- โอปอล สุชาตา เผยวินาทีตอนลุ้นมงฟ้า "ถ้าหนูเป็นลมขึ้นมาจะทำอย่างไร"
- ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจากได้รับตำแหน่งมิสเวิลด์ 2025 ปรับตัวยังไม่ได้จนนอนไม่หลับ
- จากปากโอปอล เกี่ยวกับเงินรางวัลที่ได้จากตำแหน่งมิสเวิลด์ 2025
เป็นอีกหนึ่งคนที่สร้างตำนานให้กับประเทศไทย สำหรับ โอปอล สุชาตา ช่วงศรี เจ้าของตำแหน่ง Miss World 2025 มิสเวิลด์คนแรกของประเทศไทย หลังจากที่เจ้าตัวเพิ่งเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา ในวันนี้ โอปอลได้เคลียร์คิวให้สื่อมวลชนได้สัมภาษณ์ในงาน “Exclusive Interview with Thai Media” ณ โรงแรม รอยัล ออร์คิด เชอราตัน กรุงเทพฯ ซึ่งเจ้าของมงฟ้าได้เปิดใจเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาพร้อมด้วยความรู้สึกหลังจากที่ได้รับมงกุฎเกียรติยศในครั้งนี้
สานฝันให้คุณจูเลีย
เราทักทายมิสเวิลด์คนแรกของไทยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่ได้รับมงและกลับมาถึงเมืองไทยก็เดินสายทุกวัน ซึ่งโอปอลตอบกลับคำถามนี้ด้วยรอยยิ้มว่า
"ดีค่ะ แฮปปี้ค่ะ (ยิ้ม) เมื่อวาน (19 มิ.ย.68) พาคุณจูเลียไปดูช้างมา สนุกมากเหมือนได้พักผ่อนวันหนึ่งค่ะ คุณจูเลียชอบช้างอยู่แล้วและเคยเห็นช้างแล้ว ตอนที่มาถึงเมืองไทย โอปอลถามว่าอยากทำอะไรและเขาก็บอกว่าเขาชอบช้าง เลยคิดว่าถ้ามีวันว่างอยากจะพาเขาไปดู ใกล้สุดคือยุธยาก็เลยพาเขาไป เขาดูแฮปปี้ค่ะ เพราะที่ๆ ไปเป็นเพนียดหลวง เขาดูและน้องๆ อย่าง น้องเรียบร้อยมาก เป็นช้างที่เรียบร้อยที่สุดที่โอปอลเคยเจอ พอเขาเรียบร้อยมากๆ ก็เข้าไปเล่นใกล้ๆ ได้ ก็เลยสนุก
คุณจูเลีย เขามองสัตว์หรือว่าช้างเป็นเด็ก ด้วยความที่สัตว์ไม่สามารถพูดกับเราได้ และบางทีเขาก็ต้องเติบโตในป่า แต่ด้วยโลกที่มันเปลี่ยนไป และป่ามีน้อยลง บางทีพื้นที่ก็ถูกรุกราน เขาก็เลยรู้สึกว่า สัตว์เหล่านี้เขาไม่สามารถที่จะดูแลตัวเองได้อย่างดี แต่มันก็จะดีถ้ามีคนเข้าใจเขาและรับเขามาดูแล และให้ชีวิตที่ดีกับเขา เพราะสัตว์เหล่านี้เขาผ่านอะไรมาเยอะ ถูกใช้งาน เขาต้องเอาชีวิตรอดในแต่ละวันก็ถึงเวลาที่เขาจะได้มาพักที่เพนียดหลวง คุณจูเลียก็เห็นเหมือนเขาเป็นเด็ก ก็อยากดูแลเขา ถ้าเราจะดูแลเด็กเราก็ต้องดูแลสัตว์ด้วย มันก็จะต้องไปควบคู่กัน
...
