เส้นทางก้าวข้าม Comfort Zone สู่บทบาทคู่ชีวิตของ นิ้ง โศภิดา กาญจนรินทร์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 และ เจได ไตรนุภาพ จิระไตรธาร ควงคู่กันมาเปิดใจแบบลึกซึ้ง! ในรายการ WOODY FM ถึงความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังรักสายฟ้าแลบ 2 เดือนขอแต่งงาน! การวางแผนก่อนแต่งทั้งการเงิน แนวทางเลี้ยงลูก พร้อมแชร์มุมมองเกี่ยวกับการเสียสละเพื่อความสัมพันธ์ และวิธีรักษาความรักให้ยืนยาวจนถึงทุกวันนี้

วลีชุด “แดงไหน”?

นิ้ง โศภิดา : ตั้งแต่ประกวด Miss Universe Thailand ปีนั้นเป็นเจ้าภาพด้วยค่ะ แล้วก็มีวลี "แดงไหน" ชุดเพชร Swarovski ปักทั้งตัวเลย พอเดินออกมาก็คือสะท้อนแสงไฟเวที แล้วก็เป็นสีแดง คนอาจจะไม่ชินในตอนนั้น ด้วยลุคด้วย ด้วยความที่ตอนนั้นคาดหวังว่าชุดเดรสของนางงามจะต้องเป็นแบบไหน แต่ของพี่หมู อาซาวา คือเขาจะมีความเป็นแฟชั่นใส่เข้าไป ก็เลยเป็นวลี "แดงไหน"

ถ้าให้ย้อนกลับไป สิ่งที่คุณได้รับคืออะไร?

นิ้ง โศภิดา : เป็นสิ่งที่เรา Out of Comfort Zone ตัวนิ้งเองเป็นคน introvert อยู่สายไฟแนนซ์ การเงิน อยู่แต่กับคอมฯ แต่ว่าด้วยความที่ว่าเห็นนางงาม ผู้หญิงทุกคนก็อยากมีโมเมนต์ที่ได้มงกุฎ เราก็เลยแบบศึกษาตรงนี้ เป็นแฟนนางงามมาเวลานาน จนกระทั่งอยากจะลองทำในสิ่งที่เรากลัวมันโดยตลอด กล้าแสดงออกสักเรื่องหนึ่งได้ไหม เพราะว่าทุกครั้งก็คือจะทำอะไรเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ก็เลยมองว่าไหนๆ จะลองซักตั้ง ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต แบบยืนพูดกลัวกล้อง ทำอะไรไม่ถูก 

...

กลายเป็นว่าทุกคนมองเราแบบคนนี้ดูไม่เฟรนด์ลี่เลย ดูแบบตาโหด เพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงกับกล้องกับคนทั่วไป การคุย เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนเท่าไหร่ มันสาย introvert อยู่ด้วยตัวคนเดียว แต่พอ ณ วันนั้นที่ได้มงกุฎ Miss Universe Thailand แล้วก็ได้มาเอ็นจอยกับการที่เหมือนแบบเป็นโอลิมปิก มันทำให้เราแบบฝึกความอดทน กลายเป็นว่าเราจากเดิมที่ชอบทำอะไรที่ตัวเองชอบ กับกลายเป็นว่าเราต้องทำในสิ่งที่เป็นตัวแทนประเทศไทย เราต้องเตรียมยังไงให้ตัวเองพร้อม ยิ่งกว่าสอบตอนนั้น เป็นการทำให้เราเติบโตไปเรื่อยๆ ค่ะ

เล่าความรู้สึกที่คบกันมา 2 เดือนแล้วถูกขอแต่งงาน?

