*เรื่องราวของ 'ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร' ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าวงการ เคยเกเร ไม่เรียนหนังสือ จากที่เคยเป็นเด็กเรียนดีติดอันดับของโรงเรียน
*สัจธรรมชีวิตของหนุ่มวัย 26 ปีคนนี้ หลังผ่านช่วงเวลาหลงระเริงกับชื่อเสียงจนทำเรื่องที่เสียใจกับคนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ
*กว่าจะเป็น ต่อ ธนภพ ต้องต่อสู้กับคำตำหนิจากคนที่ไม่รู้จักในโซเชียลมีเดีย ยอมรับตรงๆ กับพิธีกรจอมขยี้ว่ารู้สึกเสียใจและจิตตกอยู่ไม่น้อย
"ผมเตรียมเสื้อสีเขียวเมื่อคืนพอรู้ว่าต้องมารายการพวกพี่เลยนะ" ต่อ ธนภพ บอกกับทีม Thairath Talk ทันทีที่พบหน้ากัน ทำให้ทีมงานโดยเฉพาะสาวๆ ยิ้มแก้มแทบปริ เข้าใจเลยว่าทำไมชายหนุ่มวัย 26 ปีคนนี้เข้าวงการมา 9 ปี แต่มีคนรักและหลงเสน่ห์เพียงชายตามอง ธนภพ ลีรัตนขจร เป็นต่อด้วยเสน่ห์ คำพูดสร้างความประทับใจ และท่าทางเป็นกันเอง แถมยังมีการทายอายุทีมงานอย่างแม่นยำด้วย!
แต่เอกลักษณ์เฉพาะของรายการ Thairath Talk แม้แขกรับเชิญจะมีหน้าตาหล่อบาดใจแค่ไหน แต่งานหลักก็ไม่ทิ้ง ยังคงเน้นขยี้ทุกประเด็นที่ทุกคนอยากรู้ หรือเรื่องที่ไม่มีใครเคยถาม หลายสิ่งที่ต่อไม่เคยพูดที่ไหน มี 2-3 ครั้งที่ต่อพูดชัดเจนว่า "นี่ผมไม่เคยพูดที่ไหนเลยนะ" เราจึงกล้าการันตีว่า คุณจะได้รู้จักตัวตน ความคิด เรื่องลับของ ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร เป็นที่แรกและที่เดียว
...
ชีวิตแย่วัยระเริง
ต่อย ตี ขัดแย้งที่บ้าน
Thairath Talk : คุณเลยผ่านช่วงเวลาเกเร ตีรันฟันแทง แล้วก็ทะเลาะกับพ่อแม่ คำถามคือเวลาคุณมองย้อนกลับไปพินิจพิจารณาเด็กชายต่อที่เกเรวันนั้นว่าอย่างไร
รู้สึกขอบคุณเขาคนนั้น รู้สึกขอบคุณต่อในวันนั้นที่พลาด และหัดที่จะทำผิด คือสิ่งนี้ไม่ได้พูดเพื่อสนับสนุนให้คนไปทำผิดนะครับ แค่จะบอกว่าการเดินทางของผมทั้งหมดนี้ มันต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นมันจะไม่มีผมในวันนี้ คือเหมือนกับว่าผมได้ไปผ่านในสิ่งที่ไม่ดี ได้ไปลองผิดลองถูกอะไรมากมาย และมันเป็นสิ่งที่โชคดีมากๆ ที่ผมเปลี่ยนความคิดและกลับตัวใหม่
สิ่งที่ไม่เคยพูดที่ไหนเลยนะ คือผมตัดสินใจหยุดตั้งใจเรียนในตอนที่ผมอยู่ห้องคิงนะ ในวันที่ผมเป็น Top 5 ในชั้น และผมตัดสินใจโดยที่ไม่แคร์อะไรเลย ทั้งๆ ที่ผมอยู่เหนือกว่าคนอื่นเป็นโยชน์
Thairath Talk : เพราะ?