เมื่อวานคุณจูเลียบริจาคเงินเพราะไปเห็นว่ามันมีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมและด้วยความที่คุณจูเลียเขารักช้างมาก และเป็นสัตว์ประจำชาติไทย เขาก็เลยอยากจะซัพพอร์ตตรงนี้เมื่อมีโอกาสได้ไป และถามไถ่กับผู้ดูแลที่นั่นต้องการ ขาดเหลืออะไรเพิ่มเติมให้แจ้งมาทางเรา แล้วเราก็จะกระจายข่าวต่อไปเพราะว่าแพลตฟอร์มของเราก็ถึงคนทั่วโลก เราก็อยากจะใช้พื้นที่ตรงนี้ให้ทีโอกาสได้รับการระดมทุนความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ด้วย
คุณจูเลียไปเห็นแล้วรู้ว่าตรงนี้ต้องการการดูแลเพราะมันเป็นหมู่บ้านช้างที่ดูบ้านๆ และไม่ได้มีชื่อเป็นที่รู้จักมากขนาดนั้น เรามีโอกาสได้ไปก็อยากจะซัพพอร์ตเพิ่มเติม อย่างที่บอกว่าช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยเขามีความพิเศษและเป็นหนึ่งในสัตว์ที่โอปอลชอบด้วย เพราะเขารู้ เขาฉลาด และช้างเป็นสัตว์ที่มีความเข้าใจ คิดได้ว่าเขาจะต้องช่วยเหลือหรือทำอะไร โอปอลรู้สึกดีใจที่คุณจูเลียชอบและรัก และยิ่งเขาสนับสนุนก็ยิ่งดีใจมากกว่าเดิมค่ะ"
เมื่อเราถามว่า ประสบการณ์ขี่ช้างครั้งแรกของมิสเวิลด์เป็นอย่างไรบ้าง โอปอลตอบเราด้วยรอยยิ้มว่า "โอปอลเคยขี่ช้างแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่าเราไม่เคยลงไปเล่นน้ำกับเขา แต่รอบนี้ได้ขึ้นหลังเขาเลยเขาเรียบร้อยมากๆ ตัวที่โอปอลขี่ แล้วยิ่งได้ลงไปเล่นน้ำด้วยกันโอปอลยิ่งชอบ ชอบมากค่ะ (ยิ้ม) เขาพาโอปอลดำน้ำ คือเวลาเขาลงไปทั้งตัวเหมือนเวลาเราเล่นน้ำ อยู่ด้านบนแล้วมันร้อน เขาก็จะจุ่มตัวลงไป แต่มีรอบหนึ่งที่เขาเอียงตัวตอนนั้นคิดว่าโอปอลจะตกลงไปแล้ว (หัวเราะ) ต้องไหลลงไปในน้ำแน่ๆ แต่คนดูแลบอกว่าจับที่หูเขาได้ แต่โอปอลกลัวเขาจะเจ็บ จะจับที่เชือกก็กลัวจะรัดคอเขา ก็ใช้การเกาะเพราะไม่งั้นไหลลงไปแน่นอน
โอปอลเตรียมเสื้อผ้าไป เพราะอยากลงไปเล่นน้ำกับช้าง เพราะเคยอาบน้ำกับช้างมาแล้วและชอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีเวลาพอมั้ย หรือจะสามารถลงไปได้หรือเปล่า จนตอนหลังคุณจูเลียบอกว่าอยากให้ไปถ่ายรูป ไปยืนใกล้ๆ ช้าง โอปอลก็เลยบอกว่า ขอลงไปเล่นน้ำได้มั้ย เอาเสื้อผ้ามาแล้ว ก็เลยได้ลงไปเล่น"
ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังรับตำแหน่ง
จากนั้นเราถามโอปอลต่อว่า เห็นโดนแซวว่าตอนนี้โอปอลยังปรับตัวกับการเป็นมิสเวิลด์ยังไม่ได้ จนทำให้นอนไม่ค่อยหลับ เจอคำถามนี้ทำเอาโอปอลถึงกับยิ้มเขินก่อนจะตอบเราว่า
"20 วันแล้วเหรอคะ เวลาผ่านไปไวมาก (หัวเราะ) ช่วงแรกๆ ปรับตัวนิดนึงค่ะ คือเรารู้ว่ามันเป็นอะไรที่ใหญ่มาก เป็นมงแรก เป็นมงใหญ่ และเป็นอะไรที่ทุกคนหวัง และทุกคนรู้ว่ามันไม่ง่าย ขนาดโอปอลเองยังรู้สึกเลยว่ามันยากก็ยังคุยกับทีมว่าจะไหวมั้ย เพราะชาเล้นจ์เยอะมาก มันเก็บตัวเป็นระยะเวลานาน
นอกจากศักยภาพที่เราต้องโชว์แล้ว เรายังต้องโชว์ทั้งความอึดทางด้านร่างกายและจิตใจแต่พอทำสำเร็จก็รู้สึกว่า จริงใช่มั้ย ก็รู้สึกเหมือนกับทุกคนเลยค่ะว่าไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ เลยใช่เวลาพอสมควรในการปรับตัวและนั่งสงสัยว่าในอนาคตชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เราก็เลยนอนคิดไม่ค่อยหลับค่ะ แต่ตอนนี้เริ่มหลับแล้วค่ะ เพราะว่าเริ่มมึนๆ แล้วต้องนอน (หัวเราะ)
...