นิ้ง โศภิดา : ตั้งแต่วันแรกที่เจอ เราเจอกันที่โบสถ์ค่ะ เขาก็เป็นนักเล่นกีตาร์ ไม่รู้ว่าเขาเป็น CEO หรืออะไรทั้งสิ้น แต่มันเหมือนถูกชะตาว่า ทำไมเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่ เราก็เลยอยากที่จะเริ่มรู้จักเขาในการที่ครั้งแรกของผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไป say hi ก่อนนะคะ แล้วก็คุยกันมาเรื่อยๆ ผ่าน IG Direct พอคุยกันเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่แบบเฟรนด์ลี่แล้วอบอุ่น แล้วก็ให้กำลังใจได้ดี เพราะช่วงนั้นอยู่ระหว่างการประกวดนางงามแล้วก็เข้ากองไปเรียบร้อย แต่เขาห่วงใยเราทุกรอบด้าน เป็นเหมือนที่ปรึกษารุ่นพี่ที่ดี

แล้วนิ้งก็มองว่าเจไดเป็นคนที่กล้าหาญและ supportive และเข้าใจในหน้าที่ที่เราทำอยู่ คือนิ้งไม่ใช่แค่นางงามอย่างเดียว แต่เราก็ชอบทำธุรกิจด้วย ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง รู้สึกว่าเขาเป็นคนเก่ง เราชอบผู้ชายที่เก่ง อบอุ่น ก็เลยทำให้นิ้งตัดสินใจที่จะคบกับเขา และที่ตัดสินใจเร็วที่พ่อแม่ก็อึ้งเหมือนกัน รู้สึกว่าตอนนั้นก็ไม่ได้พลาดอะไร เพราะว่ารู้ว่านิ้งกับเจไดต่างคนต่างไม่เฟกตั้งแต่วันแรก นิ้งเป็นแบบนี้ เจไดเป็นแบบนี้ เห็นอารมณ์ เห็นสมาธิสั้น เห็นทุกอย่าง แต่เชื่อว่าอยู่ด้วยกันได้และเป็นคู่พระพรที่พระเจ้าให้มา 

ดังนั้น คู่ชีวิตคือร่วมทุกข์และร่วมสุข มันไม่ใช่สุขอย่างเดียวมันต้องร่วมทุกข์ด้วย ในตอนนั้นก็เหมือนเขาโตกว่าเรา ถ้าย้อนกลับไปกับตอนนิ้งอายุ 20 กว่า นิ้งก็อารมณ์ร้อนเหมือนกัน แต่เหมือนเขาตอนนั้นเขา 32 ปี เขาเป็นพี่เราประมาณ 8 ปี วุฒิภาวะหลายๆ อย่าง เลยรู้สึกว่าไม่ต้องรอก็ได้

นิ้งเคยผ่านประสบการณ์มีแฟนคบประมาณ 5 ปี แต่สุดท้ายมันไปต่อไม่ได้ แต่กับเขากลับกลายเป็นว่าในเวลา 2 เดือนเราแทบไม่ทะเลาะอะไรกันเลย แต่มันคือการให้กำลังใจกัน แล้วก็มองในส่วนดีและส่วนที่ไม่ดีเอามาคุยกัน มาปรับปรุง จะไม่ยอมให้ปัญหาระหว่างเรามันคาราคาซัง จะต้องคุยกันตลอดค่ะ

เจได ไตรนุภาพ : ถ้าคุณเจอเรา 10 ปีที่แล้วแล้วว่าคุณก็ไม่ชอบเราหรอก เพราะว่าเราไม่น่าคบ ที่มันไม่น่าคบก็เพราะว่าเราไม่ได้มีคุณลักษณะของคนที่จะเป็นพ่อคนได้ จะเป็นสามีที่ดีได้ เพราะการเป็นสามีกับการเป็นพ่อที่แท้จริงมันคือการที่ต้องเสียสละตัวเองก่อน

ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆ ครอบครัวก็น่าเสียดายที่จะต้องแตกหักกันไป เพราะว่าความคิดที่คิดว่าฉันคิดว่าฉันถูกกันไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายวันหนึ่งมันก็แตกหัก เพราะว่าไม่มีใครยอมใคร ยิ่งถ้าเป็นคู่ที่เก่งทั้งคู่ มันก็ยิ่งท้าทายนะ แต่พอเราตัดสินใจมาอยู่ร่วมกัน เพราะเราเชื่อมั่นว่าทั้งคู่พร้อมที่จะเสียสละบางอย่างเพื่อกันและกัน แต่สิ่งที่เราได้มันมากกว่าที่เราเสียสละ

...

