หลังพระเอกหนุ่ม เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์ เกิดอาการวูบหมดสติ กลางงานอีเวนต์ เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา และต้องเข้ารักษาตัวในห้อง ICU อยู่ร่วมเดือน
โดยมี คิตตี้ คริสติน่า วิงเคลอร์ ภรรยาของพระเอกหนุ่ม เฝ้าอยู่ไม่ห่าง ก่อนภาพเหมือนพระเอกหนุ่มอาการจะเริ่มดีขึ้น ตามที่เคยเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันที่ 22 มิ.ย. 66 ที่รพ.บำรุงราษฎร์ คิตตี้ คริสติน่า พร้อมด้วยคุณแม่ของเอส กันตพงศ์ และ เอ ศุภชัย ผู้จัดชื่อดัง พร้อมทีมแพทย์ที่รักษา ร่วมกันแถลงถึงอาการป่วยของพระเอกหนุ่ม เอส กันตพงศ์ และอัปเดตความคืบหน้าว่า
แม่ : “ย้อนไปวันที่ 9 พ.ค. ที่มีรายการบิ๊กดีเบต อาการที่เราเห็นได้ชัดของเอสก่อนจะหมดสติ คือเขาจะกระวนกระวาย และพยายามขยับเสื้อตลอด เหมือนเริ่มจะมีอาการหน้ามืด แล้ววันนั้นก่อนจะหมดสติ เขาได้เอียงตัวไปทางพิธีกรชายอีกท่านหนึ่ง ไม่ได้ล้มหัวฟาดลงไป แค่เอนลงไปแล้วเขาช่วยรับไว้ แล้วที่โชคดีคือมีคุณหมออยู่นั่นด้วย ก็ได้ช่วยปั๊มหัวใจอยู่สักพักใหญ่
...
เห็นคุณหมอบอกว่าตอนเอสหมดสติไป น่าจะหยุดหายใจเลย ก็ปั๊มหัวใจกันไปเรื่อยๆ จนถึงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลตำรวจ ปั๊มขึ้นมาได้ 2 นาที แล้วก็หยุดไปอีก แล้วก็ปั๊มขึ้นมาได้สักพักหนึ่ง จนดูว่าอาการน่าจะเข้าที่ หลังจากนั้นก็มีการปฐมพยาบาล จนคิดว่าน่าจะเคลื่อนย้ายมาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ เราก็พามาวันที่ 11 พ.ค. เพื่อให้คุณหมอทางนี้รักษาต่อ อาการโดยรวมตอนนี้ เราก็ยังรักษากันอยู่นะคะ แต่ถ้าจะให้ละเอียดกว่านี้ต้องถามคุณหมอค่ะ”
คุณหมอ : “นับตั้งแต่ผู้ป่วยย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ 11 พฤษภาคม 66 ทีมแพทย์ของสถาบันโรคหัวใจแล้วก็ทีมแพทย์เฉพาะทางอีกหลายๆ สาขา ได้เข้ามาร่วมกันตรวจวินิจฉัยแล้วก็ทำการรักษา จากการวินิจฉัยโดยละเอียดจากประวัติ ตรวจร่างกายแล้วก็หลักฐานทางคลินิกแล้วก็หลักฐานทางห้องปฏิบัติการทุกอย่าง
สาเหตุของความเป็นไปได้มากที่สุดอาการของเอสคือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน (Myocarditis) ในกรณีของเอสเป็นขั้นรุนแรง ก็คือการทำงานของหัวใจมีความผิดปกติก็คือลดลงอย่างมาก แล้วก็ทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่าการเต้นของหัวใจผิดจังหวะขั้นรุนแรง เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นไป
หลังจากผู้ป่วยถูกย้ายมาจากโรงพยาบาลแห่งแรกคนไข้ถูกประเมินแล้วก็ตรวจรักษาจากโรงพยาบาลแห่งแรกแล้วก็ส่งรักษามาที่โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ ณ ตอนนั้นเอสถูกใส่เครื่องพยุงชีพ แล้วก็เครื่องช่วยหายใจ ทั้งหมด ตอนส่งมาผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้วินิจฉัยที่เป็นไปได้มากที่สุด
