"ผมก็คนธรรมดา เป็นวัยรุ่นที่ใช้ชีวิต เพียงแค่ผมเป็นคนบ้างาน" การสรุปตัวตนสั้นๆ ของ นาย ณภัทร เสียงสมบุญ คงจะอยากให้เรารู้จักอีกตัวตนของเขาที่ไม่ใช่พระเอกหน้าหยกผู้มีดวงตาสะกดลมหายใจของสาวๆ ทั่วประเทศ หรือเจ้าพ่อพรีเซนเตอร์ เพราะเขาเปิดลึกหลายเรื่องราวชีวิตที่ไม่เคยเล่าที่ไหน เช่น เกิดเป็นลูกแม่หมู (พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ) ไม่สบาย ชีวิตไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ใครเข้าใจ และความรักที่เคยผิดหวัง "เรากอดกันร้องไห้แล้วจากกัน" มาสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของนาย ณภัทรไปด้วยกัน
ผมไม่ได้เพอร์เฟกต์
"ชีวิตผมไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่หลายคนมองเห็น ผมมีข้อเสีย มีข้อผิดพลาด เหมือนทุกคนปกติ แต่เมื่อก่อนผมเป็นคนเพอร์เฟกชันนิสต์นะ ช่วงที่ผมเรียนทุกอย่างต้องเป๊ะ พออะไรไม่เป๊ะไม่ได้อย่างใจ มันหงุดหงิด แต่พอเรามาทำอาชีพนักแสดง มันคนละศาสตร์กับสิ่งที่เราเรียนเลย มันต้องยืดหยุ่นบ้าง ยอมรับข้อผิดพลาดบ้าง ต้องเข้าใจว่ามันไม่ได้มีอะไรตามที่เราคิดตลอดเวลา พอเรายอมรับได้ ก็กลายเป็นว่าเราแฮปปี้ขึ้น รีแลกซ์ขึ้น ชีวิตมันโล่งกว่าเดิม
ยกตัวอย่าง ผมเคยมีความคิดว่า ตอนเข้าฉาก เราต้องเล่นแบบนี้ๆ แล้วพอมันทำไม่ได้ ก็มานั่งโทษตัวเอง ทำไมเราห่วยจัง เราไม่เก่งเลยเหรอ เพราะผมเคยไม่มั่นใจในการแสดงออก แต่พอสุดท้ายเรารู้จักการยืดหยุ่น Hope for the best, prepare for the last มันก็สบายขึ้น โล่งขึ้น"
ชีวิตวัยรุ่นก็มี
แต่โอกาสก็ไม่ทิ้ง
วันที่ให้สัมภาษณ์นายมีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ นับถึงช่วงเวลาที่เข้าวงการก็ประมาณ 5 ปี หมายถึงช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ต้องเรียน ทำงานและใช้ชีวิตกับเพื่อนของณภัทร เสียงสมบุญ หายไปหรือไม่?
...
