ร้องเพลงได้ เล่นไวโอลินได้ และเป็นดาราเจ้าบทบาท ทุกคุณสมบัตินี้เป็นของนางเอกช่อง 3 ปราง กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล ที่โด่งดังมาจากบท แม่หญิงจันทร์วาดในเรื่อง บุพเพสันนิวาส แต่ใครจะรู้กันว่าเบื้องลึกชีวิตของปรางที่แสนเพอร์เฟกต์ กลับมีความยากลำบาก ที่พอเจ้าตัวเล่า น้ำตาก็พร้อมไหลออกมาทันที

"ที่เข้าวงการบันเทิงมาประกวดมิสทีนไทยแลนด์เพราะหนูอยากขึ้นเครื่องบิน"

เธอเล่าอย่างนั้นด้วยรอยยิ้ม ขณะนึกถึงอดีตที่ดูเศร้า เพราะเส้นทางที่เลือกในตอนแรกไม่ใช่ตัวตนของปรางเลย เธอยอมรับว่าเป็นคนเรียบร้อยมาก ขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก อาชีพนักแสดงจึงไม่ใช่จุดหมายชีวิตที่วางไว้ แต่เพื่อรายได้และครอบครัว ปรางก็ต้องเลือก แต่เท่าที่เห็นก็เป็นเส้นทางที่ดูจะเลือกไม่ผิดจริงๆ 

“จริงๆ บ้านปรางฐานะไม่ค่อยดีเท่าไรค่ะ จนมาถึงทุกวันนี้พอเรียนจบมาแล้ว เพิ่งมารู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่มีเงินเก็บในบัญชีเลยค่ะ (น้ำตาคลอ) เคยถามคุณพ่อคุณแม่ว่า อยากได้บ้านเดี่ยวจังเลย แต่เขาทั้งสองคนไม่มีเพราะเงินทั้งหมดไปกับค่าเทอมหมดแล้ว (น้ำตาไหล) ก็เลยรู้ว่าเพิ่งเข้าใจว่าไม่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นการที่มีวันนี้ได้ เราก็ภูมิใจมากค่ะ

...

มีคนถามปรางว่า ทำไมปรางถึงเรียนเก่งขนาดนั้น และทำกิจกรรมเยอะๆ ได้ ส่วนนึงมาจากครอบครัวไม่ได้ฐานะดีมาก แต่เขาเห็นว่าเราชอบเรียน เขาก็เลยส่งเราเรียนในที่แพง เลยทำให้เราต้องตั้งใจเรียนตอบแทน เพราะเรารู้ว่าเงินทุกบาทมันหามายากมาก เราเลยไม่กล้าขาดเรียนเลย"

จุดเปลี่ยนเข้าวงการ

Thairath Talk : คุณเข้าวงการมาได้อย่างไรครับ

เจอแมวมองให้ไปแคสต์โฆษณาอะไรไป ตอนนั้นรู้สึกว่าแม่เลี้ยงเราในกรอบจังเลย อยากไปโน่นไปนี่บ้าง ซึ่ง ณ เวลานั้นมีประกวดมิสทีนไทยแลนด์ไปเก็บตัวที่สมุย เลยรีบสมัครเลย เพราะไม่เคยนั่งเครื่องบิน และนั่นคือครั้งแรกที่ปรางได้ขึ้นเครื่องบิน แต่เราก็ไม่ได้ตำแหน่ง และก็เริ่มมีงานให้เราไปแคสต์เรื่อยๆ แล้วก็ได้มาเล่นละครที่ช่อง 3 ค่ะ

Thairath Talk : เคยมีช่วงเวลาท้อแท้ไหมครับ

หนูแคสต์โฆษณาเยอะมาก มีได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เวลาได้งาน ค่าตัวก็เยอะค่ะ เราก็พยายาม จนแม่ปรางพูดมาคำนึงว่า “ลูกถ้าไม่ไหวต้องทำนะ แม่เลี้ยงได้” ด้วยความที่ปรางเรียบร้อย เขาสั่งให้แอ็กติ้ง ปรางทำไม่ได้อะ ต้องวิ่งไปกรี๊ด แต่คุณพ่อคุณแม่เป็นแรงผลักดันที่ปรางต้องทำให้ได้ ปรางก็เลยฝึกๆๆ มาเรื่อยๆ

