งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ณ หอประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 30 มีนาคมจนถึงวันที่ 9 เมษายน 2560 สังเกตได้ชัดเจน ว่าเทรนด์ใหม่คือ เน้นหนังสือเฉพาะกลุ่ม สร้างสรรค์ปกให้โดดเด่น และเน้น “ขายตรง”

น.ส.ศิริธาดา กองภา เจ้าของ สนพ.เลเจ้นด์ บุ๊คส์ บอกว่า การผลิต หนังสือของสำนักพิมพ์มีทั้งสารคดีคุณภาพและนวนิยาย ทั้งสองอย่างแปลมาจากภาษาต่างประเทศ การเลือกแปลนั้น ยึดที่ความชอบของตนเองเป็นหลัก เพราะรู้ว่าคนชอบแนวเดียวกันมีอยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้น เมื่ออ่านหนังสือเล่มใดแล้วชอบก็ขอซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาแปล และจัดพิมพ์

การพิมพ์หนังสือ “สำนักพิมพ์ของเราไม่ได้เน้นไปที่ยอดพิมพ์ให้มากๆ เพื่อให้ราคาหนังสือต่อเล่มลดลงแล้วต้องไปแบกภาระเก็บสต๊อกไว้ แต่เราจะพิมพ์จากยอดจองของผู้อ่านเป็นหลัก”

ดังนั้น แต่ละเล่มแม้จะเป็นเรื่องแปล แต่ยอดพิมพ์มีเพียง 500 เล่ม หรือมากน้อยกว่านั้นก็ได้ แล้วแต่ยอดจอง และกระแสการตอบรับ นี่นับเป็นการ “ปรับตัว” เพื่อความอยู่รอดของสำนักพิมพ์ยุคใหม่ ที่ไม่ต้องแบกภาระพิมพ์คราวละ 3,000 เล่ม แล้วเหลือค้างสต๊อกอีกต่อไป

สำนักพิมพ์ “กว่าจะอยู่ได้ ต้องใช้เวลาราว 3 ปี” ศิริธาดาบอก

พลางอธิบายหลักการผลิตว่า “พยายามเลือกหนังสือที่อ่านสนุก ตั้งเป้าหมายสองแบบคือ 1.วรรณกรรมจ๋าไปเลย 2.ลองเลือกวรรณกรรมแถบยุโรปตะวันออกมาตีพิมพ์ เพราะมองว่าตลาดแนวนี้ยังใหม่อยู่สำหรับคนไทย เราพยายามพิมพ์ให้น้อย เน้นขายแบบอิสระ และขายออนไลน์ ผิดกับยุคก่อนที่เน้นขายหน้าร้านเป็นหลัก”

ตลาดหนังสือ “มีทั้งขึ้นและลง ถ้าทำสำนักพิมพ์เราต้องรู้จักจังหวะ เรา สนพ.เล็กๆใช้ต้นทุนไม่มาก เราต้องจ่ายลิขสิทธิ์ก่อนอยู่แล้ว เมื่อซื้อมาเราก็จะไม่ดอง ต้องพิมพ์ออกทันที สมมติโรงพิมพ์ให้เราสามเดือน เราก็ต้องพยายามทำให้เงินไหลเข้ามาได้ทัน ต้องไม่หยุดชะงัก”

...

และพบว่า “สิ่งสำคัญที่จะทำให้สำนักพิมพ์อยู่ได้ เราต้องลดยอดพิมพ์ เพราะคนอ่านเลือกมากขึ้น และเลือกเฉพาะหนังสือที่เขาอยากอ่านจริงๆ แม้เราพิมพ์น้อยต้นทุนสูงขึ้น เมื่อมองว่าคนอ่านรับได้ เราก็ทำได้ อีกอย่างที่สำคัญคือการเลือกเรื่องที่ผู้อ่านสนใจ”

ช่องทางขาย “ออนไลน์ช่วยเรามากเลย ปกติหนังสือที่อยู่หน้าร้าน จะจม แต่การขายออนไลน์ที่หน้าเพจ เรามีลูกค้าขาประจำ ออกปุ๊บเขาถามหน้าเพจพอดี คนอ่านเขาก็ติดตามเราเหมือนกัน คนส่วนหนึ่งไม่ได้ไปดูหน้าร้านหนังสือ”