และตอนนี้มีบอดี้การ์ดคอยดูแลด้วย เริ่มชินกับชีวิตแบบนี้หรือยัง ทำเอาโอปอลถึงกับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบว่า "จริงๆ ก่อนที่จะมงใหญ่ ทีมทุกคนก็ดูแลโอปอลดีมากๆ อยู่แล้วที่ไทย เราทำงานจนเราเข้าใจกันแค่มองตาก็รู้ใจแล้ว พูดแค่ไม่กี่คำเขาก็เข้าใจว่าเราต้องการอะไร โอปอลโอเคกับการดูแลที่ดีแบบนี้ พอเข้าไปอยู่กับครอบครัวมิสเวิลด์ ก็รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น มีคนมาดูแลมากขึ้น แต่ทุกคนก็เหมือนเพื่อนค่ะ คุณนิกกี้ บอดี้การ์ด ก็ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ก็เป็นเพื่อนกัน เขาดูแลดีค่ะ (ยิ้ม) เขามีเอฟซีโอปอลก็บอกเขาทุกวันว่าคนไทยปลื้ม (ยิ้ม)"
ส่วนสำหรับแพลนหลังจากที่ได้รับตำแหน่งมิสเวิลด์ 2025 จะเป็นอย่างไร โอปอลได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า "แพลนของโอปอล แพลนคร่าวๆ มีแล้ว อาจจะไปอินโดนีเซีย แทนซาเนีย แอฟริกา และอาจจะต้องไปอังกฤษก่อน และคุณจูเลียอยากให้โอปอลใช้เวลากับครอบครัว เพราะตอนที่กลับมาก็ค่อนข้างยุ่งๆ และพบผู้ใหญ่ต่างๆ ก็เลยอยากให้โอปอลพักผ่อนและใช้เวลากับที่บ้านค่ะ คิดว่าอยู่ที่ไทยช่วงหนึ่งแต่ไม่เกินเดือนนี้ก็จะต้องเดินทางแล้ว
...
และจะต้องไปกี่ประเทศยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะในแต่ละปีขึ้นอยู่กับแพลนของพาร์ทเนอร์ของมิสเวิลด์ที่เขาคุยกัน โอปอลคิดว่าต่ำๆ น่าจะเกิน 10 ประเทศเพราะคุณจูเลียเน้นเดินทางจริงๆ เขาอยากให้เราได้มีโอกาสไปเจอและช่วยเหลือโครงการของเด็กๆ ที่เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาอยากจะกระจายให้มันไปทั่วทุกประเทศ ก็คิดว่าคงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะไปได้
แต่ว่าในขณะเดียวกันก็ต้องดูเรื่องของตารางด้วย เพราะเขาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของการพักผ่อน เรื่องสุขภาพด้วย ก็อาจจะไป 2-3 ประเทศแล้วก็เว้นช่วงพักบ้าง คิดว่าอาจจะมีโอกาสได้กลับไทยค่อนข้างบ่อย เพราะเขาอยากให้โอปอลใช้เวลากับที่บ้านด้วย อยากให้โอปอลกลับมาทำอะไรที่ประเทศของเราด้วยค่ะ
ต้องยอมรับค่ะ พอโอปอลได้ตำแหน่งมิสเวิลด์คนก็รู้จักมากขึ้น โครงการของโอปอลที่คิดว่ามันสุดได้เท่านี้ แต่มันไปได้อีกมากกว่าที่เราคิด ทำให้โอปอลสามารถที่จะต่อไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับการใช้ชีวิตปกติของเราเหมือนกัน โอปอลอยู่ในวงการนางงามตั้งแต่ปี 2022 ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ในรอบที่โอปอลตอบคำถามรอบไฟนอล ต่อให้เราเป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้เป็นคนสาธารณะ ไม่ได้เป็นคนดัง ไม่ได้เป็นดารา หรือว่าเป็นใครก็ตามที่คนรู้จักเยอะ
...
