ยังไม่ได้นอน ตอนนี้ยังไม่ได้นอนเลยจะสิบโมงเช้า~~~~

เมื่อเราได้ยินชื่อ ยังโอม ศิลปินแรปเปอร์รุ่นใหม่ เพลงเฉยเมยที่มีท่อนติดหูว่า ยังไม่ได้น้อน~~ ก็ลอยขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์แทนตัวตนของชายคนนี้ เขาแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร ขนาดบทสัมภาษณ์ยังตอบคำถามได้เป็นตัวเอง รู้สึกอย่างไรพูดไปแบบนั้น ไม่แต่งแต้มเพื่อมูลค่า แต่คงมูลค่าตัวตนยังโอมให้ทุกคนรู้จักเขาได้ดีมากขึ้น 

น้อยคนนักจะได้ยินประวัติเรื่องราวส่วนตัวสมัยวัยเด็กของเด็กชายโอม รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเปิดเผย แต่ไม่ค่อยมีคนถามถึงเสียมากกว่า

"จริงๆ คุยได้ครับ ผมก็เกิดในครอบครัวกลางๆ พ่อเป็นพนักงานบริษัท ทำหน้าปัดนาฬิกา แม่ผมขายประกัน แต่สมัยก่อนเรามีหนี้เยอะ ถ้าผมจำไม่ผิดก็น่าจะเป็นประเภทหนี้นอกระบบ ตอนเด็กๆ พ่อแม่เขาไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่ได้ยินพ่อแม่คุยกัน ทะเลาะกัน เหมือนผู้ใหญ่เขาคิดว่าเราไม่รู้ แต่เราฟังตลอด รับรู้ตลอดทุกเรื่อง

ผมเลยซึมซับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก เลยทำให้รู้ว่าการใช้เงิน บริหารเงินเป็นสิ่งสำคัญต้องทำมันให้ดี จัดการมันให้ดีมากๆ ตอนที่ผมโตแล้ว เพราะผมเคยอยู่ในสภาพที่ทุกคนต้องหาเงินมาหมุน ผมเห็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดเลย" 

...

ตัดสินใจ

ไม่ต่อมหาวิทยาลัย

โอมเล่าให้เราฟังว่าเขาเป็นเด็กที่เรียนดี มีผลการเรียนน่าพอใจ จนสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐได้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออก

"ผมติดสาขาวิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒแล้วครับ แต่ว่าช่วงนั้นผมทำเพลงจริงจัง และเริ่มได้เงินจาก Youtube แล้ว สาเหตุที่ผมไปเรียนเพราะแม่อยากให้เรียน นี่เป็นเหตุผลเดียวที่เราทำตรงนั้น พอวันที่ไปเรียนจริงๆ ผมไปเรียนอยู่ไม่ถึงครึ่งวันครับ แล้วก็ออกและไม่ไปอีกเลย เพราะเขาให้การบ้าน (ยิ้ม)" 

"ผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมนะ เวลากลับบ้านก็อยากจะแต่งเพลงบ้าง ทำคลิปอะไรของผม และกิจกรรมส่วนตัวที่ผมอยากทำ บางทีอาจารย์ก็ให้การบ้านเหมือนไม่ได้นัดกันมา ครอบครัวผมก็เคร่งเครียดเรื่องเรียนมาก อยากให้เราเรียนดี ซึ่งเราแยกไม่ออกหรอก อันนี้ก็อยากทำ อันนู้นก็อยากทำ ผมก็รู้นะว่าการบ้านมันเป็นสิ่งที่สำคัญ พอทำการบ้านให้เสร็จก็ไม่มีเวลาจะทำกิจกรรมต่างๆ ของตัวเอง อยากจะพัฒนาการแต่งเพลง เราก็เสียเวลาตรงนั้นไป ผมรู้สึกว่า การบ้านมันเสียเวลาชีวิต จะได้พัฒนาทักษะตรงอื่น พัฒนาทักษะที่เราสนใจ ชีวิตเราโดนการบ้านกินเวลาไปเยอะ

เอาจริงๆ เราก็สามารถทำควบคู่กันไปได้ ผมเองก็ทำได้จนจบมัธยมหก เพราะมันคือหน้าที่เราที่ต้องรับผิดชอบในการเรียน แต่อีกใจ เราก็เจอตัวเอง เรามาทางเพลงแล้ว เรารู้ตัวแล้ว เราอยากที่จะทุ่มเทให้มันแบบ 100% ตอนนั้นผมเองก็เกือบคิดจะไม่จบมัธยมหกด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายที่บ้านก็เคี่ยวผมจนจบจนได้ มันควบคู่กันได้ครับขึ้นอยู่กับแต่ละคน"

วันที่ตัดสินใจไม่เรียนต่อ แน่นอนทางบ้านของโอมก็ต้องรับไม่ได้ แต่เขาก็พัฒนาตัวเองจนเรียกว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และสามารถดูแลสนับสนุนการเงินกับทางบ้านได้ ไม่ว่าพ่อกับแม่เขาต้องการทำอะไร โอมก็พร้อมสนับสนุนทุกเรื่อง

