ไม่ง่ายเลยที่เราจะนัดสัมภาษณ์ The Toys (เดอะ ทอยส์) หรือธันวา บุญสูงเนิน ในรายการ Hard Talk แบบนี้ได้ เพราะเขาออกตัวว่า พูดไม่เก่ง แต่เมื่อมานั่งประจันหน้ากับพิธีกร Thairath Talk จอมขยี้ นักร้องที่มีบุคลิกพูดน้อย ก็กลายเป็นชายฝีปากกล้า แต่ละประโยคสื่อความหมายต่อยหนักทีเดียว เช่น "ไม่แปลกเลยที่เราจะมองคนอื่นเป็นอย่างไร แต่มันเป็นปัญหาของคุณ จะชอบผมหรือไม่ชอบ มันคือปัญหาของคุณ" หรือ "อย่ามองผมเป็นไอดอล ผมว่ามีหลายคนที่ใช่กว่า" เป็นต้น

เรายืนยันว่าเราคงเป็นอีกหนึ่งรายการที่ล้วงลึกตัวตนทอยส์ออกมาได้มากที่สุดรายการหนึ่ง 

ผมเป็นคนตลก

เดอะ ทอยส์ออกตัวว่าเขาเป็นคนตลก คนรอบข้างเขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทอยส์เป็นหนุ่มอารมณ์ขัน ถึงขนาดเห็นใบไม้ร่วงก็หัวเราะได้แล้ว 

"(พยักหน้า) ครับ ตอนเด็กๆ น่าจะเป็นกันหลายคนไม่น่าจะใช่ผมคนเดียว เราขำกับอะไรง่ายๆ ใบไม้หล่นก็ขำแล้ว แต่พอโตมา มันเครียดไง อะไรก็ไม่ตลกแล้ว

...

การที่เราโตมาเจออะไรมากมาย มันทำให้ความสุขเราน้อยลง เมื่อความสุขเราน้อยลง การทำงานหรือ Passion ในการทำอะไรบางอย่าง การวิเคราะห์ มันก็ไม่สนุกแล้ว ทำให้งานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร"

ปมด้อย เดอะ ทอยส์

ธันวา บุญสูงเนินก็ผ่านช่วงเวลาที่พ่อแม่ต้องแยกทางกันตั้งแต่เด็กๆ แต่เขากลับมองว่าไม่ใช่เรื่องราวในชีวิตที่จะเรียกมันว่า 'ปมด้อย'

"ไม่รู้สำหรับคนอื่นเป็นอย่างไร สำหรับผมไม่เลยนะ มันปกติ และไม่เคยมีคนล้อเลียน ก็จะมีเพื่อนถามๆ บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ผมจำไม่ได้ช่วงเวลาที่เขาแยกกัน คุณแม่ก็ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ และผมก็ยังเจอและติดต่อกับพ่อเหมือนเดิม ผมไม่เคยถามว่าทำไมพวกเขาถึงแยกทางกัน ผมเฉยๆ กับเรื่องนี้ ไม่ได้อยากรู้ ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของผม"

ทอยส์เล่าต่อว่าเรื่องของผู้ใหญ่สองคนที่ไปต่อไม่ได้ ไม่ควรเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตลูกต้องเจ็บปวดต้องประชดมีชีวิตที่ไม่ดี ขอแค่เรารู้จักตัวเอง และเลือกอยู่ในสังคมที่ดี

โลกของนักร้อง

ไม่ใช่ชีวิตที่เลือก

"ผมเป็นคนมีโลกส่วนตัว การเป็นคนสาธารณะมันต้องฝึกและรับมือให้ได้ ยิ่งคนที่มีปัญหาต่อการเข้าสังคม มันต้องฝึก มันต้องปรับ Mindset ให้ได้ ซึ่งตัวผมเป็นคนอยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยออกไปเจอใคร มันเคยเป็นข้อเสียของผมเมื่อก่อนนะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว" 

การเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นบุคคลสาธารณะ คนย่อมคาดหวังให้เป็นบุคคลตัวอย่าง ซึ่งทอยส์กล่าวชัดเจนว่า เขาไม่ใช่แบบอย่างที่ดีของสังคม 

"เพราะผมเป็นแบบนี้ บุคลิกผมไม่ใช่บุคลิกที่เป็นมาตรฐานของสังคม อาจจะเป็นบุคลิกที่ต่างจากคนอื่น เขาก็อาจจะมองแปลกตา ก็เลยถ้าจะมองเราเป็นไอดอล ผมว่ามีหลายคนอาจจะใช่กว่านะ ผมอยู่ในโลกของผมดีกว่า ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังอยู่ในโลกของผมเอง 100% ยังยืนหยัดที่จะเป็นตัวเอง แสดงออกมาทางแนวเพลง เพราะผมพยายามที่จะกระโดดออกไป มันก็รู้สึกแปลกๆ ไม่รู้สึกไม่สบายใจเท่าไร"