สุดท้ายแล้วต่อให้เราเป็นคนธรรมดาก็ยังมีคนที่มองเราเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ โอปอลโตมากับการที่เราพูดคุยกับพ่อแม่ทุกเรื่อง และบางเรื่องเขาเปิดรับที่จะให้เราเป็นฝ่ายที่จะสอนเขาในหลายๆ อย่างด้วยซ้ำ เพราะว่าความต่างของช่วงวัย ความต่างของช่วงอายุที่หลายๆ อย่างเราอาจจะไวกว่าเขา โอปอลโตมากับการที่เขาเปิดใจรับให้เราเป็นคนสอนหรือคนแนะนำและในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนที่สอนเราเหมือนกันไม่ใช่แค่เราที่สอนเขา เราก็เลยมีความคิดว่าที่ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรในชีวิต เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุดและทำด้วยความจริงใจและทำด้วยเป้าหมายที่ให้เกิดสิ่งดีๆ เท่านั้นค่ะ
เรื่องความกดดันในการใช้ชีวิตไม่กดดันนะคะ เพราะโอปอลคิดว่ามันคือโอกาสมากกว่า เพราะโอปอลเคยให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะไปประกวดที่อินเดียที่บอกว่าอยากจะกลับมาประกวดเพราะโอปอลรู้ว่ามงกุฎนี้สามารถที่จะสร้างโอกาสให้โอปอลคอมพลีตในเส้นทางชีวิตการเป็นนางงามของเราได้ เพราะรู้ว่าต่อให้เรามีเงินหรือมีเวลามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเดินทางไปรอบโลกแล้วมอบความช่วยเหลือให้กับทุกคน เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่เราจะสามารถทำสิ่งนั้นได้ และมงกุฎนี้ก็เหมือนโอกาสนั้น และเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเราอยู่ตรงนี้เพราะอะไร เรามีคุณค่าอะไร และในชีวิตเราสามารถทำอะไรได้บ้าง และเราควรที่จะทำอะไรบ้าง"
โอปอล ผู้สร้างตำนาน
จากนั้นเราถามโอปอล ผู้ที่สร้างตำนานมิสเวิลด์คนแรกของไทยว่า ในความคิดของโอปอลตำนานคืออะไร ทำเอาโอปอลถึงกับหัวเราะก่อนจะตอบคำถามนี้ว่า "ตำนานคืออะไร มีหลายตำนานมากในวงการนางงาม (หัวเราะ) ถ้าเราสังเกตอะไรที่เป็นตำนานสำหรับเราต่อให้เวลาผ่านไปเท่าไหร่ คนก็ยังคงพูดถึง เหตุที่คนพูดถึงเพราะมันอยู่ในใจของทุกคน นี่คือตำนานสำหรับโอปอล เพราะว่าเรารู้ว่าการที่ได้มงกุฎนี้มันไม่ใช่อะไรที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจบไป
อย่างที่บอกมงกุฎนี้จะเป็นเครื่องเตือนให้เราคอยทำความดี สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมตลอด และในขณะเดียวกันมันก็เป็นเหมือนความทรงจำดีๆ ที่ทุกคนจะเก็บไว้ในใจตลอดไป อย่างที่บอกเหตุที่โอปอลอยากได้มงกุฎนี้มาให้ทุกคนเพราะโอปอลอยากให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ของไทยได้เห็นด้วยตา เมื่อทุกคนได้เห็นด้วยตาก็จะเก็บไว้ในใจว่านั่นคือสิ่งที่เราได้สร้างตำนานด้วยกัน"