ผ่านมา 2 เดือนก็ตัดสินใจแต่งงานเลย?

นิ้ง โศภิดา : ตัดสินใจเลย ด้วยความที่ว่าก็มั่นใจ และเรา 2 คนก็ทำงานด้วยกันด้วย ดังนั้นเวลาที่คบกันทำงานด้วยกัน อยู่ด้วยกันทุกวัน เห็นข้อเสียของเขาก็เห็นมาแล้ว แล้วก็เห็นข้อเสียในตัวเราด้วยจากการที่เขาแชร์มา เพราะว่านิ้งทำงานกับเขาทุกวัน ไปไหนคือไปด้วยกันตลอด 

รู้สึกว่าในเมื่อวันแรกเราเชื่อในตัวผู้ชายคนนี้ แล้วเชื่อว่าเขาเป็นพ่อของลูกเราได้ ก็มาลองปรับจูนกันในช่วงเวลาที่ก่อนแต่งงาน ประมาณ 5-6 เดือน เราก็ไปคอนเซาต์ค่ะ เชื่อว่าต้องจัดการคุยกันให้รู้ก่อน วิธีการเลี้ยงลูก ความคิดของคุณกับฉันเป็นยังไง วิธีการจัดการเรื่องการเงิน แล้วก็การใช้ชีวิตแบบสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เขาไม่ชอบ การแต่งงานไม่ใช่แค่เรา 2 คน แต่มันคือบ้านทั้ง 2 คนมารวมกัน

มีเรื่องอะไรบ้างที่ต้อง Checklist ในครอบครัว?

นิ้ง โศภิดา : อย่างแรกเลยเรื่องการเงิน หลายคู่อาจจะทะเลาะกันเรื่องการเงินแต่งงานกันไป เขาถามเลยว่า จะแยกหรือจะรวมกัน จะจัดการเรื่องเงินกันยังไงให้ไม่มีปัญหาภายหลัง

...

เจได ไตรนุภาพ : เช่น ถ้าผมหาได้ของผมหรือครอบครัวแล้วแบ่งกันทีหลัง ถ้านิ้งหาได้เข้าของนิ้งหรือครอบครัว แล้วถ้าญาติยืมเงินจะทำยังไง เขาก็จะยกคำถาม

นิ้ง โศภิดา : ถามวิธีของพวกเรา เขาก็ถามง่ายๆ ว่าจะรวมกันหรือจะแยก pocket แล้วถ้ามีคนมายืม คุณจะตัดสินใจยังไง หรือเวลาที่ spend money บางทีเราอาจจะมีความลับที่ไม่อยากจะบอก แล้วคุณจะทำยังไงกับคู่ของคุณ คู่ของนิ้ง นิ้งเห็นเจไดก็คือเป็นคนที่เปย์มาก ซัพพอร์ตมาก เงินเก็บไม่มีเลยก่อนเจอนิ้ง

ก็เลยคุยกันเดี๋ยวนิ้งช่วย แต่นิ้งจะทำเป็นแบบ Google Sheet Manage Cash Flow ให้เลย จะได้แบบเห็นด้วยกันเลยว่าทำงบให้แก้ไขปัญหาตรงนี้ แล้วก็เคยคิดที่จะ manage การค่าใช้จ่ายของเขาแต่มันไม่ไหว มันต้องมานั่งเก็บทุกเม็ด งั้นให้งบเท่านี้ คุณไปจัดการชีวิตของคุณด้วยงบเท่านี้ เราเคลียร์กันแบบนี้ ให้นิ้งเป็นคนจัดการ แต่ก็จะมีกองกลางที่เป็นเงินของเรา

