"ผมก็แค่คนธรรมดา ไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือไปกว่าพี่คนขับแท็กซี่ หรือพี่ที่ขายหมูปิ้ง" ประโยคนี้ทัชใจไม่ใช่แค่ผู้เขียนที่กำลังถ่ายทอดบทสัมภาษณ์ของ นิชคุณ หรเวชกุล หรือ นิชคุณ 2PM อยู่ แต่เชื่อว่ามันจับใจคนอีกหลายคนที่มองว่าเขาเป็นดารานักร้องดังระดับโลก เป็นคนที่เราเอื้อมไม่ถึงตัว แต่ประโยคนี้ทำให้เรารู้สึกใกล้เขาไปอีกนิด และเชื่อเถอะว่าบทสัมภาษณ์หลังจากนี้คุณจะรู้จักนิชคุณมากขึ้นอีกเยอะเลย
"ทุกคนมีช่วงขึ้นและช่วงลง แต่เราจะไปติดอยู่กับอดีตที่มันสวยงามและมีแต่ความสุขไม่ได้ เราต้องคิดวันต่อวัน ทุกวันคือวันที่ดีที่สุดในชีวิตผม เพราะถ้าผมมีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน ก็จะมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่ง เราไม่สามารถย้อนและเปลี่ยนอะไรได้ ให้คิดว่าวันนี้แหละดีที่สุดในชีวิตเรา จะได้มีกำลังใจครับ และก็พยายามทำตัวเองให้ดีที่สุดครับ"
ไม่ว่าใครก็เจอผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 กันทั้งนั้น รวมถึงนิชคุณจากที่ต้องบินไปทำงานวันละ 3 ประเทศ เหลือบินเพียง 4 ครั้งต่อปี จึงต้องพยายามปรับบาลานซ์ชีวิตให้สมดุลมากที่สุด โดยเขาพยายามออกกำลังกายให้ได้เกือบทุกวัน เพราะเราอยู่บ้านมากขึ้นเลยไม่ได้ขยับตัวสักเท่าไร เช่น ถ้าไม่มีเวทยกน้ำหนักก็ใช้เก้าอี้ กระเป๋าเดินทางใส่ของให้หนักหน่อย เพื่อบริหารร่างกายและจิตใจของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน
...
"บางทีก็ทำกับข้าว หรือทำความสะอาดบ้าน มันเหมือนให้เราได้ทำอะไรในวันๆ หนึ่ง เหมือนเราตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน และเราก็ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ โดยเป้าหมายอาจจะแค่ล้างจาน ดูดฝุ่นห้องนอน หรือทำความสะอาดห้องน้ำ มันคือเป้าหมายที่อยากจะพิชิตในแต่ละวัน"
15 ปี JYP
คุณเริ่มต้นเส้นทางชีวิตนักร้องในสังกัด JYP ENTERTAINMENT มาแล้ว 15 ปี ซึ่งเขาเองก็เรียนรู้ประสบการณ์อะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการรับมือกับความทุกข์
"15 ปีเร็วมากนะ เหมือนเวลาคนบอกครับว่ายิ่งอายุมากขึ้น เวลาก็ผ่านไปเร็วมากขึ้น มันจริง (ยิ้ม) ซึ่งตลอด 15 ปีที่ผ่านมา JYP คือจุดเริ่มต้นชีวิตผมเลย เริ่มต้นชีวิตที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ แต่มันเป็นความสุขมากกว่าความทุกข์นะครับ ไม่ว่ามันจะมีความทุกข์ในชีวิต ณ เวลานั้นมันทุกข์ พอผ่านสัก 10 วันมันก็ทุกข์น้อยลง พอผ่านไปปีหนึ่ง มันก็เกือบจะไม่ทุกข์แล้ว ผ่านไป 5 ปี ย้อนกลับไปดู ความทุกข์ในครั้งนั้นทำให้เราเป็นคนดีขึ้นในวันนี้