และเรายังถามโอปอลต่ออีกว่า คำว่าเป็นมิสเวิลด์คนแรกของไทย ความหมายในใจโอปอลคืออะไร ซึ่งเราได้รับคำตอบของคำถามนี้จากโอปอลว่า "คนแรกพอได้ยินก็รู้ว่ามันจะเป็นตำนาน เราก็คิดว่าต่อให้เราแก่ไปเป็นคุณยาย คนก็ยังพูดถึง ต่อให้เราไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วคนก็ยังคงพูดถึงเรา เราคงได้เป็นแบบอย่างให้กับมิสเวิลด์ไทยแลนด์รุ่นต่อๆ ไปด้วย ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องเป็นเหมือนโอปอลเวลาไปประกวดมิสเวิลด์ แต่ให้เขาได้มองเห็นอะไรในตัวเรา
เพราะสุดท้ายในชีวิตเรามีเรื่องราวมากมายให้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้อยู่ที่ว่าชีวิตเขากำลังมองหาแรงบันดาลใจในด้านไหนที่เขาเห็นในตัวเรา โอปอลคิดว่าหวังว่าจะเป็นคนนั้นได้ แต่ถามว่าเราได้ยินคำว่าคนแรกเราก็ยังไม่ได้รู้สึกแบบว่า ว้าว อะไรขนาดนั้นเพราะว่าเราเป็นคนที่ถูกพูดถึงด้วย อาจจะยังไม่ได้เห็นภาพ แต่โอปอลคิดว่าอีกสัก 10-20 ปี โอปอลน่าจะเห็นภาพมากขึ้น แล้วก็คงจะรู้สึกดีใจ เวลาผ่านไปหลายสิบปีคนยังคิดถึง ยังพูดถึงเราค่ะ (ยิ้ม)"
เรื่องเล่าในช่วงประกวดมิสเวิลด์
จากนั้น เราถามถึงเรื่องความรู้สึกตอนประกวดมิสเวิลด์ โอปอลยิ้มและหัวเราะกับคำถามนี้ ก่อนจะเล่าโมเมนต์ตอนนั้นให้เราฟังว่า "เริ่มจากกองประกวดก่อนแล้วกัน กองประกวดมิสเวิลด์เป็นอีกหนึ่งกองที่โอปอลรู้สึกว่าดีมากๆ เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญหลักๆ เลยคือ สุขภาพ และความเป็นอยู่ เมื่อไหร่ที่เราออกไปทำกิจกรรมต่างๆ เขาจะคอยถามตลอด ทานข้าวหรือยัง ถ้ายังไม่ทานเขาจะหาเวลาให้เราไปทานข้าว
หรือถ้าวันไหนที่เราซ้อมเสร็จดึก เขาจะโทรหาห้องอาหารของโรงแรม ให้ช่วยปิดช้าหน่อย เพราะเด็กๆ ยังไม่ได้ทานข้าว เขาจะถามตลอดว่าเรานอนพอมั้ย ถ้าวันไหนไปทำกิจกรรมแล้วกลับมาดึกมากๆ เขาก็จะย่นกิจกรรมวันรุ่งขึ้นเพื่อให้พวกเรามีโอกาสได้พัก เพราะเขามีความคิดว่าพวกเราทุกคนคือมนุษย์ ทุกคนต้องได้พัก ได้มีเวลา ได้อยู่กับตัวเองบ้าง ได้พักจิตใจ ได้พักสมอง เพราะฉะนั้นเราจะมีพลังมาทำกิจกรรมต่างๆ
ส่วนเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่พิเศษ เราไม่คิดว่าจะสามารถมีเพื่อนหนึ่งคนจากทุกประเทศได้ ถ้าเราไม่ได้ไปประกวด เราคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเลย และบางทีเราไปเที่ยวก็ไปกับที่บ้าน หรือกับเพื่อน ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะไปทำความรู้จักกับคนที่นั่น เลยมองว่าเป็นความโชคดีมากที่เรามีโอกาสได้รู้จักกับทุกคนที่มารอบโลก แล้วทุกคนเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก เป็นทนายความ เป็นแพทย์ เป็นคุณครู ทุกคนมีสตอรี่ของตัวเอง ทุกคนมีแรงบันดาลใจของตัวเอง และทุกคนมาเพื่อที่จะส่งต่อมันจริงๆ