เพราะความอยากล้วนๆ และวัยรุ่นมันเต็มไปด้วยความอยากอ่ะพี่
Thairathtalk : คุณอยากอะไรอ่ะตอนนั้น
อยากมาสาย อยากไม่เข้าเรียน อยากไม่ต้องฟังครูบ้าง อยากแหกกฎ ทำไมมันต้องมีกฎ มันเต็มไปด้วยความอยากในสิ่งเหล่านี้ ความอยากมันมากจนเราปล่อย
แต่เราอยากจะบอกทุกคนว่า เราไม่ห้ามละกัน แต่อยากให้รู้ว่าถ้าอยากจนสุดเมื่อไรลองใช้สูตรนี้นะ กลับบ้านไปนอนเฉยๆ แล้วตื่นมาค่อยคิดอีกที ถ้าตื่นมาแล้วคุณยังเป็นแบบเดิม แล้วคุณจะหลงไป ผมขออวยพรให้คุณกลับมาได้โดยไว แค่นั้น ไม่ห้าม ผมไม่เคยห้ามให้ใครใช้ชีวิต เพราะผมคิดว่าไม่มีบทเรียนได้ดีเท่ากับการลองไปเจอเอง แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนอยู่ดี ถ้าจะไปสุด ผมเป็นคนเห็นด้วยมากเลยว่าชีวิตเรา ต้องเจอเองถึงจะรู้ มานั่งเล่าให้ฟังบางทีมันไม่รู้หรอก แต่ถามว่ามันทำงี้ได้ทุกเรื่องเหรอ มันไม่นะ อยากฝากอีกอย่างนะ ชีวิตเรามันไม่ใช่เกม เรามีชีวิตเดียว อย่าลืม
"ผมว่าผมไม่โทษโชคชะตาตัวเองเลย เพราะวันที่ผมเลือกที่จะทิ้งสิ่งเหล่านั้น มือที่ปล่อยมันคือมือผมอ่ะ เพราะฉะนั้นเราโทษใครไม่ได้ เราต้องยอมรับความจริง ว่ามันไม่ได้หายไปไหน เพราะมันคือชีวิตเรา แต่ทุกวันนี้ที่มันเจ๋ง เพราะมันถูกดึงมาใช้ในการแสดงของผมเสมอ แต่มันก็จะเป็นโอกาสของมัน ว่าโอกาสไหนที่ผมจะดึงมันออกมาใช้ได้บ้าง เอามาเป็นประโยชน์ได้บ้าง ผมก็เลือกจะมองในมุมแง่บวกว่า สิ่งไม่ดีมันต้องสามารถเอามาบิด พลิก เพื่อมองให้มันดีและเป็นประโยชน์ได้"
...
เกือบตาย
จุดเบื่อ จุดเปลี่ยน
Thairath Talk : อะไรคือ Turning Point ของต่อ ธนภพ ที่ทำให้คุณเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังมือ ชีวิตที่คุณสุ่มเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สุ่มเสี่ยงต่อการตีรันฟันแทง สุ่มเสี่ยงต่อการเสียครอบครัวไปแบบไม่มีวันกลับมา
ดีเหมือนกันนะครับที่ผมได้มาคุยกับไทยรัฐทอล์กตอนอายุเท่านี้ ผมโดนสัมภาษณ์เรื่องนี้มาทุกปีเลย แล้วพี่เชื่อไหม ผมตอบไม่เคยเหมือนกันเลย เพราะชีวิตผมโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งวันนี้ผมสามารถพูดได้เป็นข้อๆ เลย อันดับแรกเลย ผมว่าอายุ มันถึงจุดที่เรากำลังจะหลุดจากมัธยมปลายเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย วัยเรากำลังจะเปลี่ยน ความคิดเรากำลังจะเปลี่ยน
สองคือ เราทำ Activity ที่ไม่ดีเยอะมาก เราทำเป็นกิจวัตร คือตอนเด็กๆ ผมอาจจะขี้เบื่อแล้วมันถึงจุดเบื่อพอดี สามคือ ผมกลับมาหาอนาคตตัวเอง ถึงจุดนึงพอเราหนีเรียนมามากๆ แล้ววันที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย ความรู้เราไม่เหลือเลยอ่ะ ตอนแรกเรารู้สึกว่าการเรียนมันไม่สำคัญนะ แต่พอในวันที่เรากำลังจะจบการศึกษาแล้วหันมามอง ทุกคนเล็งไปสถานที่ใหม่ เล็งไปมหาวิทยาลัยต่างๆ เราเริ่มกลับมาถามตัวเองว่าเราไปไหน ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันบีบเรา มันบังคับเรา มันรู้สึกว่า "ต่อ พอไหม" (ตีหน้าอกตัวเอง) แล้วเราก็จะรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ตอนนี้มันจะตอนไหนวะ หลังจากที่ผมคิดได้ ผมก็ขอที่บ้านไปบวช
...
