เปิดใจพิธีกรระดับตำนานของประเทศไทย วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ กับการเปิดเผยเส้นทางโทรทัศน์ไทยกว่า 40 ปี และจุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นเจ้าพ่อแห่งรายการทอล์กโชว์ พร้อมเปิดชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ในรายการ "คุยแซ่บ Show Special" ทางช่อง One31 ที่มี ชมพู่ ธัณย์สิตา และ เป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกร
เริ่มตั้งแต่คุณอายังเป็นเด็กๆ เลย คุณอาเป็นคนจังหวัดอะไรคะ?
วิทวัจน์ : เป็นคนยะลา อยู่ยะลาถึงอายุ 17 ปี เกิดที่นั่น คลอดที่นั่น โตที่นั่น เรียนที่นั่นแล้วก็เรียนที่กรุงเทพฯ มศ.4 เรียนอยู่ 2 ปีกว่าๆ พอจบ มศ.4-มศ.5 ก็สอบเอนทรานซ์เลือกแบบไม่ดูเงาหัวตัวเอง เลือกจุฬาฯ ศิลปากร ชอบศิลปะ อันดับ 1 เลือกศิลปศาสตร์ ชอบภาษา ไม่ติดสักคณะเลย พ่อเลยบอกให้ไปเรียนรามฯ แต่รู้สึกตัวเองชอบภาษาเลยอยากไปเมืองนอก แต่ที่บ้านไม่ให้ไป ไม่มีตังค์
แล้วที่ทำยังไงถึงได้ไป?
วิทวัจน์ : พี่ชายคนที่สองชื่อคุณอรรถพล เค้าก็ภาคภูมิใจจนทุกวันนี้ เค้าซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว ถ้าจะกลับให้หาซื้อตั๋วกลับมาเอง ออสเตรเลียยุคนั้นค่าเรียนฟรี เราชอบศิลปะเลยเลือกคณะศิลปศาสตร์ เรียนอยู่ 4 ปี
...
หลังจากเรียนจบกลับมาเมืองไทยมั้ย?
วิทวัจน์ : ได้ทำงานเลย ได้งานแรกเลยที่กระทรวงศึกษาธิการของซิดนีย์ ออสเตรเลีย ทำไปได้พักนึงพอดีหนังสือพิมพ์ลงประกาศต้องการอาร์ตไดเร็กเตอร์ให้เกมโชว์เด็ก เราก็หิ้วพอร์ตโฟลิโอไป
ตอนเค้าเห็นใบสมัครเราเค้าสนใจรับเราเลยมั้ย?
วิทวัจน์ : เค้าดูงานพอร์ตโฟลิโอที่ว่าคือเนื้องานของเรา ดูงานศิลปะ
เห็นว่าทำไปทำมารายการโดนยุบ?
วิทวัจน์ : รายการเด็กของทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้ เป็นรายการที่หาสปอนเซอร์ยาก รายการอยู่ได้สัก 2 ปี มีลูกน้อง 2 คนที่เป็นฝรั่งก็โดนไล่ออก เค้าเก็บหน้าจีนคนนี้ไว้ เค้าให้เราย้ายไปอยู่แผนกข่าว เป็นแผนกใหญ่ขึ้นรายการเกมโชว์เด็กมีอาทิตย์ละครั้ง แต่แผนกข่าวมีทุกวัน แต่ไม่ได้เป็นอาร์ต ไดเร็เตอร์แล้วเป็นกราฟิก ทำไตเติ้ล ออกแบบฉาก ทำอยู่ได้ประมาณ 3 ปี
เห็นว่าผลงานคุณอาก็ดีจะโดนเลื่อนขั้นแต่ก็ไม่โดนสักทีเกิดอะไรขึ้น?
วิทวัจน์ : ตอนนั้นเรารู้สึกว่าความเป็นซีเนียร์ ถ้ามีคนออกก็จะได้รับการไต่เต้าขึ้นไป แต่พอถึงเรา เราก็อายุมากที่สุดน่าจะถึงเราบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ หาคนใหม่เข้ามา เป็นอยู่อย่างนั้นสักครั้งสองครั้ง จนมีรายการนึงที่มีชื่อเสียงระดับโลกแล้วก็น่าจะถึงตาเราแล้ว แต่ก็ไม่ ข้ามเราไปอีกแล้ว ไอ้หน้าจีนคนนี้ก็นั่งรอไป มีความรู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าตาเราไม่เป็นสีฟ้า ผมไม่เป็นสีบลอนด์ ผิวเราเหลืองกว่าชาวบ้านหน่อย เหยียดผิวแล้ว ถ้าเพียงแค่เรากลับบ้านแล้วเราทำงานโดยที่ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษไม่แน่ชีวิตเราอาจจะรุ่งเรืองกว่านี้
แต่การกลับก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะระหว่างนั้นคุณอาก็มีครอบครัว?