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมทุกข์ในวันนั้น มันทำให้ผมคิดอะไรได้ แล้วมาเปลี่ยนความคิดของผม ณ วันนี้ แต่มันต้องเริ่มต้นจากการยอมรับว่าเราไม่เพอร์เฟกต์ ยอมรับจากมองตัวเองว่าเราเป็นคนยังไง เราเก่งด้านไหน ไม่เก่งด้านไหน เป็นคนดีในด้านไหน ไม่ดีด้านไหน ไม่โกหกตัวเอง ยอมรับว่าความผิดพลาดในชีวิตมันเกิดขึ้นได้ เพราะเราคือมนุษย์ แต่เราจะเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีตรงนั้นให้เป็นประโยชน์กับชีวิตเราอย่างไร
ไม่ใช่ว่าผมไม่มีจุดบกพร่อง แต่จะทำยังไงให้ไม่มี ก็ทำตัวเองให้ดีขึ้น ซ้อมให้ดีขึ้น ไม่ทำการกระทำแบบนั้นอีก แค่เปลี่ยนชีวิตพฤติกรรมตัวเองให้ดีขึ้น นิชคุณต้องดีขึ้นทุกวัน และมนุษย์ทุกคนควรจะดีขึ้นทุกวัน คำว่าอายุมากขึ้น คือเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราต้องเรียนรู้มากขึ้นทุกๆ นาที และทุกๆ ชั่วโมง"
ไม่ใช่ว่าเขาคิดแบบนี้ได้ในวัยเด็ก แต่ผ่านประสบการณ์เจอความเหนื่อยยาก ลำบาก จนเริ่มเรียนรู้ว่าต้องเป็นอย่างไร ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้
เรื่องที่นิชคุณหลั่งน้ำตา
คำถามนี้ทำให้นิชคุณใช้เวลาคิดกว่าจะเอ่ยคำตอบมาได้ก็เกือบนาทีเลยทีเดียว เมื่อเราถามว่า เหตุการณ์อะไรที่ทำให้นิชคุณร้องไห้
"ผมไม่เคยร้องไห้เพราะเหนื่อย แต่อาจจะมีร้องไห้ตอนที่เพื่อนๆ ต้องไปเข้ากรม วันนั้นเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย ผมจำได้เลยว่าพอผ้าม่านตกลงมาปุ๊บตอนคอนเสิร์ตจบ เรากอดกันร้องไห้ ผู้ชาย 6 คนพร้อมกันร้องไห้ แต่ธรรมดาผมเป็นคนไม่ค่อยร้องไห้เท่าไร"
และสำหรับเหตุการณ์ที่ดีใจที่สุด นิชคุณก็ใช้เวลาทบทวนอยู่หลายวินาทีเช่นกัน
"โห มีเยอะมาก น่าจะได้รับรางวัลดีเด่นแห่งปีที่ได้รับจากเพลง Heartbeat ในปี 2009 เป็นรางวัลที่เราคาดไม่ถึงว่าเราจะได้ เพราะมีกลุ่มอื่นๆ ที่ดังกว่า แต่ด้วยเพลง Heartbeat มันดังเปรี้ยงปร้างมาก
และยังมีเหตุการณ์ปีที่แล้ว เราได้คัมแบ็กหลังจากที่เพื่อนในวงเข้ากรมเกณฑ์ทหารกันหมด ผ่านไปเกือบ 5 ปีได้กลับมารวมตัวกันมันสนุกมาก มันคือการรอคอยมานาน แต่ก็เสียดายมากครับที่เรายังแสดงคอนเสิร์ตไม่ได้เพราะสถานการณ์โควิด-19 ผมอยากเจอแฟนๆ มากครับ"
...
ยอมรับเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์
การเป็นซุปเปอร์สตาร์ไม่ง่าย แต่การจะรักษาชื่อเสียงให้ดังได้นานคงจะยากกว่า นิชคุณพิสูจน์ตัวเองจากคำตอบหลังจากนี้ได้อย่างดี เพราะไม่ว่าเขาจะลงมือทำอะไรสักอย่างก็อยากทำออกมาให้ดีที่สุด แม้กระทั่งเรื่องทำความสะอาด หรือทำอาหาร
"ผมค่อนข้างนิยมความสมบูรณ์เลยครับ แต่ผมทำเพื่อผม อยากให้ตัวเองดีขึ้น ไม่ได้จะโชว์คนอื่น แต่อยากจะพัฒนาตัวเองมากขึ้น ตอนนี้ผมไม่ได้คิดว่าตัวเก่งอะไร แต่ยอมรับเป็นคนเพอร์เฟกชั่นนิสต์ค่อนข้างมากครับ ผมอยากให้ทุกอย่างออกมาดูดีที่สุด ทั้งหนัง ทั้งเพลง หรือแม้แต่เรื่องทำความสะอาดบ้าน
อย่างซิงก์ล้างจาน มันมีตะแกรง ผมขัดตะแกรงนั่นให้สะอาด คือมันอยากจะทำ ไม่ชอบให้มันเลอะ ขัดสิ่งสกปรกออก อย่างการทำอาหาร ผมชอบทำพาสต้า เมนูเด็ดเลยคือเบคอนพาสต้าผัดกับพริกใส่กระเทียมเยอะๆ หรือทำกะเพรากับผัดผักบุ้งก็อร่อยนะครับ ผมทำหมูกรอบเองด้วยนะ ดูวิธีทำจากในยูทูบ ก็ลองทำอร่อยดีเหมือนกัน"
ซึ่งเมนูแรกที่เขาตอบแบบไม่คิด ไม่ต้องแปลจากเกาหลีเป็นไทยให้วุ่นวาย เมนูแรกที่คุณอยากกินเมื่อกลับไทยคือ ผัดกะเพราไก่ไข่ดาวครับ (ยิ้มกว้าง)
...
ผมคือนักขัดตะแกรง
ไม่ใช่ซุป'ตาร์
หลังจากนี้เราจะถอดบทสัมภาษณ์เป็นคำต่อคำ คำถามและคำตอบของนิชคุณแบบเนื้อๆ ไม่ตัดเสริมเติมต่อ เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้จักตัวตนนิชคุณจริงๆ เกริ่นก่อนว่ามันซึ้งใจมาก
Thairath Talk : เวลาคนเรียกคุณว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ คุณมองว่ามันคือภาระที่อยู่บนบ่า หรือสิ่งที่สดใส
มันเป็นทั้งสองอย่างนะ ก็รู้สึกดีที่เรียกผมว่าซุปเปอร์สตาร์ แต่ผมก็รู้จักตัวเองในมุมที่คนอื่นไม่รู้จัก เพราะผมก็เป็นตัวผมก็คนธรรมดานั่นแหละ แค่อาชีพของผมที่มีไตเติลเป็นซุปเปอร์สตาร์ แบบที่ใครหลายคนเรียกให้เป็น แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าผมเป็นซุปเปอร์สตาร์ ผมคือนักขัดตะแกรงซิงก์ล้างจาน
ผมคิดว่าการเป็นดาราคืออาชีพของผม ไม่ใช่ชีวิตของผม แต่สามารถคิดแบบนั้นได้ 80% นอกนั้นคือต้องระวังในการกระทำ วาจา หลายๆ อย่าง แต่พอไม่ทำงาน ไม่แต่งหน้า ผมก็คือคนธรรมดาทั่วไป
Thairath Talk : รับมือกับการมีชื่อเสียงเหล่านี้อย่างไร
...
มันไม่ง่าย แต่ไม่หนักเกินกว่าจะรับมือไม่ได้ เวลาที่แต่งหน้าทำผมก็คือนิชคุณที่เป็นดารา แต่พอเช็ดเครื่องสำอาง อาบน้ำเสร็จ ก็เป็นนิชคุณที่ดูเน็ตฟลิกซ์ นิชคุณที่เล่นเกมเพลย์สเตชั่น นั่งขัดตะแกรง (หัวเราะ) ก็ธรรมดา ไม่ได้เป็นคนยิ่งใหญ่อะไร มันต้องคิดแบบนั้นครับ เพราะถ้าวันนึงไม่ดังเหมือนเมื่อก่อน คนไม่รักเราแล้ว จะอยู่กันยังไง มันอยู่ไม่ได้
Thairath Talk : ความคิดเหล่านี้มาจากไหนครับ
จากคุณพ่อคุณแม่ที่สั่งสอนมาด้วยครับ พ่อนี่จะอยู่แบบพอเพียง ถ่อมตัว ไม่คิดว่าตัวเองเก่ง หรือดีกว่าคนอื่น ถึงแม้ว่าผมจะเป็นดารา แต่ผมก็ไม่ได้มีสิทธิ์มากกว่าพี่ที่ขับรถแท็กซี่ หรือพี่ที่ขายหมูปิ้งอยู่ข้างทาง ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ผู้เขียน : Bouquet Talk
ภาพในเนื้อข่าว : IG @khunsta0624
ชมคลิป