Thairath Talk : ร่มกาสาวพัสตร์ทำให้คุณก้าวขึ้นมาเป็นอีกคนได้
ไม่ใช่เรื่องเอาศาสนามาบังหน้า แต่ศาสนาทำให้เราตัดจากโลกภายนอกได้ พอเราตัดจากโลกภายนอกได้เราจะมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ โลกเราปัจจุบันนี้เราไม่ค่อยอยู่กับตัวเอง เราอยู่กับโทรศัพท์ อยู่กับแอปพลิเคชัน อยู่กับข่าว อยู่กับอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเราเลย จริงๆ บางครั้งคนเราอาจต้องการชีวิตที่ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ บ้าง บางสิ่งบางอย่างที่เราสนุก มีความสุขที่จะได้ทำมันไม่จริงเลย บางเรื่องเราไม่ได้มีความสุขนะ ชินหรือเปล่า บางเรื่องเราแค่ตามคนอื่นหรือเปล่า ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรือเปล่า
Thairath Talk : เป็นอายุ 26 ปีที่ดีที่สุดในชีวิตไหมครับสำหรับต่อ ธนภพ
ไม่มีครับ สำหรับผมชีวิตที่ดีที่สุดไม่มีครับ มันขึ้นอยู่กับว่าชีวิตนี้เราพอหรือยัง เพราะถ้าพอก็คือดีสุด ถ้าไม่พอก็ไม่มีทางถึง แต่ผมดันโลภไงพี่ ผมรู้ตัวว่าผมโลภ เพราะเราไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเก่งเสียที เราอยากเก่งกว่านี้ เราอยากรู้มากกว่านี้ เราอยากศึกษาได้ดีกว่านี้ เป็นธรรมชาติของคน เรามีกิเลสอยู่แล้ว
...
เมื่อความเก่งชนะความไม่หล่อ
Thairath Talk : คุณโดนครหาช่วงแรกๆ ไหมครับว่า เข้ามาเพราะหน้าตา ไม่ใช่เพราะความสามารถ
ไม่ครับ เพราะโดนบอกว่าหน้าตาไม่ดีมาตั้งแต่แรกเลยครับ
Thairath Talk : คุณหน้าตาไม่ดี?