"เวลาไปพักผ่อน ผมก็เต็มที่ที่สุดนะ มีเวลาแฮงเอาต์กับเพื่อนๆ นะ แต่ผมเป็นคนบ้างาน ชอบทำงานมาก ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกว่าขาดช่วงชีวิตวัยรุ่นไปนะ ไม่ได้อิจฉาอะไรเพื่อนๆ หรอก (ยิ้ม)
เรียกว่าผมมีความรับผิดชอบมากแล้วกัน ผมทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แต่การที่ผมต้องร่วมงานกับกองละคร ออกกองละคร มีคนอีกเป็นร้อยชีวิตที่ทำงานด้วย ผมก็ต้องมีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ของตัวเองตลอด ถ้าพรุ่งนี้เราทำงาน คืนนี้เราก็ไม่สามารถออกไปเที่ยวได้ แม้บางทีจองตั๋วไปเที่ยวต่างประเทศไว้ มีงานมีโอกาสที่ท้าทายเข้ามา เราก็ต้องเลือกหน้าที่ของเราไว้ก่อน
แต่การไปผับไปเที่ยวกลางคืน ผมไม่ไปนะ ผมไม่ชอบอารมณ์นั้น เป็นคนเต้นห่วยมาก (หัวเราะ)"
ลูกดาราคือความกดดัน
ภาพภายนอกเราเห็นนาย ณภัทร รูปร่างหน้าตาฟ้าประทาน การศึกษาชั้นเลิศ เป็นที่รักของแฟนคลับ และเป็นลูกที่มีคุณแม่รักและห่วงใย คอยดูแลใกล้ชิด แต่เขากลับมองตัวเองไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ เคยมีช่วงเวลาลำบากที่ทุกวันนี้ยังจำฝังใจ
"ผมไม่สามารถเปรียบเทียบกับใครว่าใครลำบากกว่าหรือน้อยกว่า ถ้าพูดในมุมมองของลูกแม่หมู (พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ) บอกได้เลยนี่คือความลำบาก แม่เขาทำงานคนเดียว ขับรถไปทำงานเป็นชั่วโมง ถ่ายละครตั้งแต่ตีห้า เสร็จกลับบ้านห้าทุ่ม นอนวันละสามชั่วโมง หาเงินมาเลี้ยงดูส่งผมไปโรงเรียน มีทั้งค่ากิน ค่าเทอม ค่ากิจกรรม ทุกอย่างในชีวิตผม แม่ทำทุกอย่างคนเดียว
ทุกคนมีความเครียด แต่แม่เขาก็โชว์ให้ผมดูว่า แม่แฮปปี้ แม่โอเค แต่พอเราโตสัก 14-15 ปี มีช่วงนึงเหมือนแม่จะมีเงินในธนาคารหลักหมื่น ที่จะประคองชีวิตครอบครัวในตอนนั้นผมก็เรียนโรงเรียนนานาชาติอยู่ ในตอนนั้นผมเลยรู้สึกว่า จะไม่ร้องไห้ จะหาวิธีให้แม่ไม่เหนื่อยมาก เราเลี้ยงตัวเองได้ มันลำบากครับในตอนนั้นแต่เป็นความลำบากที่มีความสุขนะ (ยิ้ม)"
เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ยังจำไม่ลืม แม้มันจะผ่านมานานหลายปีแล้ว
"เป็นมื้ออาหารที่ผมจำได้ไม่มีวันลืม ผมไปกินอาหารญี่ปุ่นกับแม่ ซึ่งไม่เคยได้กินดีแบบนี้มาก่อน แม่สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะเลย ทุกทีเราจะสั่งแค่คนละจาน เราต้องประหยัดไว้ก่อน ผมรู้สึกไม่ดีเลยมื้อนั้น ผมพูดกับแม่ว่า 'รู้สึกไม่ดีเลยที่จะกินอาหารตรงหน้า' ในขณะที่แม่แฮปปี้ลันล้า แม่ก็เลยบอกผมว่า เป็นเพราะแม่ทำงานหนักแล้วแม่คู่ควรที่จะกินในมื้อนั้น ในขณะที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ผมก็เลยเห็นตาม หลังจากนั้นก็สบายใจกล้ากิน"
ชื่อเสียงกำลังมา
ทำไมไม่กอบโกย
นักแสดง ณภัทร เสียงสมบุญ เข้าวงการบันเทิงมาแล้ว 6 ปี เล่นภาพยนตร์ 2 เรื่อง ละคร 3 เรื่อง ทั้งที่เป็นช่วงเวลาที่มีชื่อเสียง เขากลับไม่ได้มองเป็นโอกาสที่จะเร่งทำงานให้หนัก เก็บเงินให้มาก แต่เลือกทุกอย่างที่พอดี และตั้งใจกับผลงานให้มากที่สุด
...