Thairath Talk : ตลอดเวลา 10 ปีในวงการบันเทิงของปราง มีเรื่องไหนเป็นมาสเตอร์พีซ

ต้องยกให้ ‘บุพเพสันนิวาส’ ดีใจมากค่ะที่ทำให้หันมาชอบความเป็นไทย และชอบความหน้าไทยของเรา

Thairath Talk : มันทำให้ชีวิตของเราพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยใช่ไหม 

นอกจากมีงานมากขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้น ด้านชีวิตคือตอนนั้นเพิ่งซื้อบ้านค่ะ แต่ว่าซื้อก่อนละครจะดัง เพราะเริ่มถึงจุดที่คุณพ่อไม่สบาย เริ่มมีปัญหาสุขภาพ เราก็เลยอยากซื้อบ้าน ซื้อไปก่อน ซื้อจนเงินแทบหมดบัญชี ซึ่งโชคดีมากละครมันดัง เลยได้ทำทุกอย่างตามฝัน ได้พาที่บ้านไปเที่ยวด้วยกัน นั่นคือที่สุดในชีวิตหนู

Thairath Talk : ในช่วงเวลาที่เราไม่ดังซะที มันท้อแท้ไหมครับ

แน่นอนทุกคนที่เป็นนักแสดงต้องอยากให้ผลงานตัวเองออกมามีคนชื่นชอบ ก้าวเข้ามาแล้วก็อยากมีชื่อเสียงแบบคนนั้นคนนี้ และการทำงานในวงการมันเหนื่อยมากค่ะ เหนื่อยจริงๆ ไหนจะชีวิตส่วนตัวที่เราต้องเสียสละไปอีก ปรางว่าเป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก

...

Thairath Talk : เราฝันไหมคะว่าเราจะเป็นนางเอกเบอร์ 1

หนูอยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง อยากให้คนมาชมว่าเล่นบทนี้แล้วเก่งมาก พูดจริงๆ ไม่ได้อยากเป็นดารา ขอแค่คนพูดถึงฉากที่เราแสดงฉากเดียวก็ดีใจมาก หนูอยากเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ

นิยามรัก

ปราง กัญญ์ณรัณ

Thairath Talk : นิยามความรักสมัยนี้กับสมัยก่อน ต่างกันอย่างไรสำหรับตัวปราง

เหมือนเดิมค่ะ สำหรับปรางความรักคือส่วนนึงของชีวิต ปรางให้ความสำคัญกับความรักมากไม่ว่าจะความรักแบบไหน เป็นกำลังใจที่ดีในชีวิต ไม่ว่าเราจะได้รับอะไรกลับมาจากความรักนั้น ปรางก็ยังมองว่ามันสวยงามเสมอ

...

Thairath Talk : เคยมีแฟนมาก่อนไหมคะ ในเมื่อคุณเป็นสาวเรียบร้อยมาก

ด้วยความที่เรียบร้อยมาก และคุณแม่ก็ขอไว้อย่าเพิ่งมีแฟน ก็เชื่อฟังค่ะ จนเกือบเรียนจบมหาวิทยาลัยเลยค่ะถึงได้มีแฟน ก็คือ คุณโต้ง (พิทวัส พฤกษกิจ หรือ โต้ง Twopee) นี่แหละค่ะ (หัวเราะเขิน)

Thairath Talk : ระหว่างนั้นไม่รู้สึกว่าขาด หรือเหงาบ้างเหรอคะ ก่อนที่จะคบคุณโต้ง

ระหว่างนั้นก็มีคนมาจีบค่ะ มีมาตลอด แต่ปรางมองว่ามันคือ Puppy Love ที่เราทำได้มากที่สุดคือเวลามีคนมาจีบ ในยุคนั้นคือ MSN ก็แค่ให้อีเมล ถ้าเราไม่ออนก็ไม่เป็นไร เราให้ได้ แค่เราไม่คุย ถ้าคุยก็คุยนิดหน่อย ไม่เคยออกเดตกับใคร ส่วนมากคุยด้วยแป๊บเดียวเขาก็ไป เพราะเขาขอเบอร์เท่าไรหนูก็ไม่ให้

แต่เราเองก็รู้สึกว่าไม่ได้อยากมีแฟน ที่บ้านก็ลำบาก ไหนจะเรียน ไหนจะเรียนร้องเพลง ไหนจะเรียนไวโอลิน ชีวิตมีความสุข พอครอบครัวอบอุ่นมากๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไร

Thairath Talk : แล้วใจมันเปิดให้โต้งยังไงคะ จากที่ไม่เคยมีแฟนเป็นจริงเป็นจัง

...