เอ้า แต่นี่เรื่องจริงนะ หมายถึงผมรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว และที่ค่ายสอนมาดี เขาพูดตั้งแต่ปีแรกเลยว่า 'รู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่ประสบความสำเร็จของผมคือการที่ผมเต็มที่ ไม่ใช่มาจากการที่ผมหล่อกว่าใครหรืออะไร' ผมมีความเชื่อตลอดเวลาครับว่าถ้าเราเชื่อคนอื่นก็จะเชื่อ และเมื่อคนอื่นเชื่อ คนอื่นจะต้องได้อะไรกลับไป
Thairath Talk : อะไรคือ Masterpiece สำหรับคุณ ให้เดาว่าน่าจะเป็น Side by Side บทพี่ยิม ที่เป็นออทิสติก มันน่าประทับใจมาก
Masterpiece ของผมไม่มีหรอกครับ เพราะทุกเรื่องมันก็มีจุดบอดที่พวกคุณไม่รู้ว่าผมไม่ถึง แต่เรื่องที่ผมภูมิใจที่สุดคือเรื่องนั้นและตัวละคร 'พี่ยิม' ซึ่งเขาไม่ใช่ตัวละครที่ผมรักมากที่สุด แต่เป็นตัวละครที่ผมคิดว่าผมต้องประคบประหงมเขามากที่สุด เพราะผมต้องพลาดกับเขาน้อยที่สุด ไม่งั้นคนจะเข้าใจผิด
ผมยอม Workshop ด้วยตัวเอง 7 เดือน เพื่อถ่ายแค่ 4 เดือน แล้ว 7 เดือน ผมไม่รับงานอะไรเลย และผมรู้สึกว่าสิ่งนี้แหละมันคือคุณค่า ตอนที่ Workshop ผมอยู่กับบ้านออทิสติกไทย ไปอยู่กับพี่ๆ น้องๆ ที่เป็นออทิสซึ่มจริงๆ จนเริ่มสนิท ซึ่งตอนนั้นผมรู้สึกอินมาก รู้สึกว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงโดนรังเกียจจากคนบางกลุ่มและไม่มีเหตุผลเลย ทำไมคนกลุ่มนี้ถึงโดนตัดโอกาส ทั้งๆ ที่เขาอัจฉริยะกว่าคุณอีก มันเลยผลักดันผมถึงขั้นที่ว่าเรามีสัญญาระหว่างกัน
"รอผมหน่อยนะ ขอบคุณในหลายเดือนที่ผ่านมา ผมจะทำให้ดี ผมจะทำให้ทุกคนเข้าใจพี่มากขึ้นให้ได้ และเหมือนโปรเจกต์นั้นผมมากับความหวัง พลังการแสดงมันต่างกัน ผมปล่อยไม่ได้ ผมขยี้ตัวเองจนมันยุ่ยไปหมดเลย ผมไม่สนเลยว่าเราจะหล่อไหม จริงๆ เราก็รู้สึกมาตลอดแหละว่าไม่ได้ขายหน้าตาอยู่แล้วมั้ง ซึ่งสิ่งที่พี่พูดมันตรง ผมพยายามทำผลงานตัวเองให้มันมีคุณค่า ไม่ใช่ทำแล้วรับตังค์"
สามีแห่งชาติ?
วันที่ ‘ต่อ’ หลงตัวเอง
Thairath Talk : คุณคือสามีแห่งชาตินะ คุณไม่รับตำแหน่งนี้หน่อยเหรอ
สุดท้ายแล้วผมจะรับไปเพื่ออะไร ในเมื่อผู้ชายดีๆ ก็ยังมีอีกตั้งเยอะ หรือสมมติถ้าใครจะเชื่อว่าผู้ชายดีๆ ไม่มีอยู่อ่ะ งั้นผมก็ไม่ใช่ผู้ชายดีๆ เหมือนกัน
Thairath Talk : ถ่อมตัวหรือเปล่า
ไม่ได้ถ่อม แต่พูดจริงว่าบางครั้งก็รู้สึก เวลาโดนชมมันก็เขินแหละ ชอบแหละ อยากให้คนชมเยอะๆ จังเลย (ยิ้มกว้าง) แต่ก็รู้ตัวเองเสมอว่า เอาจริงๆ ผมไม่ได้ดีกว่าคนอื่นๆ ผมปกติ ผมคือคนคนหนึ่ง ผมมีด้านดี ผมมีด้านดาร์กของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็เทากันหมดนั่นแหละ