ทุกครั้งที่นั่งทานข้าวด้วยกันแล้วโอปอลคุยกับเพื่อนนั่งเม้าท์มอยกัน เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะมาก เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมเขา เราได้เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของบ้านเขาไปจนถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเขาที่เขาต้องการจะแก้ไข มันเลยทำให้โอปอลรู้ว่า ในหลายๆ ประเทศในโลก มันมีปัญหาบางอย่างที่เราแชร์ร่วมกัน
อย่างที่โอปอลบอกนักข่าวที่เป็นชาวอินเดีย ที่นู่นเขาเป็นเมืองที่โดดเด่นมากในเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรม แต่ในขณะเดียวกันเขายังคงรักษาวัฒนธรรมของเขาไว้ได้ดีมากๆ และใช้ความก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีที่ถูกต้อง คือนำไปสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับความปลอดภัยของผู้คนจริงๆ อยากให้ทุกคนได้เห็น มันทำให้เราว่าเขามีแนวทางในการแก้ปัญหาของเขาแบบนี้เผื่อที่จะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของเราได้ด้วยค่ะ"
เมื่อถามถึงชาเลนจ์แต่ละอัน คนก็จะลุ้นไปกับโอปอลด้วย ความรู้สึกตอนนั้นมีกดดันระหว่างประกวดบ้างมั้ย โอปอลตอบกับเราด้วยท่าทีที่สบายๆ ว่า "ก็มีบ้างค่ะ เพราะว่าในการประกวดส่วนใหญ่เราก็จะตัดสินแค่ในวันไฟนอลอย่างเดียว เหมือนการที่เราทำกิจกรรม เก็บคะแนนทุกอย่าง แล้วเราไปฟังผลเพื่อลุ้นในวันเดียวคือวันสุดท้าย
แต่มิสเวิลด์จะต่างออกไป จะมีชาเลนจ์แทบจะทุกวันเลย และมันจะมีการประกาศผลมันก็ทำให้เราลุ้นบ้าง ตกใจบ้าง ตื่นเต้นบ้าง มันก็จะมีความลุ้นอยู่นิดนึง ก็อาจจะต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเองนิดนึง เพราะว่าเราก็เต็มที่กับทุกๆ กิจกรรม และเราก็ให้ทั้งใจเลย
แต่ระหว่างทางก็มีบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามันลุ้น เพราะเราตั้งความหวัง พอไม่มีรายชื่อก็อาจจะมีใจหายนิดนึง แต่ด้วยความที่เราจัดการความคิดของตัวเองว่า เราไม่ได้อยากเข้าไปแบบคนเคยมีประสบการณ์มากมาย ฉันเคยเก่ง ฉันเคยได้รางวัล แต่ตอนเข้าไปตั้งระบบความคิดของตัวเองเลยว่า เราเป็นธรรมดาที่ตอนนี้ไม่มีอะไร และอยากเพื่อไปสนุกกับกิจกรรมนั้นจริงๆ
และเราก็รู้ด้วยว่าบางกิจกรรมที่เขามีให้ไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด เราจะไม่เล่นก็ได้ แต่สำหรับโอปอลเลือกที่จะสนุกกับทุกกิจกรรม เพราะเราจะได้ไปเรียนรู้ว่าเพื่อนทำอย่างไร และอีกอย่างมันคือการเตรียมการเพื่อที่เราจะได้ไปสนุกกับทุกคน"
ความรู้สึกที่รู้สึกว่า มงมิสเวิลด์มันจะเป็นของเราเกิดขึ้นตอนไหน คำถามนี้ทำเอาโอปอลยิ้มก่อนจะตอบว่า "ไม่เคยเกิดขึ้นเลย (หัวเราะ) เราทำเต็มที่ในทุกๆ กิจกรรม แต่สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรที่จะมาบอกตายตัวว่าอะไรเป็นกฎเกณฑ์ที่เขาจะเลือก ตอนเราเข้าไปก็ไม่ได้คิดว่าโอปอลจะมง แต่โอปอลหวังว่าโอปอลจะมง อันนี้คือความต่าง เพราะไม่ได้คิดว่า ฉันมงแน่นอน แต่เราทำทุกอย่างเต็มที่ด้วยความหวังว่ามันจะค่อยๆ ไต่ระดับๆ ไปให้เราถึงมงได้