แล้วเริ่มการรักษาคือให้ยา ผู้ป่วยมีการตอบสนองที่ดีขึ้นทุกๆ วันตลอดการรักษา ตั้งแต่เริ่มรักษาผู้ป่วยค่อยๆ ลดใช้เครื่องช่วยหายใจและเครื่องพยุงชีพได้ ณ วันที่ให้ข้อมูลนี้คือวันที่ 22 มิถุนายน การทำงานหัวใจของผู้ป่วยกลับมาใกล้เคียงปกติแต่ต้องอยู่ในความใกล้ชิดของแพทย์ ระบบเลือดหยุดการทำงาน ไตฟื้นกลับมาแล้ว ผู้ป่วยกลับมาใกล้เคียงปกติแล้ว
แต่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ ทั้งนี้เพื่อติดตามอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างใกล้ชิดต่อไป นอกจากนี้เอสมีระบบไหลเวียนโลหิตหยุดทำงานไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ไตแล้วก็สมองเป็นอวัยวะที่ไวต่อการขาดเลือดมากที่สุดในร่างกายมีความเสียหายไปหมด
ณ ตอนนี้วันนี้การทำงานของไตฟื้นกลับมาได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ มีการหยุดฟอกเลือดไปแล้ว ผู้ป่วยสามารถกลับมาปัสสาวะได้เอง เรื่องสมองผู้ป่วยเริ่มมีการฟื้นตัวของภาวะรับรู้ สมองเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ หลังจากนี้ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมโดยแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาท
และร่วมทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูในระยะยาวอย่างต่อเนื่องต่อไป ณ วันที่ให้ข้อมูลนี้ผู้ป่วยย้ายออกมาจากหอผู้ป่วยวิกฤติโรคหัวใจเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ในหอผู้ป่วยปกติ แล้วก็เริ่มทำกายภาพบำบัด ข้อมูลที่เปิดเผยนี้อ้างอิงจากคลินิกของผู้ป่วยจนถึงวันที่ 21 มิถุนายน”
เอสพูดอะไรเป็นสิ่งแรกหลังตื่นขึ้นมา?
หมอ : “ตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็ยังอยู่ในภาวะสับสน ซึ่งเป็นปกติ เราไม่ได้คาดหวังว่าคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้นไปนานตื่นขึ้นมาแล้วสื่อสารได้ทันที ยังมีความสับสนอยู่บ้าง”
...
คิตตี้ : “มันไม่ได้มาเป็นประโยคค่ะตอนที่เขากลับมา เขาดูค่อนข้างสับสน เขาคิดว่าเขากำลังทำงานอยู่ เหมือนเขากำลังอยู่ในฉาก แล้วเขาถามว่า ฉากต่อไปคืออะไร”
คิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ไหม?
คิตตี้ : “มันคือปาฏิหาริย์ค่ะ เพราะโดยทั่วไปคนที่ไม่ได้สติเป็นเวลานาน เขาอาจกลับคืนสู่สภาพนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันดีมากๆ ค่ะ”
ถามถึงลูกสาว?
คิตตี้ : “เธอดีใจมากที่ได้พบพ่ออีกครั้ง แต่ก็เผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำความเข้าใจว่า พ่อต้องอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้อยู่กับเธอทุกวันหรือทำในสิ่งที่เคยทำด้วยกัน เพราะเอสเป็นพ่อที่วิเศษมาก เขาวิ่งกับเธอตลอด เล่นกับเธอตลอด เธอต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากจริงๆ ว่า ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม ซึ่งเราก็หวังมากๆ ว่ามันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง”
ตอนเอสตื่น พูดอะไรกับเขา?
คิตตี้ : “ฉันพูดประมาณว่า ‘ที่รัก เราอยู่ตรงนี้นะ เราอยู่ตรงนี้เพื่อคุณ ไม่ต้องห่วง ใช้เวลาได้เต็มที่’”
เขาตอบกลับว่ายังไง?