Thairath Talk : มีชั่วโมงที่หลงระเริงไหมครับ เป็นชั่วโมงที่เราลอย แบบไม่ใส่ใจคนรอบข้าง
มีครับ (ตอบทันที) สมัยหลังซีรีส์ Hormones ช่วงแรกๆ ยอมรับว่าตอนนั้นเรารู้สึกเหนือคนอื่น ตอนนั้นไม่ดีเลย ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นช่วงที่ตัวเองตัวใหญ่มาก เริ่มเปลี่ยนไปไม่เท่าไร แต่มันแย่มากกว่าที่เริ่มเปลี่ยนไปกับคนที่เลี้ยงเรามา และกับพี่ๆ ที่ค่าย
ซึ่งเป็นแค่ครั้งเดียวแล้วเลิกเลย หยุดเลย มีคนเตือนแค่ครั้งเดียว เพราะสุดท้ายแล้วผมมาจากเด็กที่ไม่มีอะไรมาก่อน แล้ววันนี้ที่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เจ๋ง ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะผมไม่ได้ลืมว่าผมมาจากไหน ผมก็เป็นผมแบบนี้แหละ
Thairath Talk : ณ วันนั้นมันสอนอะไรเราบ้างครับ
วันที่เราไม่มีอะไรเลยครับ วันหนึ่งพอเรามีชื่อเสียง สิ่งที่เข้ามามันจะเยอะมาก และมันใหม่ไปหมด เห็นอะไรก็ว้าวไปหมด และเราอยากคว้ามันไว้ทั้งหมด เรารู้สึกว่าอยู่ดีๆ เราก็เจ๋ง โดยไม่รู้ตัว เหมือนภูมิใจในตัวเองมาก มันเลยทำให้เราดูเป็นเด็กไม่น่ารัก
ผมไม่ใช่คนที่ชี้นิ้วสั่งคนอื่น ตัวตนผมเกลียดสิ่งนี้มาก การทำงานด้วยกันต่อให้เขาจะเป็นคนที่ดูแลเรา แต่เขาไม่ใช่คนใช้ ซึ่งมียุคหนึ่งที่เราเกือบจะไปถึงเบอร์นั้นแล้ว ‘พี่เอานั่นให้หน่อยดิ’ ก็มีคนเตือนไว้ทัน แล้วก็กลับมาได้ แล้วพอผ่านช่วงนั้นมา มันสอนผมนะ
"ชื่อเสียงทุกคนมันขึ้นและลงเสมอ พอผ่านช่วงนั้นมา เราจะรู้เลยว่าโกหกทั้งหมดที่ผ่านมา เลยเข้าใจคำว่าวงการมายา เราจะมีช่วงที่เรามีชื่อเสียง และเราจะมีช่วงที่เราไม่มีชื่อเสียง เพราะชื่อเสียงมันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้"
ซีรีส์ไทย vs. ซีรีส์ต่างชาติ
"การแสดงมันคือศิลปะ เป็นโลกมายาที่เราสร้างขึ้น ผมถึงทำหน้าที่เป็นนักแสดง ที่เล่นออกมาทั้งหมดมันคืองาน Art มันไม่ต่างจากจิตรกรวาดรูปเลยครับ ผมมีความรู้สึกของผม ผมมีพื้นที่ที่ผมจะวาดลวดลาย แค่ Frame ของผมมันกว้างมากเฉยๆ แต่มันก็คือสิ่งเดียวกับที่พวกคุณดูตามรูป ตามเพลง ตามอะไรต่างๆ ไม่ต่างกันเลยครับ" ต่อ ธนภพ บรรยายความรู้สึกกับอาชีพนักแสดงในมุมมองของเขาเอง
Thairath Talk : วิเคราะห์ไหมครับทำไมปัจจุบันคนถึงไม่ชอบดูหนังไทยหรือซีรีส์ไทย ไปดูหนังเกาหลี ซีรีส์เกาหลีมาก
เพราะว่าคนให้คุณค่ากับมันมากกว่าเดิมครับ การให้ค่าที่หมายถึงว่า ทุกวันนี้คนมีสิทธิ์ที่จะเลือกมากขึ้น คอนเทนต์เต็มไปหมดเลย ช่องทางต่างๆ มันเหมือนกับว่าถ้าคุณมีเงินเยอะๆ คุณก็จะเลือกซื้อของตามกำลังเงิน ซึ่งคุณต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมหลักของบ้านเราไม่ใช่บันเทิง เพราะฉะนั้นมันยากมากครับที่เราจะมีทุนทำให้คุณภาพมันเท่ากับประเทศที่เขามีบันเทิงเป็นอุตสาหกรรมหลัก