เจได ไตรนุภาพ : เวลาจะซื้ออะไรเยอะๆ ก็จะคุยกันก่อน คำว่าเยอะๆ คือสมมติว่าเป็นการตัดสินใจในหลักแสนขึ้น ก็จะเริ่มคุยกันว่าเรามีงบไหมเรื่องนี้ ถ้าไม่มีเราไปเดือนหน้าหรือว่าคิดว่าอันนี้มันสิ้นเปลืองไป ซื้อไปมันก็เบื่อแล้ว หรือว่าถ้าเราคุยกันแล้วมันสมเหตุสมผล เราก็จะไปต่อ 

...

ผมฝากให้กับหนุ่มๆ ทุกคนทางบ้าน ให้ภรรยาจัดการเรื่องการเงิน ถ้าคุยกันก่อนนะ ผมว่าเราจะสบายใจแล้วมันจะช่วยลดปัญหา ผมเชื่อว่า 99% ของปัญหาในชีวิตคู่รวมทั้งเรื่องของลูกด้วย เพราะเมื่อเงินมันอยู่กับเขา เหมือนกับมีเงินเดือนที่เราได้จากเขาแล้ว เราก็จัดการจากตรงนั้น อยากได้อะไรก็ซื้อเล็กซื้อน้อยก็ใช้แค่นั้น แล้วเราก็ไปโฟกัสในการทำงานในการสร้างมูลค่า ในการให้ลูกเรามีความสุขมากที่สุด

นิ้ง โศภิดา : แต่เราไม่มีความลับต่อกัน ให้โชว์เลยว่าตอนนี้มีสินทรัพย์อะไรบ้าง คล้ายๆ เราทำงบการเงินให้เขาจัดการ แล้วก็ทำพินัยกรรมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซื้อประกัน คุยกันให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเรื่องวิธีการเลี้ยงลูก เขาถามว่า จะมีพี่เลี้ยงไหม จะช่วยกันเลี้ยงหรือผู้ชายทำงานเป็นหลัก ถ้ามีลูกคุณจะจัดการตรงนี้ยังไง

เจได ไตรนุภาพ : จะให้ลูกไปอยู่กับฝั่งพ่อ ฝั่งผมหรือฝั่งเขา ถามทุกๆ การคาดการณ์ ในเหตุการณ์อนาคต

นิ้ง โศภิดา : เวลาพ่อแม่ป่วยจะเอาพ่อแม่มาอยู่ที่บ้านด้วยไหม

เจได ไตรนุภาพ : คือถามวิกฤตไว้ให้หมดเลยครับ เพื่อที่จะเช็กทั้งคู่ด้วย เพราะบางทีบางเรื่องเราเป็นครั้งแรกที่เราจะได้แต่งงาน มันก็จะมีสถานการณ์ที่เราไม่มีทางที่จะรู้

นิ้ง โศภิดา : แล้วมีคำถามที่โหดเหมือนกัน เขาถามว่า ถ้าลูกกับสามีจมน้ำพร้อมกัน แล้วคุณช่วยได้ 1 คน คุณจะเลือกใคร

คำถามนี้น่าสนใจมากเพราะคำตอบมันสะท้อนหลายๆ อย่าง?

นิ้ง โศภิดา : สิ่งที่เราแชร์ไปมันก็สะท้อนหลายๆ อย่าง บางคนก็อาจจะเลือกลูกก่อน แต่นิ้งเลือกสามี เพราะว่าสามีคือคู่ชีวิต ซึ่งต้องอยู่กันยามแก่ เพราะบางคนอาจจะเลือกลูกก็ได้ถูกไหมค่ะ (พี่วู้ดดี้น้ำตาไหล กับคำตอบที่มีความซื่อตรงของนิ้ง)

ชมคลิป

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม