- เปิดตัวสามีแห่งชาติคนใหม่ ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล กับชีวิตกว่าจะดัง ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
- ชีวิตวัยเด็กที่ไม่ได้ร่ำรวยของก๊อต แต่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่มองเห็นคุณค่าของมนุษย์
- Passion ที่อยากเป็นนักแสดง แต่ไม่ได้อยากเป็นดารา ทำให้ก๊อตไม่ดัง แม้จะมีผลงานในวงการบันเทิงมาหลายปี
"พร้อมแล้วใช่ไหม" ประโยคคำถามกึ่งปลอบโยนของอำพนพูดกับน้ำพิงค์ในเรื่องกระเช้าสีดา (ตอนที่ 12 นาทีที่ 18.34) ก่อนเข้าฉากสะเทือนอารมณ์ที่ชมรมเมียหลวงต้องปรบมือกันเกรียว บทบาทที่ทำให้ผู้หญิงค่อนประเทศอินจนอยากได้อำพนมาอยู่ข้างกาย ทำให้ ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล ขึ้นแท่นดาราชายในฝัน สามีแห่งชาติอีกคนในวงการบันเทิง
แท้จริงแล้วก๊อตเคยฝากผลงานการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง เช่น บุพเพสันนิวาส, ชาติพยัคฆ์, คมแฝก แต่ไม่ได้เข้าตาถึงขนาดเรียกว่าเป็นพระเอกเบอร์ต้นของช่อง เหตุผลที่เขารู้ตัวดีว่ามาจากตัวเขาเอง ซึ่งเคยมาเปิดใจในรายการ Thairath Talk เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2563 ความคิดอีกมุมของผู้ชายคนหนึ่ง กะเทาะความจริงในวงการบันเทิง
...
"ผมอยากเป็นนักแสดง นี่เป็นทัศนคติที่ทำให้ผมไม่ดังก่อนหน้านี้ในประเทศไทย เพราะว่าผมไม่สนใจเรื่องอีเวนต์อะไรเลย ผมแสดงอย่างเดียว จนวันนึง ตอนนั้นเล่นชาติพยัคฆ์ แล้วผมรู้สึกชัดเจน มันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป เราปฏิเสธสิ่งที่มาคู่กันไม่ได้ ก็เลยค่อยๆ ปรับตัว ค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตบ้าง
ตอนแรกผมไม่ชอบออกงานอีเวนต์เลย ไม่ชอบเพราะมันไม่ใช่ตัวเรา ผมรู้สึกว่าผมชอบการแสดง ชอบกระบวนการทำงาน แล้วนั่นเป็นเรื่องของผมที่ผมต้องใส่ใจนอกเหนือกว่านั้น ผมไม่สนใจ แต่ปัจจุบันนี้ผมเปลี่ยนมุมคิดใหม่ การที่ผมได้ไปออกอีเวนต์หรือการที่ผมได้ไปเจอคน มันก็เป็นการพบปะกับคนที่ได้เสพงานของเรา แล้วมันจะมีข้อเสียตรงไหน พอมันโตขึ้นจะคิดกว้างและลึกลง แต่ตอนเป็นเด็กเนี่ย เอาตัวเองเป็นหลัก ก็กูอยากทำแค่นี้"
วิถีดารา
"ผมเสแสร้ง"
เราถามว่าการอยู่ต่อหน้ากล้องและไมค์ของนักข่าวเวลาสัมภาษณ์หน้าแบ็กดรอป ช่วงเวลานั้นก๊อตคิดอะไรอยู่ ก๊อตนิ่งสักพักก่อนตอบว่า
"ผมเสแสร้งครับ ผมเชื่อว่าสื่อมีชุดคำถามเดิมอยู่แล้ว เป็นยังไงช่วงนี้ ยากไหมการทำงาน รู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ประมาณนั้น การตอบกลับของผม ผมยอมรับผมเสแสร้ง ผมต้องประคองความรู้สึกว่ามันมีคำถามที่ดีกว่านี้ไหมว้า มีคำถามที่เป็นประโยชน์ต่อคนฟังไหมน้า มันเป็นเพราะผู้ฟังอยากฟังเรื่องนี้ หรือว่าเพราะนักข่าวยัดเยียดให้เขาต้องรู้เรื่องนี้ มันเกิดการตั้งคำถามนี้อยู่
สุดท้ายแล้วพอเราอยู่ตรงนั้นจริงๆ เราต้องจัดการกับสถานการณ์ตรงนั้นให้ได้ เอาจริงๆเรายังมีความกลัวการวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นอยู่ เราต้องกล้าที่จะยอมรับ บางทีมันบั่นทอนจิตใจ ที่จะให้ผู้คนที่ไม่รู้จักเรามาตัดสินเรา"
ชีวิตเคยหลงระเริง 'ตัวกูของกู'
หลายคนคงคิดเช่นเดียวกันว่าเพราะนักแสดงหนุ่มผู้นี้หลงระเริงกับความสามารถหรือเปล่า ซึ่งเขายอมรับว่าเคยมี แต่หากรู้สึกตัวเองว่ากำลังเป็น ก็จะรีบแก้ไขตัวเอง ใช้เวลามากบ้างน้อยบ้าง ก็ต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม
"เรามีฉัน เรามีกู เรามีของกู ถ้าเราบอกเราไม่มีอีโก้ก็คงเป็นการตลบตะแลงจนเกินไป" เขากล่าวทิ้งท้ายอย่างนั้น
ทำงานเกินเงินเดือน
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าในการเล่นละครของก๊อตแต่ละเรื่อง เราอินกับบทบาทของเขาสุดพลัง ทั้งแววตา สีหน้า คำพูด จังหวะการพูดจะเปลี่ยนไปตามบทที่ได้รับ
...