Thairath Talk : คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าเวลาคุณแสดง คุณอยากจะแสดงให้ดี เพราะอยากจะทำให้รู้ว่าซีรีส์ของไทย ละครของไทย มันก็มีดีไม่แพ้ของต่างชาติ
คือพอเราสู้ไม่ได้ด้วยทุน สิ่งที่ผมเห็นมากกว่านั้นคือ อารมณ์การแสดงบางอย่างที่มันจริงมาก ธรรมชาติมากๆ มันก็ดึงคนดูได้นะ แต่มันอาจจะไม่สบายตาเท่ากับเวลาคุณมองอะไรสวยๆ หรือโปรดักชันที่เราอาจจะเห็นว่ามินิมอล แต่คุณรู้ไหมว่านั่นน่ะเท่าไร
Thairath Talk : อะไรที่เราสู้กับต่างชาติไม่ได้ สำหรับคุณ
สำหรับผม คือถ้าเท่ากัน สู้ได้หมด เพราะตอนที่ผมไปร่วมงานกับต่างชาติ มันมีผลงานระดับโลกมากมาย ที่ทุกคนอาจจะไม่รู้
โลกโซเชียลฯ
อย่าให้ค่า 'พลังลบ'
เราถามพระเอกคนนี้ถึงกระแสคำตำหนิติติงในโลกโซเชียล น้องต่อเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เจอผลกระทบกับคำกระทบจิตใจ เขาเล่าพร้อมรอยยิ้ม ยอมรับตรงๆ ว่า จิตตก กับใครก็ไม่รู้ และพิมพ์อะไรมาก็ไม่รู้ ความหมายก็งงๆ และเขารู้จักเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นสิ่งที่ตลกของ Social Network เราสามารถมีอารมณ์ร่วมไปกับเขาได้ยังไง เขาเป็นใคร เป็นชื่อมั่วๆ ขึ้นมา
แต่หากมีสติ ถ้าเราไปให้ค่ากับคำพูดนั้นๆ คิดเสียว่าบางอย่างมันก็เป็นการแสดงความคิดเห็นในมุมคนคน หนึ่งที่เขามีสิทธิ์ แต่บางครั้งพูดในมุมเพื่อนมนุษย์ด้วยกันละกัน "บางครั้งถ้าเราไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้น พี่ยั้งนิ้วพี่หน่อย" (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ตัดสินใครเพราะว่า อย่างละครผมออนแอร์ ผมก็ชอบให้คนวิจารณ์ ไม่ว่ายังไงผมก็ยังอยากอ่าน เพราะว่ามันทำให้เราพัฒนาขึ้นได้ เราจะเห็นข้อดีข้อเสียของสิ่งที่เราทำ มันอยู่ที่เรื่องที่วิจารณ์ด้วย
Thairath Talk : รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ไหม จิตแข็งไหม
ไม่แข็งครับ แต่ว่าอยากฟังก็เลยต้องรับได้ (ยิ้มแห้ง)
Thairath Talk : มีคำดูถูกถากถางประเภทไหนที่มันเป็นคำวิจารณ์ที่คุณกระทบใจ
ส่วนใหญ่ผมว่าคำที่ทำให้อาชีพอย่างเรารู้สึก คือการโดนตัดสินในตอนที่เขาไม่รู้ว่าเราทำอะไรมา เช่น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิธีการทำงานของเราเป็นแบบไหน ผ่านอะไรมาบ้าง อยู่ดีๆ วันหนึ่งเราก็โดนตัดสินขึ้นมาว่าคุณเป็นแบบนี้ ถามว่าคนพูดผิดไหม ไม่ผิดนะ แต่แบบพอมันถูกพูดโดยที่ไม่รู้ ก็อาจทำให้คนฟังและคนอ่านในวันที่เราเต็มที่มามากๆ รู้สึกว่าอะไรอย่างนี้ครับ.
ผู้เขียน : Bouquet Talk
ภาพ : Supassara Taiyansuwan