Bangkok Legacy
จุดเด่นประเทศไทย

หลังจากนี้เป็นจุดยืนทางการเมืองของศิลปินที่ชื่อ ยังโอม ซึ่งเขาถ่ายทอดความคิด สิ่งที่เห็นผ่านบทเพลง เราจึงอยากให้คุณผู้ชมอ่านบทสนทนานี้แบบคำต่อคำ ไม่ตัดแต่งเติมต่อแต่อย่างใด 

"เพลง Bangkok Legacy เกิดจากผมมานั่งคิดว่าประเทศไทยมีอะไรเด่นๆ บ้าง เป็นเรื่องที่ผมเจอมาตั้งแต่เด็กวนเวียนมาตลอด ฟังผู้ใหญ่พูดมา เกิดคำถามในใจตลอดทำไมเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงต้องทะเลาะกัน โกรธอะไรกันหนักหนา ใครถูกใครผิดนะ ผมก็หาคำตอบกับตัวเอง พอผมคิดเรื่อยๆ ก็มองว่าเป็นอคติของคน แค่มองว่าอีกฝั่งไม่ดีหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่เจอมาตั้งแต่เด็กๆ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ เรื่องพวกนี้มันบ่งบอกกรุงเทพมหานครได้ดีที่สุด"

...

Thairath Talk : การบ่งบอกจุดยืนตัวเอง มันมีราคาที่ต้องจ่าย เจอผลกระทบไหม

มีบ้างนะ สำหรับผมไม่ได้กระทบเยอะขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าเราพูดในสิ่งที่ควรจะพูด ในบางทีบางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันควรจะพูด

Thairath Talk : กลัวไหม อำนาจรัฐ

ผมกลัวคนทำเหมือนไม่ใช่คนมากกว่า เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่ามีอำนาจแค่ไหนก็เป็นคนเหมือนกัน คนไม่ควรใช้อำนาจมากดขี่ความเป็นคนด้วยกันเอง

Thairath Talk : สมมติว่าวันนี้คุณเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ถ้าวันนี้สามารถคุยกับนายกรัฐมนตรีได้ คุณอยากจะบอกอะไรเขาครับ

ผมบอกเขาก็ไม่ฟัง (หัวเราะ) เอิ่ม อยากจะบอกว่าสงสารประชาชนบ้าง สงสารคนตาดำ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงไม่มีอำนาจบ้าง คนที่ยังลำบากกันมากๆ ในช่วงนี้ อยากให้ท่านนายกฯ เห็นใจคนอื่นเยอะๆ แล้วก็อ่านคอมเมนต์บ้าง

Thairath Talk : ถ้ามีโอกาสได้คุยกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร อยากจะบอกอะไรกับเขาบ้าง

อยากจะบอกว่าขอบคุณนะ ขอบคุณที่ยังส่งความห่วงใยมาให้พี่น้องชาวไทย ยังรู้สึกดีนะคนที่ไม่ได้อยู่ประเทศไทย แต่ก็ยังเป็นห่วงประเทศไทย ก็รู้สึกดีครับ ทั้งที่ท่านยังไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ได้ ขอให้ทำแบบนี้ต่อไป เป็นห่วงคนไทยต่อไป

แรปเปอร์ x ยาเสพติด

"คนพุ่งเป้าเรื่องนี้ เพราะสันดานของแรปเปอร์จริงๆ แล้วเป็นคนพูดเรื่องตัวเอง เรื่องจริง เรื่องใกล้ตัว แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าพูด ตัวผมเองก็อาจจะเคยพูด เลยทำให้คนคิดว่าแรปเปอร์ร้องเพลงยาเสพติด ดูภาพลักษณ์แบบนั้น แต่จริงๆ มันไม่ได้เยอะขนาดนั้น มันปกติทั่วไป ที่เหมือนกันทุกวงการ แรปเปอร์แค่อาจจะขี้โม้ไปหน่อย"

ยังโอมตอบคำถามเกี่ยวกับวงการแรปเปอร์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงหรือ ซึ่งตัวเขาเองก็ยอมรับเคยทดลองจริงเพราะช่วงวัยที่อยากรู้อยากลอง และมองเห็นข้อเสียของมันชัดเจน 

...

"ในส่วนตัวผม ผมเคยสูบกัญชา และก็เลิกสูบ หลายรอบมากในสมัยก่อน ช่วงที่ผมไม่สูบ ผมเขียนเพลงได้ดีกว่าช่วงสูบเยอะมาก ผมคิดว่าจริงๆ แล้วการเขียนเพลงมันออกมาจากตัวเรา การใช้ยา บางคนก็ใช้เป็นข้ออ้างในการช่วยทำเพลงของเขา หรือมันช่วยจริงๆ อันนี้ผมไม่ขอตัดสินเขา ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่จำเป็นนะ มันเป็นสิ่งที่นอกกายมาก วันแรกที่ผมแต่งเพลงผมก็ไม่ได้ใช้มัน ผมแต่งด้วยความรู้สึกของเราที่เอาออกมา"