วิทวัจน์ : ใช่ ตอนนั้นมีลูกแล้ว ยังเล็กอยู่เลย
ไปเจอกับภรรยาตั้งแต่ตอนไหน?
วิทวัจน์ : เจอกับภรรยาตั้งแต่ตอนไปปีแรกเลย ตอนไปปีแรกต้องไปเรียนภาษาอังกฤษก่อน 3 เดือน ก็เจอภรรยาที่นั่น ภรรยาเป็นคนไทยด้วยกัน
แล้วทำไมปิ๊งเลย ตอนนั้นเราเจอคนเอเชียกี่คน?
วิทวัจน์ : ในโรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษก็แปลว่าเป็นนักเรียนที่มาจากประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ ตอนนั้นอายุ 17 เป็นปั๊ปปี้เลิฟก็คุยกันรู้เรื่องดี
แสดงว่าเห็นแล้วรักแรกพบเลยหรือเปล่า?
วิทวัจน์ : อาจจะประมาณนั้น เป็นคนที่ชอบคนผมยาว
เราเข้าไปจีบแล้วตอบรับเลยมั้ย?
วิทวัจน์ : คนไทยในซิดนีย์ ออสเตรเลีย ตอนนั้นไม่ได้มีเยอะ จับกลุ่มรวมกันคุยกันเองก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจน เป็นเพื่อนร่วมก๊วนกัน
ณ ตอนนั้นที่จะย้ายมาเมืองไทยมีลูกหรือยัง?
วิทวัจน์ : คนโต 3 ขวบ คนที่สอง 3 เดือน
ก่อนจะย้ายมาเมืองไทยเห็นว่าคิดแล้วคิดอีกตั้งแต่ลูกคนที่สองยังอยู่ในท้อง?
วิทวัจน์ : ถูก ใช้เวลาในการตกลงกับภรรยา เค้าไม่ยอมกลับ คือวันแรกที่คุยกันเราบอกว่าไม่อยากทำแล้ว เบื่อพูดภาษาอังกฤษแล้ว อยากมาเมืองไทยพูดภาษาไทย ทำงานภาษาไทย คุยกับคนไทย มีลูกน้องคนไทย มีเจ้านายคนไทย เค้าก็ไม่เอา เวลาก็ผ่านไปเราก็ทำงานไป เงินก็ดีใช้ได้ สถานะทางสังคมก็ดี ตอนนั้นเท่นะเวลาคนถามทำงานที่ไหน เราบอกไอทำงาน แชนแนล ไนน์ อาเป็นคนเอเชียคนเดียวในจำนวนพนักงานตอนนั้นคิดว่าน่าจะสักพันคน
ต้องใช้วิธีไหนเค้าถึงจะยอม?
วิทวัจน์ : อาพูดอยู่คำนึง เราตกลงกันสักระยะนึง ขอ 5 ปี ถ้าไม่เวิร์กไม่รวยขึ้นกว่านี้ ซึ่งโคตรยากเลยนั่นมันเงินดอลลาร์แล้วเรากลับมาหาเงินบาท เลยขอ 5 ปีถ้าไม่รอดก็กลับ
...
หลังจากออกจากงานแรกมาถึงเมืองไทยเล็งอะไรเป็นงานต่อไป?
วิทวัจน์ : นั่งอยู่บ้านแล้วก็ดูทีวี เห็นมีผู้ชายผมหยิกๆ คนนึงนั่งอ่านข่าว เค้าจะทำแบบที่เราเคยทำตอนอยู่ออสเตรเลีย คนนั้นชื่อ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อ่านข่าวช่อง 9 อสมท ยังมีไอ้นี่ต้องทำ ไอ้นี่ก็ยังต้องเปลี่ยน ฉากตรงนี้ก็ไม่ค่อยดี เรารู้เลยว่าเค้าต้องการทำอะไรและกำลังจะไปสู่จุดไหน มันเป็นการเสนอข่าวแบบฝรั่งแนว CNN
แล้วคุณอาทำยังไง?
วิทวัจน์ : เดินเข้าไปเลย สวัสดีครับอาจารย์ครับ ผมมาสมัครงานครับ สมัครอะไรฉันไม่ได้ประกาศ ไปดักแกเพราะเรารู้ว่ามันเป็นการเสนอข่าวสด ไปเซอร์เวย์ก่อนเดินเข้าไปดูห้องข่าว ห้องอาจารย์อยู่นี่ กะเวลาเลิกรายการกว่าจะเก็บสคริปต์ถอดไมค์น่าไม่เกิน 5 นาที แกก็เดินมาจะขึ้นรถ ก็เข้าไปสวัสดีบอกว่าผมมาสมัครงาน ผมมาจากออสเตรเลีย ผมทำงานที่ฝ่ายข่าวที่ Channel 9 ของออสเตรเลีย ผมมานำเสนอในสิ่งที่อาจารย์ขาดอยู่ ก็ยืนคุยกันอาจารย์ก็บอกว่าเดี๋ยวนัดคุยกัน หลังจากนั้นพอนัดกันก็เปิดงานให้เค้าดู ก็คืองานทีวีข่าว ไม่รับก็แย่แล้ว
...
ก็ได้ทำงานที่นี่เลย นานมั้ยคุณอา?
วิทวัจน์ : ใช่ ก็ออกแบบฉาก ออกแบบไตเติ้ลใหม่ ข่าว 9 อสมท ที่เป็นเลข 9 หมุนๆ อันนั้นอาเป็นคนทำออกแบบคอนเซปต์ ออกแบบโต๊ะ ก็ทำอยู่ประมาณปีนึง อาจารย์สมเกียรติเป็นผู้ปฏิวัติวงการข่าวของประเทศไทยเป็นประวัติศาสตร์เลย เราก็ไปทำเบื้องหลังนั่นแหละ
แต่ก็มีสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่พลิกวงการพยากรณ์อากาศ นั่นก็คือคุณอา ทำไมถึงได้ไปทำงานวงการพยากรณ์อากาศ เห็นบอกว่าเป็นคนแรกด้วย?
วิทวัจน์ : ทำไปได้ปีนึง หลังจากนั้นก็มีกราฟิกรายวัน คือเวลาคนไม่เปิดเสียงก็จะเห็นตัวหนังสือ แต่ข่าวพยากรณ์อากาศอาทำอยู่ตอนอยู่ออสเตรเลีย ทำมาหมดรู้หมดแล้ว เลยถามอาจารย์ว่าทำไมอาจารย์ไม่หาคนมาอ่านข่าวพยากรณ์อากาศ ผมเสนอเป็นคอนเซปต์ให้เอามั้ย ผมวาดเป็นสตอรี่บอร์ดให้ ถ้าเราดู CNN ทุกวันนี้มันก็เป็นแบบนี้ อาจารย์ดูแล้วก็บอกว่าใช้ได้ คอนเซปต์นี้โอเค เอาเลยเอาแบบนี้
เอาสตอรี่บอร์ดเราแล้ว แล้วคนอ่านล่ะคะ?
วิทวัจน์ : บอกอาจารย์ว่าคอนเซปต์อันนี้ผมทำให้ได้ไม่มีปัญหา ฉากหลังเดี๋ยวผมออกแบบให้ แต่อาจารย์จะเอาใครมาอ่าน อาจารย์เค้าก็บอกว่าใครจะไปรู้ว่าต้องทำยังไงนอกจากคุณ คุณนั่นแหละอ่าน
พออาจารย์บอกอย่างนี้ คุณอาว่ายังไง?
วิทวัจน์ : ผมรู้วิชาภูมิศาสตร์ตอนอยู่ ม.ต้น แรงลม เรื่องของเมฆ เรื่องของลมบก ลมทะเล ความกดอากาศ อาจารย์บอกไม่รู้ก็ไปเรียนที่กรมอุตุฯ อาจารย์ยกหูกริ๊งเดียวคงพูดประมาณว่าเราต้องการส่งคนไปเรียนเพื่อการนำเสนอข่าวพยากรณ์อากาศให้ดูดีขึ้น เราอยากใช้คนของเรา สมัยก่อนจะใช้เจ้าหน้าที่จากกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นผู้นำเสนอข่าว แล้วก็ไม่มีอะไรมากมายเกินไปกว่า พระอาทิตย์ขึ้นกี่โมงตกกี่โมง น้ำทะเลขึ้นสูงสุด
...
แล้วสไตล์ของคุณอาคืออะไร?
วิทวัจน์ : ก็มีความรู้มาพอที่จะนำเสนอได้ เป็นรายการสด ตื่นเต้นมากเพราะเราอยู่เบื้องหลังมาตลอด
แล้ววันนั้นคุณอาตายไมค์มั้ยคะ?
วิทวัจน์ : ตาย จะรอดเหรอ มันไม่เดดแอร์แต่พูดผิด พูดผิดแล้วก็แก้ แก้แล้วก็ขออภัยครับ หลังๆ มีคนบอกว่าถ้าพูดผิดไม่ต้องขออภัยเผื่อเค้าไม่รู้ ข้ามไปเลยแล้วพูดใหม่ แต่คนชอบเพราะเป็นเรื่องใหม่ รายการ 2 นาทีกว่าเองตอนจบก็มีตบมุกหน่อย ช่วงนี้ความกดอากาศสูง ไม่ทราบว่าความกดอากาศหรือความดันอาจารย์สมเกียรติไม่ทราบวันนี้สูงหรือต่ำครับ เชิญครับ ส่งไปแบบนี้ คนดูชอบ
จากสายข่าวพยากรณ์อากาศแล้วกลายมาเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการทอล์กโชว์ได้ยังไง?