โต้งโชคดี มาในช่วงที่ปรางโตแล้ว แล้วเราก็รับผิดชอบทุกอย่างดี เราเลยรู้สึกว่าพ่อแม่น่าจะโอเคแล้วล่ะ และเราเองก็อยากโตขึ้น อยากเรียนรู้ ปรางก็รู้สึกว่าอายุขนาดนี้ยังไม่มีแฟนก็แปลก เพื่อนก็งงแล้วนะ (กรอกตา) คนมาจีบก็ไม่เคยให้เบอร์เลย ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ให้เลย

ขนาดโต้งมาจีบผ่านเพื่อนที่มหาวิทยาลัย เพราะเขาเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปรางอยู่มหาวิทยาลัยมหิดล พอโต้งบอกจะจีบปราง เพื่อนเขาบอกโต้งว่า ‘โอ๊ย อย่าไปจีบเลย ไม่มีใครได้เบอร์เลย เขาเรียนเสร็จแม่ก็มารับ จะไปจีบยังไงติด’

แต่ด้วยความที่คุณโต้งเพื่อนเยอะมาก และเพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนปรางที่เรียนห้องเดียวกันกับปราง โต้งเลยพยายามใช้มือถือของเพื่อนคนนี้ส่งข้อความมา ซึ่งก็แนะนำตัวว่าเราเคยเจอกันตามงานด้วย ครั้งแรกที่เจอกันในงานของไทยรัฐด้วย (หัวเราะ)

Thairath Talk : หลังจากนั้นเราสานต่ออย่างไร

ก็คุยมาเรื่อยๆ มันมาถึงจุดที่หนูอยากลองจะเปิดใจกับใครดู ซึ่งเขามาจีบอยู่ตอนนั้นพอดี

Thairath Talk : แล้วตกลงเป็นแฟนกันได้ยังไงคะ เพราะชีวิตดูแตกต่างกันมาก คุณอยู่ในกฎระเบียบ อีกคนก็เฮ้วเลย

กลายเป็นว่าโลกที่เขาอยู่กับโลกที่เราอยู่ เป็นโลกที่ทั้งเราและเขาไม่เคยเจอ เลยได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าโลกของหนูน่าสนใจสำหรับเขา และโลกของเขาก็น่าสนใจมากสำหรับหนู ต้องยอมรับว่าตลอดเวลาที่คบกันก็ปรับตัวกันมาตลอด

วันที่เลิกกัน

“คบกันมา 4 ปี เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เป็นความรักวัยใส แฟนคนแรกและเขาเป็นคนโรแมนติก แต่โลกของเรามันต่างกันมาก เหมือนปรับจูนกันตลอด แต่ปรางเลิกกับเขาเพราะปรางยังมีอะไรอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องทำอีกมาก ปรางไม่ไหวจะมาพยายามจูนแล้ว ซึ่งไม่ได้มีเรื่องมือที่สามหรือใครผิด เป็นปรางเองที่ตัดสินใจว่าฉันมีความฝันที่เยอะแยะที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าต้องมาพยายามปรับอีก ความฝันมันก็อาจจะเลือนลางไป เลยรู้สึกว่าขอแยกกันดีกว่า”

Thairath Talk : เลิกกันไป 2 ปี?

เหมือนจะเลิกกันด้วยดี แต่เป็นเวลา 2 ปีที่ไม่คุยกันเลย ตอนแรกไม่ได้คาดหวังให้มันเป็นแบบนั้น อาจจะเพราะเราตัดสัมพันธ์แบบที่ไม่ได้ทะเลาะกัน กลายเป็นไม่ได้คุยกันเลยสองปี ไม่ได้โกรธกัน ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลย แต่ตอนนี้เราก็เริ่มทำงานหนักแบบเต็ม ถ่ายละครหลายเรื่อง แต่ถามว่าความรู้สึกยังอยากเป็นเพื่อนกับเขา

Thairath Talk : หลังจากนั้นมาโคจรมาเจอกันได้อย่างไร

เป็นความคิดของเราว่ามัน 2 ปีแล้ว พอไม่ได้คุยกัน มันห่างเหินมาก ตอนที่ตัดสินใจแยกทางกัน เราหวังว่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือกันได้เสมอ แต่พอไม่ได้คุย เราแอบรู้สึกอึดอัดในใจว่าทำไมเป็นเพื่อนกันแบบคู่อื่นไม่ได้

