“รูปแม่พระธรณีบิดมวยผมภาพนี้ อาจารย์จากกรมศิลปากรท่านบอกว่า เป็นภาพที่สวยงามที่สุดในโลก” นายวีระโชติบอก
นายวีระโชติ ปั้นทอง ชาวไทยเชื้อสายมอญ อายุ 80 ปี บ้านเลขที่ 162/3 หมู่ 4 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี ผู้ช่วยเหลือดูแลวัดชมภูเวก วัดนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ และมีพระพุทธบาทศิลา
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดชมภูเวก อยู่ในพระอุโบสถหลังเก่า นายวีระโชติบอกว่า “เป็นโบสถ์มหาอุด มีทางเข้าออกได้ทางเดียว ฐานด้านล่างกว้าง ผนังสอบเข้าหากัน หน้าบันประดับลายปูนปั้นประสมประสานทั้งไทยและต่างประเทศ”
ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ สันนิษฐานว่าวาดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนภาพวาดแม่พระธรณีบีบมวยผมนั้น เป็นหนึ่งในภาพ “ผจญมาร” อยู่บริเวณผนังเหนือประตูทางเข้า ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก ลักษณะภาพแม้จะลบเลือนไปบ้าง แต่ยังเหลือความสวยงามสะดุดตา
ด้านซ้ายมือ เป็นภาพเหล่าพญามารถูกน้ำพัดพา ต่างว่ายน้ำเอาตัวรอดกันอย่างทุลักทุเล บ้างถูกปลาตรงเข้ากัดกิน บ้างถูกสัตว์ในน้ำเข้าทำร้าย แต่ละมารอยู่ในอาการหวาดกลัว และพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ขณะที่ด้านขวามือ เป็นภาพบนบก ภาพพญามารขับช้างพร้อมไพร่พลเข้ามาขัดขวางมิให้พระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ลีลาของภาพเหมือนจะไหวเต้นด้วยความมีชีวิตชีวา
ระหว่างภาพด้านซ้ายและขวา บริเวณเหนือกรอบประตูทางเข้าขึ้นไป คือภาพแม่พระธรณีกำลังบีบมวยผม บังเกิดน้ำออกมาเป็นสักขีพยานในความบริสุทธิ์แห่งพระโพธิสัตว์ น้ำนั้นกลายเป็นธารซัดสาดเหล่ามารไปในกิริยาอาการต่างๆกัน
เฉพาะภาพแม่พระธรณี มีความสมบูรณ์สวยงามมาก “บรมครูผู้เขียนใช้จินตนาการในการออกแบบสรีระแม่พระธรณี อก เอว แข้ง แขนขา ข้อมือ นิ้วมือ นิ้วเท้า เข่า ศอก ศีรษะ ทุกส่วนของร่างกายอ่อนช้อย ประดุจดังเทพนิมิต”
...
จนเป็นที่ยอมรับ “ยกย่องของจิตรกร กรมศิลปากรว่าเป็นแบบอย่างแม่พระธรณีที่งามที่สุดในโลก”
นายวีระโชติบอกว่า คนฟันธงเรื่องนี้คือ อาจารย์อาภรณ์ ณ สงขลา ผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร พูดไว้ตั้งแต่มีการบูรณะโบราณสถานวัดชมภูเวก เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2521
ภาพอื่นๆในโบสถ์ เริ่มจากเพดานมีภาพดอกพุดตาน ลดระดับลงมาเป็นภาพพระพุทธเจ้ารายเรียงต่อๆกันไปโดยรอบ ลดระดับลงมาเป็นภาพชาดกมี เตมีย์ พระมหาชนก สุวรรณสาม เนมิราช มโหสถ ภูริทัต จันทกุมาร นารทะ วิทูรบัณฑิต ชูชก พระเวสสันดร และยังมีภาพเทพชุมนุม
ส่วนใต้ภาพ “ทศชาติ” มักปรากฏภาพวาบหวิวของหนุ่มๆ สาวๆ แม้จะเป็นภาพออกแนวอีโรติก แต่ด้วยชั้นเชิงในการวาด ทำให้ภาพน่าดู ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ และดูอย่างไรก็ไม่ชักพาใจไปสู่เรื่องอนาจาร
นอกจาก “จิตรกรรมฝาผนัง” วัดชมภูเวกยังมีพระพุทธบาทจำลองอายุหลายร้อยปี
จารึกในรอยพระพุทธบาททำด้วยหินชนวน ใช้อักษรขอมเขียนคำภาษาบาลี ตัวอักษรเขียนเป็นระเบียบสวยงาม เสียดายที่มีรอยแตกและรอยซ่อมในบางจุด ทำให้ปิดบังข้อความบางส่วนไป จารึกนี้มีผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณอ่านไว้แล้ว ปรากฏบันทึกไว้ในฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ยังมีข้อมูลอยู่ในหนังสือ จารึกในประเทศไทย เล่ม 5 พุทธบาทศิลานี้ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นจารึกหลักที่ 85
ข้อความในจารึก นายประสาร บุญประคอง เป็นผู้อ่าน อาจารย์ฉ่ำ ทองคำวรรณ เป็นผู้ตรวจทาน และ ร.ต.ท.แสง มนวิฑูร เป็นผู้แปล อายุของจารึกในเอกสารของวัดระบุว่า ประมาณ พ.ศ.1800 หรืออยู่ในสมัยสุโขทัย ขณะที่กองหอสมุดแห่งชาติ กำหนดอายุว่าอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 20 หรือราวๆสมัยกรุงศรีอยุธยา