"ผมว่าไม่ได้รู้สึกว่าน้อยหรือหนักเกินไป มันพอดี ผมรักการแสดงนะ แต่มันต้องมีบาลานซ์ ผมต้องมีเวลาให้ครอบครัว ผมต้องมีชีวิตวัยรุ่น และคุณแม่ผมก็น่ารัก เขาไม่ได้เห็นแก่ชื่อเสียงเงินทองขนาดนั้น เขาเห็นว่าผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องเติบโต เพราะฉะนั้นการแสดงทุกเรื่อง ผมจึงมีเวลาผลิต ค่อยๆ ปั้น ละเมียดไปทีละเรื่องให้เต็มที่ที่สุด
ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง เวลาผมทำงาน ผมต้องมั่นใจว่ารับผิดชอบมันได้ 100% เราต้องมีเวลานอนพอ เพราะงานของผมมันใช้ผิวพรรณ ใช้ร่างกาย หมายความเราต้องดูแลสิ่งเหล่านี้ให้ดี มันคือเครื่องมือทำมาหากินของเรา
ในเชิงธุรกิจ ผมก็อยากกอบโกยนะ แต่มันต้องดูด้วย มันเยอะไปไหม สุขภาพเราโอเคหรือเปล่า สุขภาพจิต มีเวลาให้แม่และครอบครัวหรือเปล่า มันไม่ได้แบบรับงานมาเรื่อยๆ ผมไม่ได้โลภนะ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องมีเงินเยอะๆ เราแค่มีกินพอใช้ มันโอเคมาก"
เขาเห็นอาชีพนักแสดงไม่ใช่เพื่อเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียว แต่มันสามารถช่วยผู้อื่นได้ด้วย
"สิ่งที่ผมรู้สึกดีกับอาชีพนักแสดง เป็นผลพลอยได้หลักๆ มันไม่ใช่เรื่องเงินทอง แต่เป็นการได้ช่วยเหลือผู้อื่น มันมีประโยชน์กับส่วนรวมมากกว่า ทุกปีผมพยายามทำ CSR เอาผลงานดีไซน์ของผมมาขายเพื่อทำช่วยเหลือสังคม และได้เอา Passion ของตัวเองมาช่วยคน และการที่ได้ช่วยคน จะเล็กน้อย แต่ผมแฮปปี้มากนะ เพราะเราเคยลำบาก มันรันทด สมองมันมืดแปดด้าน แต่พอเราได้ช่วยคนอื่นที่เขาลำบาก เราได้แบ่งเบา เราเห็น reaction ได้เห็นคนมาขอบคุณเรา มันแบบโคตรมีความสุขเลย"
...
ใครบอกอาชีพนักแสดง 'สบาย'
จากผลการสำรวจอาชีพในฝันของเด็กในปัจจุบัน ผลโพลปรากฏว่า เด็กรุ่นใหม่อยากเป็นนักแสดง นักร้องและคนดังกันมาก เนื่องด้วยมันสบาย ทำงานง่ายและได้เงินมาก แต่สำหรับนาย ณภัทร กลับมีความเห็นที่ต่างออกไป ในฐานะคนมีประสบการณ์
"อาชีพนักแสดงไม่สบายเลย ทุกวันนี้ผมก็ไม่สบาย มันมีหลายอย่างให้ตีความ เราต้องฟังคำวิจารณ์เพราะเราอยู่ในพื้นที่ที่ทุกคนมองเห็น เราต้องรับคำวิจารณ์ ปรับความคิดของเราเหมือนเราเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้วตลอดเวลา"
...