คิตตี้ : “ตอนนั้นเขาจำไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเรา แต่ตอนนี้เขาจำได้แล้ว”
...
เขาจำคุณได้ไหม?
คิตตี้ : “ตอนนี้เขาจำได้แล้ว”
เอสรู้ไหมว่าแฟนๆ คิดถึง รอเขากลับมา?
คิตตี้ : “ฉันบอกค่ะ ฉันพยายามอธิบายเขาว่าทุกคนรอเขาอยู่ ทุกคนอวยพรให้คุณหาย เท่าที่เขาจะเข้าใจได้ ฉันพยายามช่วยเขาให้กำลังใจเขาเท่าที่ทำได้ ว่าทุกคนรออยู่ ทุกคนรักคุณ ... เขาเหมือนจะเข้าใจนะ ฉันมั่นใจว่าเขาอยากกลับมา”
วินาทีแรกที่เห็นรู้สึกยังไง?
เอ : “ก็เหมือนอย่างที่เคยบอกไปว่าเหมือนปาฏิหาริย์ เห็นแล้วน้ำตาไหลเพราะสิ่งที่คาดหวังมันเป็นจริงแล้ว ที่พี่เอสได้ฟื้นขึ้นมา”
ตอนมาเยี่ยมพี่เอได้พูดอะไรกับพี่เอสบ้าง?
เอ : “คุยเรื่องวันแรกที่ได้เจอกัน ตอนไปดูตัวพี่เอสครั้งแรกและเปิดไฟส่องไปที่พี่เอส พูดเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้น พี่เอสจะจำได้หมดเลย”
ในส่วนงานพี่เอสหลังจากนี้?
เอ : “ก็ยังไม่สามารถตอบได้ในตอนนี้ ต้องดูวันต่อวัน เพราะฉะนั้นงานทุกอย่างก็ไม่สามารถตอบได้”
คุณหมอ : “ก็อยากให้ดูวันต่อวัน และโฟกัสแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้มันคืออะไร และในตอนนี้คุณเอสอยู่ในฐานะผู้ป่วย ที่สำคัญก็คือการฟื้นฟู”
โอกาสกลับมา 100 เปอร์เซ็นต์ ยังมีอยู่ใช่ไหม?
คุณหมอ : “เราไม่ตัดโอกาสนั้น ทุกครั้งที่เราทำการรักษารวมไปถึงการทำกายภาพทั้งหมด เราก็คาดหวังว่าคนไข้จะต้องกลับมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
...
คุณแม่อยากขอบคุณใครบ้าง?
คุณแม่ : “อยากขอบคุณโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะช่อง 7 ที่ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ยิ่งคุณหมอที่จะคุยกันตลอดเวลา”
ภรรยา คิตตี้ อยากพูดอะไรบ้าง?
คิตตี้ : “ฉันอยากบอกอีกครั้งว่า ขอบคุณทุกคนที่ซัพพอร์ตเราดีมาก ที่เข้าใจว่าเราต้องใช้เวลา เพราะเราเสียใจมาก เราเหนื่อยมาก เราดูแลเอสทุกวันทุกเวลา โดยเฉพาะคุณแม่ ครอบครัว ลูกพี่ลูกน้อง สามีของลูกพี่ลูกน้อง ทุกคนดูแลเขาตลอดเวลา เราล้ากันมาก ซึ่งเราต้องขอโทษที่ทำให้บางทีเราไม่สามารถอัปเดตข้อมูลได้เร็วเท่าที่ทุกคนต้องการ
แต่เราพยายามอย่างดีที่สุด เราพยายามแชร์ข้อมูลเท่าที่ทำได้ แต่เราก็ต้องพยายามปกป้องเอสด้วย เพราะนี่เป็นเรื่องที่อ่อนไหว เราขอให้ทุกคนรู้ว่า เราขอบคุณทุกการสนับสนุน ทุกคนที่อยู่ตรงนี้กับเรา ทุกคนที่ช่วยเหลือเรา ทีมแพทย์ โรงพยาบาล ที่ช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี เราหวังจริงๆ ว่าทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในเร็ววัน ที่เอสจะกลับมา เป็นสามี เป็นพ่อให้วาเลนตินา ให้มันจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง”
คุณหมออยากพูดอะไรบ้าง?