ทอยส์บอกว่าการอยู่บนยอดเขาที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของเขาแล้ว

"สมมติเราเล่นเกมเกมหนึ่ง และมันจบแล้ว เราก็จะไม่เล่นเกมนั้นอีก แต่ถ้าเราต้องเล่นเกมนั้นอยู่ แล้วความสนุกมันอยู่ตรงไหน แค่นั้นเองที่ผมคิด ผมทำทุกอย่างเพื่อความสนุกของตัวเองเป็นหลัก ยังคิดแบบนี้อยู่ตลอด มันยากในมุมมองของคนอื่นๆ

สำหรับผมจะมีปัญหากับเวลาของผมมากกว่า ผมว่าคนเรามีความสุขหรือไม่มีความสุข เวลามันคือราคาที่ต้องจ่าย เวลามันมีค่ามากสำหรับผม ถ้าวันที่ผมทำงาน คนมาขอถ่ายรูป ผมเข้าใจ แต่ถ้าไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยว ผมก็อยากมีเวลาส่วนตัว" 

สาเหตุไม่เรียนต่อ

นักร้องมากความสามารถวัย 26 ปีคนนี้เป็นอีกหนึ่งคนที่มุ่งหน้าพุ่งชนทำในสิ่งที่รัก นั่นคืองานเพลงงานดนตรี เลือกที่จะไม่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยอย่างวัยรุ่นส่วนมาก ซึ่งเขาให้คำตอบในประเด็นนี้ได้น่าคิดตามทีเดียว 

"ตอบในมุมมองของผมนะครับ อย่างเวลาที่เราไปโรงเรียน เขาจะบอกว่าเราต้องรีบหาตัวเองให้เจอ แต่เราจะเอาเวลาที่ไหนไปหาล่ะ ทำการบ้านก็หมดเวลาแล้ว เราหมดเวลาไปกับอะไรบางอย่างเยอะมากจนไม่มีเวลาให้ตัวเอง ผมเลยไม่เรียนต่อ เรามัวแต่ทำในสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการในสิ่งนั้น ทั้งที่เราควรจะไปศึกษาโดยตรง คือโลกมันไปไกลแล้ว พัฒนาด้วยดิจิทัล อินเทอร์เน็ต เหล่านี้มันสนับสนุนให้คนมีคุณภาพได้ แต่เรามัวแต่เอาเวลาไปทิ้งกับระบบ เหมือนเรากำลังช้ากว่าโลก ในที่นี้ที่ใช้คำว่าเรา ผมหมายถึง ตัวผมนะที่อยู่ในห้องเรียนวันนั้น"

...

ตัวตนหรือการตลาด

ด้วยบุคลิกพูดน้อย หน้าตาเฉยๆ คุยไม่มุ่ง ยุ่งแต่ร้อง ทำให้เดอะ ทอยส์เป็นคนดังอีกคนในวงการบันเทิงที่เจอกระแสดราม่าว่าสร้างคาแรกเตอร์ แท้จริงแล้วเป็นคนร่าเริง 

"ผมเป็นยังไงก็อย่างนั้น ผมเป็นคนตลกสำหรับอะไรที่ไม่ได้ต้องการเหตุผลจริงจัง ถ้าต้องการเหตุจริงจัง ผมก็จะคิดเยอะมากในการตอบ และช่วงเวลาระหว่างคิดนั้นผมไม่ได้สนใจว่าบุคลิกผมเป็นอย่างไร คนก็อาจจะมองไปอีกแบบ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร

เวลาผมเจอกระแสดราม่าในโซเชียล ผมปล่อยเลย ไม่สนใจ ผมคิดว่าผมคือชาวเน็ต เรารู้ว่าในมุมนั้นมันเป็นยังไง มันสนุก กระแสมันไปทางไหนมันก็เป็นแบบนั้นแหละ ผมเลยไม่ได้รู้สึกอะไร บางทีมันมีข้อมูลที่ลึกๆ อยู่ในนั้น เราห้ามใครมองไม่ได้หรอก ก็สนุกดี เราก็แค่สนุกไปกับมัน"

สุดท้ายพิธีกรถามทอยส์ว่า "คุณเป็นคนดีไหม?" ซึ่งคำตอบของทอยส์ก็ไม่ทำให้แฟนคลับอย่างเราผิดหวัง เขาต่อยหนักเช่นเดิม จุกหัวใจเช่นเดิม 

"ผมไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว เป็นคนปกติ เรากล้าถามใครสักคนแล้วเขาตอบว่าเป็นคนดี อันนั้นน่าคิดกว่า"

...