ในอีกมุมของการทำงาน นายเล่าให้ฟังแล้วต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ทุกวัน กิจวัตรประจำวันแต่ละวัน จันทร์ อังคาร พุธ ถ่ายละคร พฤหัสฯ ศุกร์เพื่อรับงานอื่นๆ วันเสาร์พักผ่อน วันอาทิตย์ต้องทำการบ้าน อ่านบทละครทำความเข้าใจ วันที่ไปถ่ายละครจะมีเวลานอนเพียง 3-4 ชั่วโมง ยิ่งวันไหนออกกองละคร เจอโลเคชันลำบาก ก็ต้องนั่งกินข้าวกล่องในดงหญ้า ชีวิตมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวัน ขึ้นอยู่กับว่าเรารับสภาพกับมันได้มากแค่ไหน
"การอดทนมันคือกุญแจสำคัญในชีวิตเรา ยิ่งอยู่ในวงการนี้เราต้องยอมรับแต่ไม่ยอมแพ้ แพ้ไม่ได้เลยต้องทำให้มันดีกว่าเดิม แล้วก็มันไม่ได้สบายอย่างที่ทุกคนคิด สรุปคือไม่มีอาชีพไหนที่มันสบาย ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ในชีวิต"
ดาราดัง ต้องมีข่าวฉาว
คนจะดังต้องมีข่าว ยิ่งเป็นข่าวฉาวกระแสร้อน ยิ่งทำให้ชื่อกลายเป็นเทรนด์ฮิตคนรู้จักมากขึ้น สำหรับนักแสดงวัย 25 ปีผู้นี้มองการสร้างข่าวในทางลบได้น่าสนใจทีเดียว
"ผมไม่ได้ไม่เชื่อหรือเชื่อกับการสร้างกระแส แต่ผมเน้นเรื่องการแสดง
คุณภาพของงานที่ออกมา มันต้องโอเคในระยะยาว
ผมรู้สึกว่า การทำข่าวขึ้นมา มันฉาบฉวยไปหน่อย ผมเห็นแม่ผมทำอาชีพนักแสดงเพื่อหล่อเลี้ยงผมมา มันคืออาชีพที่ทรงเกียรติ ทุกวันนี้หน้าที่ของผมคือทำการแสดง และได้ช่วยเหลือผู้อื่น ผมไม่เคยคิดสร้างกระแสให้เป็นข่าวดัง ไม่มีข่าวพาสาวขึ้นคอนโดฯ หรือจับมือสาวไปกินข้าวที่สยาม แต่ถ้าจะมี ผมจะปรึกษาพี่หนุ่ม กรรชัย (หัวเราะ)"
วันที่หลงระเริงในชื่อเสียง
เขายอมรับว่าเคยมีช่วงเวลาหลงระเริงกับชื่อเสียง อาจจะเป็นที่วิธีการแสดง ท่าทีของเรา ซึ่งหายไปเมื่อแม่ด่า (หัวเราะ) แม่คือคนที่ใกล้ชิดและมีหน้าที่สั่งสอนเรา และโชคดีที่นายเชื่อฟัง
ประสบการณ์รัก
ผิดหวัง กอดคอร้องไห้
"ผมเคยอกหัก" เมื่อเราถามถึงความรักในอดีต เขาเริ่มด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกำลังนึกย้อนไปถึงช่วงที่ยังไม่ได้เข้าวงการบันเทิง
"วันนั้นเรากอดคอกันร้องไห้ เพราะช่วงนั้นเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยแล้วงานหนักมาก อีกฝ่ายหนึ่งก็น่ารักนะ เขาจริงใจน่ารักมากๆ มีเหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ ผมโชคดีที่เจอคนแบบนี้" แม้ความรักนั้นจะเป็นเพียง Puppy Love ช่วงหนึ่งของชีวิตแต่เขาก็จำได้เสมอ แต่ในปัจจุบันนายไม่กล้าที่จะรักใคร คบใคร ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้ไม่มีเวลาจะทุ่มเทให้ใคร หากคบกันแล้วอีกฝ่ายต้องรอและเสียใจ เขาขออยู่คนเดียวดีกว่า
เขาคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยคำตอบว่านาย เป็นคนเจ้าชู้หรือเปล่า?