มีความรัก

ทำให้ชีวิตแย่ลง

"ผมมีความรักทำให้ชีวิตแย่ลง" ศิลปินแรปวัย 23 ปีกล่าวประโยคนี้ตอนแรกฟังแล้วตกใจทีเดียว คิดว่าเขาคงเจอประสบการณ์ความรักที่เลวร้าย แต่แท้จริงแล้วมันมีเหตุผลและทุกวันนี้ความรู้สึกแบบนี้มันผ่านไปแล้ว

"เวลามีความรักทำให้การทำเพลงแย่ลง แค่เรื่องแต่งเพลงเรื่องเดียวครับ อาจจะเป็นเพราะว่าพอเรามีใครสักคนที่เป็นแฟนเราแล้วทำให้จินตนาการหายไปส่วนหนึ่ง เราจะคิดถึงแค่ผู้หญิงคนนี้ อยากจะดูแลแค่ผู้หญิงคนนี้ เท่าที่ผ่านมาที่เคยมีแฟนมา ผมจะเขียนเพลงไม่ได้เลย แบบไม่ได้เลย บางครั้งผมเคยเลิกกับแฟน เพราะผมเขียนเพลงไม่ได้ก็มี

...

เรารู้สึกเวลามีแฟนไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรเวลาอยู่กับแฟน มันก็กลายเป็นแค่ฉันรักเธอ อยากดูแลเธอนะ มันไม่มีใคร มันวนๆ อยู่แค่นี้ มันหมดกิเลสความอยากจินตนาการ"

แต่ปัจจุบันโอมบอกว่าเขาจับแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัว เรื่องคนอื่นที่ประทับใจ หนังสือ ภาพยนตร์ ก็สามารถนำแต่งเพลงได้แล้วและทำได้ดี เลิกใช้ความรู้สึกปัจจุบันแบบ 100% มาแต่งเพลงแบบสมัยก่อนแล้ว 

"ผมเป็น

ไบโพลาร์"

"จริงๆ มันคือ Bipolar Disorder แต่ก็มีช่วงซึมเศร้าด้วย และก็มีช่วงแฮปปี้สุดๆ มีสองขั้ว สาเหตุผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร หรือเป็นเพราะผมดูดกัญชาเยอะไป พวกนี้มีผลต่ออารมณ์ของเรา ผสมกับเรื่องราวในชีวิต ช่วงที่ผมดัง ผมเป็นแค่เด็กโรงเรียนวัดคนนึง ผมไม่มีความรู้ในการเข้าสังคม ผมก็พยายามเรียนรู้เรื่อยๆ บางเรื่องมันเกินความรู้ของผมไป ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง

ผมไปหาคุณหมอ เขาบอกว่ากราฟชีวิตเรามันเป็นคลื่นที่ช่วงที่แฮปปี้มาก ทำอะไรก็ดี แต่งเพลงก็ดี มั่นใจในตัวเอง แต่วันหนึ่งเราเป็นคนด้อยค่าตัวเอง ไม่มั่นใจตัวเอง รู้สึกตัวเองทำผิด มันเป็นกราฟของคนเป็นไบโพลาร์ ขึ้นสุดลงสุด หมอเขาก็เลยวินิจฉัยว่าเป็น หลังจากนั้นก็เริ่มกินยาเลย"

พอเขาเป็นโรคประเภทนี้เลยทำให้มองอีกมุมในโลกปัจจุบันที่คนในสังคมยังไม่เข้าใจคนที่เป็นโรคจิตเภทเหล่านี้ เขาบอกมีคนมาคอมเมนต์ว่าเป็นโรคคนรวย โรคที่ไม่มีอยู่จริง ยังโอมแสดงความเป็นห่วงอยากให้คนทั่วไปทำความเข้าใจกับโรคนี้เสียใหม่ 

ฝากถึงคนที่ไม่ชอบผม

คำหยาบคาย บทเพลงกวนๆ หรือจุดยืนในสังคมของนักร้องที่ชื่อ ยังโอม ก็อาจไปกระทบใจใครหลายคน เขาเองก็เจอคอมเมนต์ด้านลบมามาก 

"ไม่ชอบผมก็ไม่เป็นไร ผมเองก็อาจจะไม่ได้ชอบคุณก็ได้ คนเราไม่ได้ชอบอะไรเหมือนกันอยู่แล้ว ไม่ผิดกับการที่คนไม่ชอบกัน คนเราเจออะไรที่ไม่ชอบมากมาย แต่ในหลักการการอยู่ร่วมกันคือ ไม่ชอบยังไงเราก็ต้องอยู่ร่วมกัน เราให้เกียรติกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ลดทอนลดคุณค่าตัวคุณเองและตัวคนอื่น ไม่ชอบอะไรก็ปล่อยให้ผ่าน วิธีผมคือถ้าไม่ชอบก็แค่ไม่เจอ ไม่ยุ่ง ไม่พบ เท่านั้นเองครับ"

ผู้เขียน : Bouquet Talk

ชมคลิปฉบับเต็ม