ประเด็นเรื่องอายุของศิลาจารึก ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกและอักษรโบราณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายว่า รอยพระพุทธบาทในบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน แม้จะปรากฏรอยพระพุทธบาทตั้งแต่สมัยทวารวดี เช่น ที่เมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี แต่ก็ยังคงไม่มีจารึกบอกเรื่องราวไว้ชัดเจน จนถึงสมัยสุโขทัยการบูชารอยพระพุทธบาทจึงได้รับความนิยมอย่างชัดเจน พร้อมกับมีจารึกบอกที่มาที่ไป เช่น จารึกวัดนครชุม ได้บอกไว้ว่า พระยาธรรมิกราช หรือพญาลิไท “ให้ไปพิมพ์เอารอยตีน พระเป็นเจ้าเถิงสิงหลอันเหยียบเหนือจอมเขาสุมนกูฏบรรพต”
กล่าวคือ ให้ไปจำลองรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏในลังกานำไปประดิษฐานที่เมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย เมืองบางพาน และปากพระบาง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้คงอยู่ช่วงประมาณ พ.ศ.1900 กว่าๆ เพราะฉะนั้นรอยพระพุทธบาทที่อยู่ในสมัยสุโขทัยหรืออยุธยา ก็น่าจะอยู่ในช่วงหลังเหตุการณ์นี้
นั่นคือ อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 เวลาที่เขียนหนังสือบอกช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 หรือศตวรรษที่ 20 บางคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิชาการอาจจะงุนงงว่า ตกลงเป็น พ.ศ. เท่าไหร่ ในการกำหนดเป็นพุทธศตวรรษ นักวิชาการใช้วิธีการกำหนด 100 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ.1900-1999 เขาใช้ว่าพุทธศตวรรษที่ 20
วิธีง่ายๆก็คือ เอาตัวเลข 2 ตัวข้างหน้าของ พ.ศ. บวกกับ 1 ก็จะได้เป็นพุทธศตวรรษ เช่น ปัจจุบัน พ.ศ.2560 ถ้าอยากรู้ว่าอยู่ในพุทธศตวรรษที่เท่าไหร่ ก็เอา 25+1 = 26 คือปัจจุบันนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 26 นั่นเอง
เนื้อหาของจารึกพระพุทธศิลาเกี่ยวกับอะไร ในหนังสือประวัติวัดชมภูเวก ระบุว่า เป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเรื่อง “ญาณ 3 อาการ 12” จารึกไว้ในบริเวณรอยพระบาททั้งหมด 6 จุด
หนึ่งใน 6 จุดนั้นคือ ที่ขอบด้านข้างของพระพุทธบาท จารึกข้อความว่า “เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต อาห (เตสญฺจ) โย นิโรโธ เอวํ วาที มหาสมโณฯ” ข้อความนี้ ร.ต.ท.แสง มนวิฑูร แปลว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใด เกิดมาแต่เหตุ พระตถาคตตรัสบอกเหตุของธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ธรรมทั้งหลายเหล่าใดเป็นความดับซึ่งเหตุ (พระองค์) ตรัสบอกเหตุแห่งความดับนั้น พระมหาสมณะมีหลักลัทธิอย่างนี้
ศิลาจารึกวัดชมภูเวก อายุไม่ต่ำกว่าสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่จะคาบเกี่ยวกับสุโขทัยแค่ไหน อย่างไร ต้องให้นักวิชาการศึกษาค้นคว้าเพื่อยืนยันยุคสมัยที่ชัดเจนต่อไป ปัจจุบันทางวัดมิได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม เนื่องจากอยู่ในระหว่างการซ่อมสร้างมณฑปครอบ จะเปิดให้เฉพาะเทศกาลงานบุญสำคัญ หรือเมื่อมีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมเป็นรายๆไป
...
“เคยมีโจรมารื้อพระพุทธบาท คงจะต้องการมาเอาของเก่าข้างใน ทางวัดจึงต้องกวดขัน และดูแล” นายวีระโชติบอก
วัดชมภูเวกเป็นวัดเก่าแก่ นายวีระโชติเล่าว่า คนไทยสร้างไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมามอญเข้ามาพึ่งร่มพระบารมีพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งชุมชนอยู่บริเวณวัดชมภูเวก โดยมีหลวงพ่อฟ้าผ่า เจ้าอาวาสชาวมอญเป็นผู้นำสำคัญ ต่อมากลายเป็นชุมชนชาวมอญขนาดใหญ่ สัญลักษณ์ของมอญคือเสาหงส์ และพระธาตุมุเตาจำลองที่อยู่หน้าพระอุโบสถ
เมื่อถามว่า ทำไมเลือกเข้ามาอยู่ในประเทศไทย นายวีระโชติบอกว่า เพราะมอญคล้ายคลึงกับไทยหลายประการ เช่น การนับถือพุทธศาสนา อุปนิสัย และสมัยนั้น “แผ่นดินไทยกว้างใหญ่ไพศาล คนไทยมีน้อย พระมหากษัตริย์จึงรับคนมอญเข้ามาเป็นกำลังในการพัฒนาบ้านเมือง”
นายวีระโชติบอกด้วยว่า ชาวมอญแม้จะเข้มแข็งเก่งกล้า แต่น่าเสียดายที่ในอดีตนั้นมักทะเลาะกันเอง เป็นสาเหตุให้ต้องหนีภัยเข้ามาอยู่ในแผ่นดินไทย.