"(อึกอัก) ผมรู้ว่าอะไรที่ควรทำไม่ควรทำ ผมชอบผู้หญิงสวย น่ารัก ดูแลตัวเองดี เป็นผู้ชายปกติแหละ แต่เราไม่ได้สร้างโอกาสให้เขารู้ว่าเราเข้าหา ถ้าผูกพันกันแล้วผมไปทิ้งเขา อันนี้ผมไม่เคยทำแบบนี้เลยในชีวิต เขาเรียกว่าเจ้าชู้ไหม เวลาเจอผู้หญิงสวย อูย ผมชอบสวย อยากคุย แต่ไม่ได้ชอบเชิงเข้าหา เชิงทางเพศ เชิงเสน่หาอะไรขนาดนั้น
ผมมองว่าอารมณ์ทางเพศเป็นเรื่องปกตินะ ผมเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็ก เขาสอน Sex Education ตั้งแต่เด็กเลย มันคือเรื่องปกติของการมีชีวิตคู่ด้วยซ้ำ แม่ผมก็สอน มันคือเรื่องน่าอายผมก็เข้าใจนะ"
นายเล่าเสริมว่า ถึงขนาดแม่หมูถามว่าใส่ถุงยางเป็นไหม ซึ่งเขาก็ตอบไปเรียบๆ ว่า โรงเรียนสอนมาแล้ว โดยทดลองใส่กับกล้วยให้เห็นภาพจริง (นายหัวเราะ) แต่ที่เขาเน้นย้ำคือการให้เกียรติคู่ตรงข้ามเสมอ
ภาพฝันวันแต่งงาน
บทสัมภาษณ์หลังจากนี้ เราจะถอดความชนิดคำต่อคำ ไม่อยากตัดต่อเติมแต่ง เตือนก่อนว่ามันฟินมากกกก เรื่องราวความรักคู่จิ้นในจอ และแฟนๆ ฝันอยากเห็นทั้งคู่เป็นคู่จริงนอกจอ
Thairath Talk : มีภาพตัวเองแต่งงานไหม
ก็มีภาพตัวเองแต่งงานบ้างนะ ผมใส่สูทแต่ไม่รู้เจ้าสาวเป็นใคร
Thairath Talk : เจ้าสาวเป็นใบเฟิร์นไหม คุณจีบกันหรือยัง
พูดเหมือนแม่ผมเลย ใช่ครับ เขาเป็นหนึ่งในมิตรแท้ของผม ซึ่งมันหาได้ยากมากเลยนะ เหมือนเราเจอกันจากภาพยนตร์ ผมโดนสะกดจิตให้เป็นเพื่อนไปแล้ว เขามีแต่ความหวังดีให้ผม มีอะไรก็ปรึกษากัน เป็นเหมือนพาร์ตเนอร์ที่ดีเยี่ยมมากๆ ก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้มันโอเคมากๆ
ผมมองเขาเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ไม่เคยคิดในเชิงชู้สาวหรืออะไร แต่ในอนาคตผมไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้นะ และไม่ได้บอกว่ามีทางหรือไม่มีทาง เดี๋ยววันหน้าเกิดอะไรขึ้น สัมภาษณ์ไปวันนี้ผมก็เสียหมาสิ ผมพูดไปแบบนี้ แต่วันนี้ที่ทำงานด้วยกัน มันแฮปปี้มากๆ เราได้ช่วยงาน ไว้ใจกัน และเข้าฉากแบบถึงเนื้อถึงตัว ก็มีแต่ความไว้ใจกัน
Thairath Talk : ไม่ใช่พูดว่า วันนี้ใบเฟิร์นไม่ใช่แฟน แล้วแอบคบกันแล้ว
ไม่มีๆ ไม่มีในเชิงชู้สาว เราเป็นเพื่อนที่เป็นมิตรแท้ มีอะไรเขาก็พูดกับผมตรงๆ เขาเป็นห่วงผมก็โทร.มา ผมเป็นห่วงเขาก็โทร.ไป มันคือเพื่อน แต่คนนี้คือเพื่อนที่ดีของผมในวงการบันเทิงเลย
Thairath Talk : เขามาปรึกษาเรื่องผู้ชายกับเราไหม
มีครับ (หัวเราะ)
Thairath Talk : ปัจจุบันเขามีแฟนไหม
ไม่มี เขาโสดมาก (ยิ้ม)
ความสัมพันธ์แม้มันจะชัดเจนในรูปแบบเพื่อนในตอนนี้ แต่จากที่นายไม่ยืนยันอนาคต แฟนคลับอย่างเรา ก็ได้ลุ้นให้ทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนไปเป็น... ในเร็ววัน!
ผู้เขียน : Bouquet Talk