คุณหมอ : “ขอบคุณครอบครัว และขอบคุณทุกคนนะ ที่ร่วมกันในวันนั้นแล้วก็ทีมแพทย์ ก็คือรพ.ตำรวจ รพ.บำรุงราษฎร์ และทุกคนที่ส่งกำลังใจมาให้ รวมไปถึงแฟนคลับ อาจจะขอโทษนิดนึงเพราะเราไม่ได้อัปเดตได้ตลอดเวลา เราอย่าลืมว่าเค้าเปลี่ยนสถานะจากคนของประชาชนมาเป็นผู้ป่วยวิกฤติ ซึ่งครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งที่เราจะต้องให้โอกาส ขอบคุณที่ให้ความเข้าใจ”
พี่เออยากขอบคุณใครบ้าง?
เอ : “ต้องขอขอบคุณครอบครัวแล้วก็คุณหมอ เพราะเวลาที่เราจะมาเยี่ยมต้องขออนุญาตคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ก็ดีใจที่เราจะได้มาเยี่ยม ขอบคุณแม่ก็พูดเจตนารมณ์เหมือนกันว่าเราอยากจะแถลงให้ทุกท่านได้ทราบ แต่ด้วยอาการของพี่เอสอย่างที่บอกว่าเราลุ้นกันวันต่อวัน คือทิศทางของอาการเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าวันนี้จะเป็นยังไง
เพราะถ้าเกิดพูดไปและอาการอีกวันไม่เหมือนที่เราพูดไป เพราะฉะนั้นข้อมูลก็จะผิดพลาด แต่ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมทางครอบครัวและคุณหมอและพี่เอ ก็เลยคุยกันว่าถึงเวลาที่เราจะมาแจกแจงให้ทุกท่าน ที่เป็นห่วงได้รับทราบ และวันนี้ก็เลยพาครอบครัวและคุณหมอมาแจ้งให้ทุกคนทราบ
เพราะฉะนั้นตอนนั้นไม่สามารถที่จะมาพูดได้เลย ว่าวันนี้จะเป็นยังไง เพราะถ้าเกิดพูดวันนี้ไป แล้วพรุ่งนี้เกิดไม่เหมือนที่เราพูดวันนี้ ข้อมูลก็จะผิดพลาด แต่วันนี้ถึงเวลาที่เหมาะสมที่ทางครอบครัวน้องเอส คุณหมอ และพี่เอ จะมาอัปเดตให้ทุกท่านที่เป็นห่วงเราทุกคนได้รับทราบแล้ว”
ก่อนหน้านี้ที่มีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่มีความคลาดเคลื่อน ช่วยปลอบใจครอบครัวยังไงบ้าง?
เอ : “เราโฟกัสที่ครอบครัวพี่เอส และอาการป่วย ไม่ได้ดูข่าวเลย คอยถามน้องปอยที่เป็นคนดูแลเอส ว่าอาการเป็นยังไงบ้าง และคอยถามถึงคุณแม่ โฟกัสแค่เรื่องนี้”
เอสหลับไปกี่วัน?
คุณหมอ : “ประมาณ 8 วันครับ นับตั้งแต่วันที่เริ่มมีอาการ วันที่ 8 เริ่มฟื้นตัว (สิ่งที่ทำให้รับรู้ว่าเป็นการฟื้นตัวคืออะไร?) เริ่มต้นเราจะดูที่การขยับแขนขาก่อน แล้วก็เริ่มมีการสื่อสารที่เริ่มเปล่งเสียงได้ และเริ่มสื่อสารแบบที่มีความหมาย”.