ตอนที่ประกาศเข้ารอบ โอปอลเกือบเป็นลมแล้ว ถามนิกกี้ได้ ตอนที่ลงมาจากเวที โอปอลบอกเขาว่าฉันจะเป็นลมตรงนั้นเลย เพราะว่ามันลุ้นมาก ที่เป็นคนสุดท้ายตลอด เพราะเพิ่งรู้ว่าเขาเรียงตามตัวอักษร เขาไม่บอกเลย เขาน่าจะบอกนิดนึง โอปอลรู้ว่าทุกคนลุ้นมากๆ และโชว์มันเริ่มตอนเย็น ก็รองท้องไปนิดเดียว ไม่ได้ทานอาหารเติมพลังเต็มที่ เราก็เลยรู้สึกหัวหวิวๆ ใจหวิวๆ จะเกิดอะไรขึ้น และเขาประกาศแบบเร็วมาก ถ้าเข้าก็เข้า ประกาศทวีปละ 2 คน ลุ้นมาก
โอปอลก็ลุ้น ถ้าเข้าไปลึกๆ ถ้าได้เข้าไปถึงจับมือ 2 คนสุดท้าย แล้วถ้าประกาศแล้วโอปอลเป็นลมจะทำยังไง เขาจะให้โอปอลลงไปพักแล้วกลับขึ้นมาใหม่หรือว่าจะพลาดเลย (ยิ้ม) กลัวเขาไม่ให้กลับขึ้นมาบนเวที ก็พยายามหายใจเข้า หายใจออก เอาออกซิเจนเข้าเยอะๆ"
วันไปส่งก่อนประกวด โอปอลบอกว่าซ้อมท่ารับมงไว้ สรุปได้ใช้มั้ย ทำเอาโอปอลหัวเราะและตอบว่า "ลืมหมดเลยค่ะ ตอนนั้นงงมาก ทำอะไรไม่ถูก โอปอลดีใจมากที่ตั้งใจฟังตอนที่เขาให้ซ้อม และพอนึกได้ว่าต้องไปยืนตรงนี้ ไปนั่งตรงนี้ เพราะถึงเวลามันทำอะไรไม่ถูกค่ะ"
และการประกวดมิสเวิลด์ครั้งนี้ทำให้โอปอลได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำและจุดมุ่งหมายในชีวิต และรวมถึงคุณค่าในตัวเอง คือเรามาแล้วรู้สึกมีคุณค่ากับสิ่งที่เราทำ มันคงจะดีถ้าสุดท้ายเราพูดที่เราเรียนรู้ออกมาจากใจให้ทุกคนได้เห็นว่าในเส้นทางนี้ของเราเราเรียนรู้อะไรบ้าง"
เงินรางวัลที่ได้รับ
และมาถึงคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้เกี่ยวกับเงินรางวัลที่โอปอลได้รับหลังจากคว้ามงฟ้ามาครอง ซึ่งโอปอลก็ได้ตอบถึงเรื่องนี้ให้เราได้ฟังว่า "ตอนนี้ยังไม่ได้คุยรายละเอียดค่ะ แต่ว่าก็คงจะเหมือนการประกวดนางงามทั่วๆ ไป โอปอลก็ยังไม่ได้ถามถึงว่าได้อะไรบ้าง เพราะตอนที่เข้ามาประกวดไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยเพราะจุดมุ่งหมายหลักคือเราอยากเดินทางรอบโลกไปทำการกุศล และอยากให้คนไทยได้มีความรู้สึกกับการมงในยุคนี้ให้เขามีความภาคภูมิใจอีกหลายๆ ปี
ถามว่าคิดอย่างไรกับรางวัลและเกียรติยศ สำหรับโอปอล เกียรติยศยิ่งใหญ่มากสำหรับโอปอล เพราะว่าเกียรติยศคือความภาคภูมิใจ ความได้รับเกียรติมันเป็นสิ่งที่ซื้อไม่ได้ มันต้องได้รับโอกาสในการทำอะไรที่เราดูเหมาะสมที่จะได้รับมัน แล้วมันเป็นสิ่งที่ได้รับไม่บ่อยในชีวิต โอปอลเลยรู้สึกขอบคุณกับโอกาสนี้มาก
