จากการสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตล่าสุดของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธ.) พบว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยสัปดาห์ละ 45 ชั่วโมง หรือวันละ 6.4 ชั่วโมงโดยกลุ่มคน Gen Y (อายุ 16-35 ปี) ใช้มากถึงสัปดาห์ละ 53.2 ชั่วโมงหรือวันละ 7.6 ชั่วโมง

ในจำนวนชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี้ ผลสำรวจยังพบอีกว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตในการสื่อสารผ่าน Social Media ต่างๆ ถึง 86.8% ตามด้วยวิดีโอผ่าน Youtube 66.6% อ่านหนังสือ 55.7% สืบค้นข้อมูล 54.7% และทำธุรกรรมการเงิน 45.9%

ตัวเลขที่พบจากการสำรวจแสดงว่า คนไทยใช้ Social Media เป็นช่องทางในการสื่อสารหลักทั้งการรับและส่งข้อมูล โดยในภาคของการรับข้อมูลข่าวสาร สื่อมวลชนกลายเป็นช่องทางรองในการรับข้อมูลข่าวสารไปแล้ว ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสื่อกระแสหลักมีอะไรบ้าง เราเคยวิเคราะห์กันไปบ้างแล้ว (อ่าน วันที่ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนไปจนไม่มีวันเหมือนเดิม)

มาวันนี้ เราจะคุยกันต่อว่า ในสถานการณ์ที่คนไทยรับข้อมูลข่าวสารจากทาง Social Media เป็นหลัก ซึ่งหลายคนเข้าใจว่า เป็นข่าวรับข้อมูลข่าวสารที่มาจากสื่อกระแสหลัก เพียงแค่ถูกแชร์ผ่าน Social Media เท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นการบริโภคข่าวสารบรรดาเว็บปรสิต หรือเว็บที่คอยลอกข่าวจากสื่อหลักไปโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่หาข่าวหาคลิปจากเว็บต่างประเทศแล้วเอามาพาดหัวข่าวแบบ Click Bait เพื่อหลอกล่อให้คนเข้ามาคลิกอ่าน แต่พอกดเข้าไปแล้ว ไม่มีเนื้อหาตามที่พาดหัวข่าวเอาไว้

...

ส่วนการบริโภคความคิดเห็นต่อข่าวสารที่เกิดขึ้น คนไทยก็นิยมที่จะไปติดตามในเพจดังต่างๆ ที่เน้นการเอาประเด็นข่าวที่เป็น Talk of the Town หรือความผิดพลาดจากการเสนอข่าวของสื่อกระแสหลัก มาวิพากษ์วิจารณ์และตั้งข้อสังเกตจนเป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพจทั้งหลายที่ทั้งติดตามอ่านและร่วมแสดงความคิดเห็นกันอย่างสนุกสนาน

นานๆ เข้า เวลาแฟนเพจไปพบเห็นอะไรมาแล้วอยากจะฟ้องคนใน Social Media ก็จะนำไปร้องเรียนผ่านเพจดังเหล่านี้ ที่จะนำมาเผยแพร่ในเพจของตัวเองได้ในทันทีโดยไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนรอบด้านแบบที่สื่อกระแสหลักต้องทำเพราะมีกรอบในเรื่องจริยธรรมในการนำเสนอข่าวกำกับอยู่

คำถามว่า ทำไมเพจดังเหล่านี้ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่เอเยนซี่โฆษณาต้องยอมจ่ายเงินในอัตราแพงๆ เพื่อจ้างให้โพสต์โฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใน Social Media

คำตอบน่าจะมาจากการที่แอดมินของเพจดังเหล่านี้ เข้าใจธรรมชาติของคนใน Social Media ว่าสนใจเรื่องอะไร ก็จะหยิบเอาเรื่องนั้นมาวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับจริยธรรมทางวิชาชีพเหมือนการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนจนกลายเป็นดราม่า อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้แฟนเพจเข้ามาแสดงความเห็นในเรื่องนั้นๆ ต่อได้อีกอย่างเสรี

ขณะที่สื่อมวลชนกระแสหลักกลับเป็นผู้คอยหยิบเอาเรื่องที่มีการร้องเรียนผ่านเพจดังเหล่านี้ มาตรวจสอบและหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วนำเอาเสนอเป็นข่าวอีกที จนถูกวิจารณ์จากนักวิชาการสื่อจำนวนหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ สื่อมวลชนไม่ค่อยลงทุนออกไปหาข่าวเหมือนก่อน มาเน้นเอาข่าวจาก Social Media มาตรวจและนำเสนอเป็นส่วนใหญ่เพราะลงทุนไม่มาก แต่มีคนสนใจมากกว่า

...

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ คำถามต่อมาคือ สื่อมวลชนกระแสหลัก ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ มีแหล่งที่มาจาก Social Media เป็นส่วนใหญ่

คำตอบคือ น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ต่อไป เพียงแต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เช่น หน้าที่การหาคำตอบต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน Social Media ก็ยังต้องทำต่อไป การรายงานข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองและราชการอาจต้องปรับเปลี่ยนไปบ้างด้วยการเน้นเฉพาะข่าวที่มีสำคัญและมีผลกระทบในวงกว้างเท่านั้น แต่ที่น่าจะต้องทำเพิ่มขึ้นคือ การรายงานข่าวสืบสวน หรือการรายงานที่สื่อมวลชนเป็นผู้กำหนดประเด็น/วาระข่าวสารขึ้นเอง

เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน ความสำคัญของสื่อมวลชนในฐานะเป็นยามระวังภัยให้สังคมและคอยนำเสนอความจริงและอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมภายใต้กรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพ

ไม่เช่นนั้นแล้ว สื่อมวลชนก็คงไม่ต่างกับเพจดังทั้งหลาย รวมทั้งเว็บปรสิตที่หากินกับการพาดหัวแบบคลิกเบทหลอกลวง (fake Click Bait) ที่เน้นแต่การนำเสนอข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นในประเด็นดราม่าที่อยู่ในความสนใจของประชาชนชาว Social Media เท่านั้น...

...


ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี
www.twitter.com/chavarong