ใช้ 8 ล้านเพื่อเติมความสุข

เป็นที่เลื่องลือว่าเดอะ ทอยส์เป็นเซียน(เติม)เกม มือฉมังคนหนึ่ง เขาเสียเงินไปกับการเติมเงินในเกมมากเกือบ 10 ล้านบาท

"ถ้านับเป็นเงินบาทตอนนี้ก็ 7-8 ล้านบาทครับ แต่ก็ไม่ได้เยอะเทียบกับคนที่เล่นจริงจังกว่านี้ มันแลกมากับความสุขอะครับ ผมตั้งใจเติมไม่ได้พลั้งเผลอหรืออะไร ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะยังเล่นเหมือนเดิม มันเหมือนเวลาเราช็อปปิ้ง เราแฮปปี้ตรงนั้น ผมก็แค่ช็อปปิ้งในแบบของผม" 

แฟนคลับลิซ่า

หลังจากนี้เราขอถอดบทสัมภาษณ์คำต่อคำ เพื่อสื่อให้ชัดว่าทอยส์รู้สึกต่อลิซ่า นักร้องดังวง Blackpink ที่เขาเป็นศิลปินในไม่กี่คนที่ลิซ่ามาตอบข้อความทางโซเชียล 

"ตอนนั้นลิซ่าปล่อยเพลง ผมแชร์ลงไอจีสตอรี่ แล้วลิซ่า Direct Message มา ผมตื่นเต้น นึกขึ้นมาก็ตื่นเต้นครับ"

Thairath Talk : ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกัน ร้องเพลงร่วมกันล่ะ

(หัวเราะ) ผมว่าลิซ่าเป็นแบบนั้นดีแล้ว อย่ามาเกลือกกลั้วกับผม

Thairath Talk : ถ้าฝากอะไรถึงลิซ่าได้ จะบอกอะไร

สู้ครับๆ ไม่ได้อยากเจอตัวจริงหรืออะไร เพราะไม่อยากรบกวน ถ้าเจอก็คือไปดูคอนเสิร์ต เชียร์จากไกลๆ

สนุกอยู่ในใจ

ความสนุกแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับเดอะ ทอยส์ หากเขาได้ไปคอนเสิร์ตสักแห่ง เขาเลือกที่จะไม่เต้น แค่ได้สนุกในใจก็พอแล้ว ทอยส์ยกตัวอย่างคอนเสิร์ตบอดี้ สแลม เขายืนสนุกอยู่เฉยๆ ท่ามกลางผู้คนที่กระโดดเต้นอย่างเมามัน 

"ผมสนุกนะ แต่ผมไม่เต้น ผมเต้นห่วยๆ อะ (หัวเราะ) ใครอยากเต้นก็เต้นไปแล้วแต่เลย คำว่าสนุกคืออะไร ผมสนุกในใจ ฟังแล้วเพลงมันสนุกจังเลย ผมว่าผมอินกับจังหวะมากกว่า เฮ้ย คอร์ดมันสนุกจังเลย"

...

ความรักฉบับเดอะ ทอยส์

"ผมไม่เชื่อว่ารักเป็นนิรันดร์ แต่งงานก็มีเลิก มีหย่า ถ้ามีหย่า การแต่งงานศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ ผมไม่เชื่อ ผมว่าการดูแลกันมันสำคัญมากกว่า"

เขาแง้มถึงความรักกับแฟนสาวนอกวงการที่คบกันมานานอย่างน่ารัก

"ความสัมพันธ์ดีครับ แฮปปี้ดี เราดีต่อกัน มีกำลังที่ดีต่อกัน เหมือนเราอยู่กันอย่างเข้าใจ คุยกันเข้าใจ เคยทะเลาะกันบ้าง แต่ไม่ได้เป็นปัญหา ปัญหาที่ทะเลาะส่วนใหญ่เป็นเรื่องการวางแผนชีวิต วางแผนการใช้เงิน ซึ่งผมวางแผนในแบบของผม ผมมีลงทุนเก็บไว้บ้าง พวกอสังหาริมทรัพย์ เงินดิจิทัล เงินพวกที่เติมเกมมันคือเงินที่ใช้ได้ แต่เงินที่เอามาเก็บก็คืออีกก้อนครับ"

เมื่อผมอายุ 30 จะ?

"ตอนนั้นผมคงลงทุนหรือทำธุรกิจ ถ้าวงการเพลงก็คงย้ายไปอยู่เบื้องหลัง ผมชอบเบื้องหลัง Production มากกว่า" 

และสุดท้ายเขาได้ฝากข้อความถึงคนที่อาจจะไม่เอ็นดูในตัว The Toys ซึ่งแน่นอนเขาคงคอนเซปต์พูดน้อยนะ แต่ต่อยหนักมากจริงๆ 

"ผมคิดว่าโลกใบนี้มันเต็มไปด้วยมนุษย์ ไม่แปลกเลยที่เราจะมองคนอื่นเป็นอย่างไร

แต่มันเป็นปัญหาของคุณ จะชอบหรือไม่ชอบ มันคือปัญหาของคุณ

แต่ปัญหาของผม คือผมต้องหาเงินมาเติมเกมแค่นั้นเอง"

ผู้เขียน : Bouquet Talk