ในส่วนของรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สิ่งของ ทรัพย์สินอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นเหมือนรางวัลให้กับความเหนื่อยของเราแต่ว่าจะเป็นอีกพาร์ทที่โอปอลไปจัดการทีหลังได้ นอกจากสิ่งนี้ก็ยังมี่สิ่งอื่นที่เราได้รับมาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นจากการทำงาน จากพ่อแม่ อยู่ที่ว่าเราจะจัดการอย่างไรให้มันเพิ่มพูนได้ในอนาคต
เรื่องจำนวนเงินยังไม่ได้ถามรายละเอียด แต่คิดว่าคงเป็นภาพรวม ก็เหมือนเวลาเราได้รับมงกุฎระดับประเทศ มีเงินรางวัล เงินสนับสนุน มีบ้าน คิดว่าคงเป็นตัวเลขในภาพรวม โอปอลก็ได้ยินมาเหมือนกับทุกคน แต่ว่ายังไม่ได้ถามรายละเอียด ก็คงดีถ้ามันรวมทุนสนับสนุนในโครงการของเราด้วย"
งานการทูตของโอปอล
อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่า โอปอล มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักการทูต แต่เมื่อได้รับมงฟ้า งานด้านการทูตที่เธอตั้งใจอยากจะเป็นนั้นจะทำอย่างไรต่อ ซึ่งโอปอลบอกกับเราว่า
"คิดว่าคงอีกสักพักกว่าจะได้กลับไปเรียน และไปต่อทางสายการทูตเพราะต้องทำหน้าที่ตรงนี้ให้ครบ 1 ปี แต่ก็ยังไม่รู้ว่า 1 ปีหลังดำรงตำแหน่งมีอะไรที่โอปอลทำงานต่อได้หรือเปล่าแต่คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปทางนั้นให้เร็วที่สุด เพราะนักการทูตมันต้องใช้เวลาในการศึกษาในการทำงานและการไต่เต้าเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีในการได้ฝึก เหมือนเป็นเด็กฝึกงานภาคสนามจริงเพราะว่าเป็นมิสเวิล์ดก็เหมือนเป็นตัวแทนประเทศ ตัวแทนโลก ต้องออกงานที่เป็นสายการทูตอยู่แล้ว"
แรงบันดาลใจจากผู้หญิงธรรมดามาเป็นมิสเวิลด์
และกับคำถามนี้ที่เราถามโอปอล จากผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ตามความฝันของตัวเองจนได้เป็นมิสเวิลด์ อะไรคือแรงบันดาลใจของโอปอล ซึ่งมิสเวิลด์คนแรกไทยได้ตอบคำถามนี้ของเราว่า
"โอปอลผ่านมาเยอะมาก ทุกคนได้เห็นเส้นทางชีวิตของโอปอลตั้งแต่เริ่มต้น มันไม่ได้ง่ายเพราะว่าเราต้องยึดมั่นกับตัวเองมากๆ ไม่ว่าจะเป็นนางงามหรือหน้าที่ไหนก็แล้วแต่ เราเจอคนหลายคน เจอหลายคำพูดกับชีวิตเรา แต่เราต้องแน่วแน่กับสิ่งที่เราเชื่อมากๆ เราต้องยืนหยัด เพื่อทำให้จุดมุ่งหมายของเราสำเร็จได้
แต่ว่าในขณะเดียวกัน โอปอลรู้สึกว่าการที่มันยากแต่วันที่เราได้สิ่งนี้มันมีค่าเพราะว่าเราผ่านมาเยอะกว่าเราจะได้มันแล้วทุกอย่างในชีวิตที่เราทำมันไม่มีอะไรที่ง่าย ไม่ว่าจะสายอาชีพไหนหรือเป้าหมายไหนก็ตาม มันเป็นสิ่งที่เราต้องสู้ สิ่งที่เราต้องแลก
เพราะฉะนั้นมันอาจจะเหนื่อยในช่วงแรกๆ แต่ว่าเมื่อเราสำเร็จแล้วมันคุ้มค่า อยากบอกทุกคนว่า โอปอลก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน อยากให้มองแล้วรู้สึกว่ามันเป็นไปได้สำหรับทุกคนเหมือนกัน การที่คุณเป็นคนธรรมดา มันยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คนได้ดีมากๆ ว่าสามารถทำได้"