"หนึ่งในนิสัยที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้คือนิสัยทำงานเกินเงินเดือน ทำการบ้านซะพันนึง เล่นให้พอดีกับบทที่ได้ เบื้องหลังที่ไม่มีคนเห็นก็ซ้อมๆๆๆ ตอนผมเล่นคมแฝก ผมหิ้วคมแฝกไปฟิตเนสทุกวัน หลังจากออกกำลังกายเสร็จ ผมซ้อมคมแฝก ยังไงถ้าผมซ้อมตีเกินหมื่นทียังไงอยู่ในกล้องมันน่าจะสวย การซ้อมจะทำให้เราไปกองด้วยความมั่นใจ"
ชีวิตวัยเด็ก
ไม่สน รวย-จน
จิรายุ ตันตระกูล ในวัย 32 ปี เล่าย้อนถึงช่วงเวลาวัยเด็กที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน เขาได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวใหญ่ ญาติเป็นสิบคน มีลูกพี่ลูกน้องสองคนมาอยู่ในผ้าห่มเดียวกัน คุณยายต้องไปขอผ้ามาจากร้านตัดผ้าแล้วมาปะให้เป็นผืนใหญ่ และหลานสี่คนก็นอนด้วยกัน ส่วนลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงอีกสองคนก็แยกอีกห้องไป
...
แม้ไม่ได้ร่ำรวย เรียกว่าเกือบจนยังได้ แต่ตอนเด็กเขาไม่สนใจเรื่องความรวยความจน เราสนใจแค่ว่าเราสนุกยังไง เราอยู่ยังไง เรากินยังไง ครอบครัวใหญ่มันทำให้เราเห็นคุณค่าความเป็นครอบครัว มันทำให้รู้สึกว่าผมกับน้องชายเนี่ยนอนคว่ำหน้าผลัดกันเกาหลัง ส่วนอีกสองคน ก็นอนห่างๆ เพราะอีกคนนึงกรน เป็นความสุขอย่างหนึ่ง และสอนให้เรารู้จักดูแลคนอื่นด้วย
ผมมันคนแปลกแยก
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเกิดคำถามในใจ ก๊อต จิรายุ มีสำนวนภาษาสวยงาม มีคำศัพท์ที่หลายคนคาดไม่ถึง แถมความคิดของเขาก็เดาคำตอบไม่ได้จริงๆ
"ผมแปลกแยกครับ มีบางครั้งที่ผมชอบแยกไปอยู่คนเดียว ถ้าอยู่ร่วมกับคนที่คิดใกล้ๆ กันไม่ได้ อยู่คนเดียวดีกว่า เพราะว่าวันที่เราต้องการจะสร้างตัวเองเนี่ย บางทีความคิดด้านลบของคนที่ไม่คุ้นชินกับการคิดบวกมันบั่นทอน เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างและสะสมศิลปะในการอดทน และเราต้องเข้าใจว่าที่เขาคิดลบและคิดด้านบวกไม่ได้ มันมีสาเหตุซึ่งเราเข้าใจและเพราะอะไร"
แม้บางคำตอบที่ก๊อตตอบมา เราอาจเข้าไม่ถึง ไม่เก็ตนั่นแหละพูดง่ายๆ แต่เราสัมผัสได้อย่างหนึ่งว่าเขาเป็นต้นแบบของความกล้า กล้าที่จะยืนหยัดเป็นตัวเอง กล้าที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ซึ่งวันนี้เขาพิสูจน์แล้ว แม้จะไม่เหมือนใคร แม้จะแปลกแยกอย่างที่เขายอมรับ แต่ฝีมือการแสดงเป็นภาษาที่สื่อออกมาจับใจคนทั้งประเทศได้ตรงกัน
...
ชมคลิป
ผู้เขียน : Bouquet Talk
กราฟิก : Sathit Chuephanngam