การเลือกเรื่องมาแปล เธอบอกว่า อาศัยว่าเคยเป็น บก.แปลหนังสือมาก่อน และยังไปทำเรื่องการซื้อขายลิขสิทธิ์ ทำให้รู้จักเส้นทางของหนังสือ รู้จักตลาดซื้อขาย เมื่อพบหนังสือที่อยู่ในกระแส อ่านแล้วชอบก็สามารถติดต่อซื้อลิขสิทธิ์มาแปลได้
เธอเล่าว่า เล่มแรกของ สนพ.คือ กลับมาแล้วครับ ผลงานของ ทีมูร์ แฟร์เมส แปลโดย ฉัตรนคร องคสิงห์ เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในประเทศเยอรมนี 2 ปีติดกัน ว่าด้วยเรื่องของฮิตเลอร์ฟื้นคืนมาไหวเต้นอยู่ในโลกปัจจุบัน กลายเป็นเรื่องเสียดเย้ยที่ขายไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก

หันมาดูนักเขียนเรื่องสั้นชั้นครูของไทยบ้าง จำลอง ฝั่งชลจิตร ปี พ.ศ.2560 นี้รวมเรื่องสั้นชุด เมือง บ้าน ผม และบ้านในโคลน ได้รับรางวัลชมเชย ปัจจุบันผันตัวเองไปอยู่บ้านเกิดนครศรีธรรมราช ยึดอาชีพเขียนหนังสือเป็นหลัก มีคอลัมน์อยู่ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับ

“ผมทำหนังสือพิมพ์เล็กๆอยู่เล่มหนึ่ง ทำให้เราได้อยู่กับข่าวสาร อยู่กับผู้คน ไม่ตกสมัย อะไรที่น่าสนใจก็ได้นำมาค้นคว้าเพิ่มเติม หนังสือพิมพ์ทำให้เราต้องคิด ต้องประมวลข่าวมาทำหน้าหนึ่ง ข่าวมันใหม่อยู่ตลอดเวลา เราต้องคิดว่าเรื่องที่เราทำนั้นต้องอ่านได้ตลอดเดือน”

และยืนยันว่า “ผมไม่ทิ้งงานเขียน เรื่องราวในปัจจุบัน สังคมมันซับซ้อนมากขึ้น การสื่อสารมันเร็วมาก เนื้อหามันเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ผลกระทบของมันมีรอบตัวเรา มันทำให้มีเรื่องต่างๆนานา การมองประเด็นมานำเสนอนั้น อย่างเช่น เรื่องข่าวสารในมือถือเรา มันมีทั้งดี และเป็นปัญหา เริ่มจากปัญหาเล็กๆอย่างเด็กยอมเสียตัวเพื่อได้ไอโฟน เป็นต้น จะเห็นว่าเนื้อหามันเปลี่ยนไป นี่เป็นรายละเอียดของเรื่องสั้น เราไม่สามารถเขียนแบบเก่าได้แล้ว เพราะรายละเอียดสังคมมันเปลี่ยนไป”

นอกจากเนื้อหาเปลี่ยน ระบบการซื้อขายก็เปลี่ยนไปด้วย จำลองบอกว่า ระยะหลังนี้หันมาจัดพิมพ์เรื่องสั้นของตัวเองออกขายทางออนไลน์ และกันส่วนหนึ่งส่งขายหน้าร้าน พร้อมบอกว่าแต่ละเรื่องที่เขียนขึ้นมาขายได้ประมาณ 600-800 เล่ม เท่ากับมีหลักประกันเรื่องค่าครองชีพ

สนามส่งเรื่องสั้นลงตีพิมพ์ และรวมเล่ม จำลองมองว่ามีน้อยลงมาก สิ่งที่ตามมาก็คือ กระบวนการกลั่นกรองเรื่องพิมพ์ สมัยก่อนมีบรรณาธิการเรื่องสั้นอย่าง อาจินต์ ปัญจพรรค์ และอีกหลายคนช่วยพิจารณาเรื่องสั้นว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ปัจจุบันใครๆก็เขียนได้ แต่ระบบการกลั่นกรองไม่ชัดเจน