และช่วงเวลานั้นการงานของเราก็ประสบความสำเร็จในระดับนึง เราก็เลย (นิ่งคิดสักครู่) หนูเนี่ยแหละค่ะเป็นคนส่งข้อความไปหาเขาเอง (หัวเราะชอบใจ) จริงๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขาบวชและเพิ่งสึกออกมา เราเลยอยากไปอนุโมทนาบุญกับเขา แต่พอหลังจากนั้นก็เริ่มได้คุยกัน หนูก็บอก “มันนานแล้วนะ เราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้” เขาก็ตอบกลับมาว่า เดี๋ยวไว้ไปกินข้าวกัน

Thairath Talk : หลังจากนั้นสานต่อยังไงจนกระทั่งเป็นแฟนอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2

พอเริ่มคุยกันมาเรื่อยๆ ก็ชวนไปรับประทานข้าวกัน ซึ่งใช้เวลาเกือบ 2-3 เดือนกว่าจะว่างตรงกัน ปรากฏว่าการไปกินข้าวครั้งนั้น กลายเป็นว่าได้คุยและเข้าใจทั้งหมดว่าปัญหามันคืออะไร ทำไมเราถึงไปต่อกันไม่ได้ เพราะวันที่เราบอกเลิก เราไม่ได้คุยกัน ต่างคนต่างหายกันไปเลย มีความไม่พอใจซึ่งกันและกันว่าทำไมต้องเลิกหรือเปล่า การกินข้าววันนั้นเลยทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น และปรางก็มีความสุขมาก เขาเองก็มีความสุขที่ได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูด

Thairath Talk : คุณรู้จัก คบกัน เลิกกัน และกลับมาคบกัน 10 ปีแล้วเหรอครับ

ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันก็ 10 ปีค่ะ หนูดีใจที่มันลงตัว แต่ต้องยอมรับว่าไม่ได้คาดหวังคบกันครั้งนี้ต้องผ่านอุปสรรคในใจมากเลยค่ะ มีความกลัว ไม่กล้า กลัวจะเป็นแบบเดิมหรือเปล่า

“มีคนถามปรางค่ะว่าทำไมถึงกลับมา ปรางเชื่อมั่นในความรักมากเลยค่ะ วันที่ได้กลับไปกินข้าวกับเขาวันนั้น ปรางรู้สึกว่าเขายังมีความรักให้กับปรางอยู่เต็มร้อยเลยค่ะ ถามปรางนะ ปรางคิดว่าการใช้ชีวิตคู่ สิ่งหนึ่งที่ต้องมีเป็นพื้นฐานเลยคือความรักค่ะ ไม่ใช่อาชีพ ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่สถานะทางสังคม แต่เป็นความรัก

ถามว่าตลอด 2 ปีไม่ใช่ไม่มีใครเข้ามาจีบปรางนะ แต่ไม่มีใครมาจากพื้นฐานจากความรักเลย มันเป็นเรื่องอื่นมากกว่า เป็นเรื่องของอาชีพ ความน่าสนใจในตัวเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผู้ชายคนนี้มีความรักเป็นพื้นฐานให้เราแบบเต็มมากๆ ปรางเชื่อว่าความรักมันชนะทุกอย่าง ทำให้เขาสามารถเปลี่ยน และเขาก็เปลี่ยน พยายามเปลี่ยนหลายอย่าง”

Thairath Talk : มีภาพฝันว่าจะแต่งงานไหมคะ

เป็นคนเชื่อมั่นในความรักมากค่ะ มองเห็นตัวเองอยากแต่งงาน มีภาพวาดฝันไว้ว่างานแต่งงานเป็นงานเล็กๆ จัดเล็กๆ มีแค่คนในครอบครัวที่สนิท อยากให้เป็นคนที่เรารักและเขาก็รักเราจริงๆ

Thairath Talk : มีระยะเวลากำหนดไหมคะว่าอีกกี่ปีเราจะเห็นปรางในพิธีวิวาห์

(ยิ้มเขิน) คงอีกสัก 2-3 ปีแหละค่ะ คาดหวังเอาไว้แบบนั้น 

ชมคลิปฉบับเต็ม

ผู้เขียน : Bouquet Talk

ภาพ : Sathit Chuephanngam