนังไทยยังไม่มีเลย

ความกลัวในพจนานุกรมของเราคืออะไร?
มันศรัทธา มันก็เลยลืมความกลัวไปเลยครับ สิ่งที่เราได้ทำ และบรรลุเป้าหมายของเราเนี่ย มันยิ่งใหญ่ ศรัทธาตรงนี้ที่เราได้ถ่ายทอดออกไป มวยไทย วัฒนธรรมไทย ที่เราได้เผยแพร่ บางทีบางอย่างมันมีความภาคภูมิใจ มันมีพลังตรงนี้ เป้าหมายชัดเจน สำคัญ มันเป็นหลักให้เราได้เดินหน้าต่อไป

โดยเฉพาะมีแฟนๆ ที่เราชมผลงานอยู่ อีกอย่างหนึ่งไม่ใช่แค่ผมนะครับ ยังมีน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ที่เขาไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสที่จะต่อยอดได้ นี่เลยเป็นพลังที่ทำให้เราผลิตหนังแอ็กชันออกไป มันไม่จำเป็นต้องเป็นผม

จะมีโปรเจกต์อะไรอีกไหม?
ต้องรอดูครับ ตอนนี้เราดูสตอรี่หนังจีน หนังฮอลลีวูด แล้วก็หนังไทย มีทาบทามมาเยอะครับ แต่ไทม์มิ่งมันไม่ได้ แล้วก็ทางผู้จัดการเขาก็ดูบท คือเราไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว เราต้องดูว่าเหมาะกับเราไหม คาแรกเตอร์มันชัดไหมสำหรับเรา

มีจะฟีลอบอุ่นไม่บู๊บ้างไหม?
สนใจนะครับ แต่ไม่มีใครเขียนบทให้เลยครับ (หัวเราะ) เจอหน้ากันจะซัดอย่างเดียวเลย มันน่าจะมีบ้างนะ

เห็นว่าเวลาไปเล่นเรื่องไหน ก็จะเอาของไทยไปฝากเพื่อนนักแสดงตลอด?
ก็เป็นอัตลักษณ์ของเรา ตั้งแต่เด็กแล้ว ไปฮ่องกงก็เอาพระเครื่องไปแจก อย่างดาราฮอลลีวูด วิน ดีเซล, ดอนนี่ เยน ก็ได้พระขุนแผนไปแล้ว ก็เอาของดีไปฝาก เราก็บอกว่าเป็นวัฒนธรรมไทยเรา เขามีไม้กางเขน เรามีพระเครื่อง สิ่งนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นแรงบันดาลใจให้เราได้สำเร็จ มีสติ มีสมาธิ

ล่าสุดให้อะไร แจ็คสัน หวัง?
ให้พระพรหมน้องไปครับ เราก็อยากให้อะไรที่เป็นเอกลักษณ์ เราก็บอกเขาว่าอันนี้เอามาจากไหน เขาก็บอกว่าเขามีเครื่องรางของแม่อยู่ เป็นน้ำเต้า วันนั้นก็สอนท่ารำมวยน้องไปด้วย จบด้วยท่าช้าง

...

น้องเขาก็น่ารัก สร้างชื่อเสียง และมีแฟนคลับที่สนับสนุนต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ก็ต้องขอบคุณเขานะ ที่มาสร้างความสุขให้คนไทย เป็นครั้งแรกที่เจอกันเลย กับ หวัง อี้ป๋อ ก็มีโอกาสได้คุยได้เจอน้อง เขาเต้นเก่งมากเลย เป็นคนน่ารัก

คลิกเพื่ออ่าน “ข่าวบันเทิง” เพิ่มเติม