“ของผมไม่มีบรรณาธิการ แต่ผมมีประสบการณ์มากว่า 40 ปี ผมสามารถเป็นบรรณาธิการให้ตัวเองได้ บอกอย่างนี้อาจจะเชื่อม่ันไปนิด แต่ผมก็ถามคนอื่นเหมือนกันว่าดีไหม ถ้าได้รับคำตอบว่า มันยังไงๆ อยู่นะ ผมก็มาดู ผมเห็นด้วยก็แก้ไข ผมเชื่อคนอ่านเรื่องสั้นเป็นอย่าง ศิริวร แก้วกาญจน์ อย่าง จเด็ด กำจรเดช ผมเชื่อว่านักอ่านที่มีประสบการณ์ อ่านงานเราได้ เราก็ปรับปรุงแก้ไขได้ ไม่ใช่ใครแตะไม่ได้”

จำลองเรียกร้องให้นักเขียนรุ่นพี่ๆที่วางมือหันมาเขียนหนังสือ เพื่อเป็นแนวทางให้กับรุ่นน้องๆ ไม่ควรปล่อยให้รุ่นน้องๆว้าเหว่ “ผมเป็นพวกอึด ผมไม่เลิก ผมรักงานเขียน ผมยังเขียนเรื่องสั้น” จำลองยืนยันหนักแน่น

...

ภาพรวมของงานหนังสือปี 2560 น.ส.สิรินันท์ ห่อหุ้ม ผู้ดูแลด้านประชาสัมพันธ์บอกว่า จำนวนร้านหนังสือยังไม่ลดลง และมีสำนักพิมพ์เพิ่มขึ้น แต่เป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ เจ้าของอายุราว 25-35 ปี กลุ่มนี้มาทำหนังสือด้วยความชอบส่วนตัว และมีอุดมการณ์ แนวหนังสือที่ทำมีทั้งหนังสือแปล ผลงานนักเขียนคลาสสิกของไทย และนักเขียนรุ่นใหม่ไฟแรง

ลักษณะเด่นของหนังสือคนกลุ่มนี้คือ นอกจากเน้นคุณภาพเนื้อหาของหนังสือแล้ว ยังเน้นการออกแบบปกสวยงามอีกด้วย บางสำนักพิมพ์ ลงทุนออกแบบปกถึงปกละกว่า 10,000 บาทเลยทีเดียว

สำหรับกลุ่มก้อนของนักอ่านรุ่นใหม่ น.ส.ธิดารัตน์ สีดาจิตร อายุ 16 ปี นักเรียนโรงเรียนศึกษานารี บอกลักษณะการอ่านของตนและเพื่อนๆว่า อ่านหนังสือตามที่ใจอยากอ่าน ทั้งเรื่องน่ารู้ทั่วไป และวรรณกรรม ส่วนหนังสือที่ได้รับรางวัลนั้น ไม่สนว่าจะเป็นรางวัลใด ถ้าดูแล้วเรื่องน่าอ่านก็จะอ่าน แต่ถ้าอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง มีศัพท์แสงรุงรัง อ่านไม่เข้าใจก็ไม่อ่าน หนังสือได้รับรางวัล “บางเล่ม หนูว่าอาจจะเหมาะสำหรับผู้ใหญ่มากกว่า” น.ส.ธิดารัตน์บอก

ด้านนายจรัล หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เจ้าภาพใหญ่บอกว่า ปีนี้มีสำนักพิมพ์เข้าร่วมงานกว่า 430 แห่ง รวมทั้งสิ้น 947 บูธ พร้อมให้คอหนังสือได้เลือกซื้อตามความต้องการ และยังมีนิทรรศการ “หนังสือที่ระฦกงานศพฯ” ให้ศึกษาอดีตหนังสือประเภทหนึ่งของไทยด้วย

เราต้องไม่ลืมว่า “บางบรรทัดของหนังสือบางเล่มช่วยเปลี่ยนชีวิตบางคนได้”.