วิทวัจน์ : ทำรายการพยากรณ์อากาศอยู่สองปีก็ต้องมีมุกอย่างที่ว่าพวกนี้ ผมไปบอกอาจารย์ว่าผมหมดมุกแล้ว เพราะทำ 7 วันต่ออาทิตย์ 365 วันต่อปี อาจารย์เค้าก็ไม่มีปัญหา คุยไปคุยมาก็ถามอาจารย์ว่าเรามาทำทอล์กโชว์กันมั้ย
ตอนนั้นเมืองไทยมีหรือยัง?
วิทวัจน์ : ไม่มี ตอนนั้นในเมืองไทยยังไม่มี ในอเมริกามีชื่อทูไนท์ โชว์ พิธีกรชื่อจอห์นนี่ คาร์สัน เป็นตำนานของวาไรตี้ ทอล์กโชว์แบบที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ เลยบอกอาจารย์ทำแบบนี้มั้ย ผมไม่อยากทำพยากรณ์อากาศแล้ว หาคนมาแทนดีมั้ย คนที่มาแทนคือ คุณจิ๊ อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ
เริ่มแรกของวาไรตี้ทอล์กโชว์คือรายการ?
วิทวัจน์ : คืนนี้ที่ช่อง 9 เราเป็นโปรดิวเซอร์ ออกแบบหมดเลย เป็นรายการสัมภาษณ์ดารา สมัยก่อนไม่มีใครออกมาสัมภาษณ์แบบนี้เลย มีแต่สัมภาษณ์ทางนิตยสาร ดิฉัน ขวัญเรือน แต่ในทีวีไม่มี รายการคืนนี้ที่ช่อง 9 เป็นวาไรตี้ที่มีเพลงให้ฟัง 1 เพลง มีโชว์ใดๆ แต่ไข่แดงของมันคือการสัมภาษณ์ตอนนั้น เราได้อดีตนายกรัฐมนตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแขกรับเชิญ
ตอนนั้นหม่อมคึกฤทธิ์เพิ่งจะผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจ เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เราก็ไปเรียนเชิญถึงบ้านเลย อาเป็นโปรดิวเซอร์อยู่ข้างบนเลยบอกอาจารย์ว่าขอฟังเสียงหัวใจของหม่อมคึกฤทธิ์ได้มั้ย อาจารย์ก็บอกจะบ้าเหรอ อาจารย์เอาจริงถามว่า คุณชายผ่าตัดหัวใจมาแล้ว หัวใจเต้นดีมั้ยครับ ขอฟังเสียงเต้นหัวใจหน่อยครับ แต่เราไม่รู้ว่าจะฟังยังไงในที่สุดไม่มีวิธีอื่น เลยใช้ไวร์เลสไปแนบกับหัวใจ หม่อมคึกฤทธิ์ถามว่ามันจะได้ยินหรอ ท่านก็เลยถอดเสื้อ แต่ก็ยังเหลือเสื้อกล้ามนะ เพื่อจะเอาไมค์ไปแนบกับเนื้อแกได้ ตอนนั้นยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกของเรา นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
เราก็สัมภาษณ์ ตั๊ก มยุรา ก็ได้รู้เรื่องราวตลกๆ ของตั๊ก และดารานักร้องอื่นๆ หลายคน ตอนนั้นเราบันทึกเทปอาทิตย์ละครั้ง จนทำเทปที่ 5 อาจารย์บอกว่ามีอะไรจะคุยด้วย บอกว่าผมจะลาออก คือแกลาออกก่อน ก่อนที่จะบอก ทุก 7 วันจะหาแขกยังยากเลยนี่ต้องหาพิธีกร มีเวลา 6 วันหาพิธีกร เราติดต่อไปหลายคนปฏิเสธหมดทุกคน
จนวันที่ 6 ทุกคนในที่ประชุมบอกคุณนั่นแหละ พูดทำนองที่ ดร.สมเกียรติ เคยพูดว่าก็ใครจะไปรู้ดีกว่าคุณล่ะ คุณสร้างรายการนี้ขึ้นมา แล้วก็เคยออกทีวีแล้ว เคยตายไมค์มาแล้ว คงเคยชินกับความล้มเหลวมาบ้างแล้ว แต่ก็ลำบากมากแม้ว่าจะเป็นรายการบันทึกเทปแต่ก็ตื่นเต้น ถ้าพลาดเราตกเหว ถ้าตกเหวเราตาย แต่ตัดต่อได้ ใจชื้นมาหน่อย นั่นคือจุดเริ่มต้นในการเป็นพิธีกร แล้วก็ทำรายการนี้มาประมาณปีครึ่งถึงสองปี