สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย จัดแสดงความยินดีกับศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ปี พ.ศ.2559 ณ สมาคมนักเขียนฯ เขตบางซื่อ กทม. ท่ามกลางนักเขียนน้อยใหญ่เข้าร่วมงานอย่างเป็นกันเองและอบอุ่น

นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย กนกวลี พจนปกรณ์ เจ้าภาพกล่าวเปิดงานและแสดงความยินดีแด่ครูอักษรที่ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติทั้ง 4 คน คือ ไพฑูรย์ ธัญญา, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ, ชูวงศ์ ฉายะจินดา และ ศ.พิเศษ เรืองอุไร กุศลาสัย เสียดายที่อาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย ไม่สามารถ มาร่วมงานได้

บนเวทีจึงมีศิลปินแห่งชาติเพียง 3 คน เจ้าของรวมเรื่องสั้นชุด “ก่อกองทราย” ไพฑูรย์ ธัญญา มองปรากฏการณ์การหยัดอยู่ของนักเขียน ว่า “สื่อเป็นตัวนำพาสารจากนักเขียนไปสู่คนอ่าน ปรากฏการณ์ของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ประสบอยู่ ผมคิดว่าต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่นักเขียนไม่ต้องหวั่นไหวในสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ควรหวั่นไหวคือ เราจะเขียนอะไรให้คนอ่านผลงานของคุณ ช่วงนี้อาจจะวูบวาบหน่อย เพราะอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน นักเขียนเดี๋ยวนี้อาจจะไม่ต้องพิมพ์ออกมาจำหน่ายแล้ว แต่เขียนเพื่อสื่อออกไปทางออนไลน์ ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ นักเขียนรุ่นใหม่น่าจะปรับตัวได้ดีกว่ารุ่นเก่า”

ปกติรายได้ของนักเขียนมาจากยอดหนังสือที่พิมพ์ แต่เมื่อเขียนออกทางออนไลน์ รายได้นักเขียนจะมาจากไหน และจะอยู่ได้อย่างไร “มันพูดยาก เมื่อไม่มีสิ่งพิมพ์เป็นสื่อกลาง เมื่อนักเขียนปล่อยงานของตัวเอง ตามสื่อออนไลน์อาจไม่มีค่าตอบแทน เราก็รู้ๆกันอยู่ว่า แต่ไหนแต่ไรมา นักเขียนได้ค่าประพันธ์น้อยมาก ต้องทำด้วยใจกันทั้งนั้น ยิ่งช่วงนี้การเขียน เพื่ออยู่รอดยิ่งพูดยาก ยกเว้นนักเขียนที่มีฐานะดี มีงานอื่นรองรับถึงจะอยู่ได้ เพราะฉะนั้นต่อไปนักเขียนที่จะออกมาทำงานอิสระต้องคิดหนัก ต้องปรับตัวตรงนี้ให้ได้”

...

แต่เชื่อเถอะ “ถ้าคุณมีจิตวิญญาณตรงนี้ มันก็ต้องจัดการตัวเองได้”

การเกิดของนักเขียน สมัยก่อนมีบรรณาธิการกลั่นกรอง นิตยสารบางเล่มหากใครได้ลงตีพิมพ์ถือว่า “เกิด” แล้วในโลกวรรณกรรม แต่เดี๋ยวนี้เมื่อใครใคร่เขียนก็เขียน เขียนแล้วก็สื่อออกไปในโลกออนไลน์ได้ทันที อย่างนี้การเกิดของนักเขียนจะดูกันตรงไหน

“ผมมองว่า เมื่อก่อนการเกิดของนักเขียนมีขั้นตอน แต่เมื่อมาถึงยุคใครจะเขียนก็เขียนลงออนไลน์ได้อย่างนี้ ถ้าเขียนดีจริงก็จะมีคนติดตาม และเป็นโอกาสที่จะโดดเด่น และก้าวออกมาเป็นวรรณกรรม แต่ต้องพิสูจน์ตัวเอง”

ส่วนเรื่องสำนวนภาษา “ภาษาเปลี่ยนไปตามยุค ยุคเราได้อ่านงานเขียน คลาสสิก ภาษาเพลงทั้งลูกทุ่ง ลูกกรุงมีความงาม ไวยากรณ์เรารับแบบเดียวกัน เดี๋ยวนี้ภาษายุคใหม่มันเป็นสุนทรียภาพของคนรุ่นใหม่ เราจะไปเรียกร้อง เขาเป็นไปไม่ได้ เพราะภาษาเปลี่ยนแปลงตัวเองตามบริบทของสังคมอยู่แล้ว ภาษาถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงภาษาก็จะตาย ถือเป็นเรื่องปกติ”

การเตรียมตัวที่จะไปยืนอยู่บนเวทีนักเขียน ไพฑูรย์ ธัญญา บอกว่า การเป็นนักเขียนอยู่ที่คุณภาพของงานเขียน ไม่ใช่การเสนอตนเองให้คนรู้จักแล้วจะเป็นนักเขียนได้ ถือว่าเป็นอาชีพเดียวที่ไม่ต้องใช้เส้นสาย แต่ต้องสร้างผลงานออกมาให้เป็นที่ยอมรับ “ซึ่งทุกวันนี้ ขั้นตอนการเกิดมันเป็นอีกแบบหนึ่งแล้ว มันอาจจะลำบาก แต่มันก็ต้องมีวิถีของมัน”

หันไปทางศักดิ์สิริ มีสมสืบ เจ้าของรวมบทกวีซีไรต์ชุด “มือนั้นสีขาว” เห็นว่า คำว่านักเขียนในปัจจุบันคงหมายถึง ใครใคร่เขียนก็เขียนได้ ใครๆก็เป็นนักเขียนได้ เหมือนกับคำว่านักร้อง ใครๆก็เป็นนักร้องได้ เพราะฉะนั้น ใครใคร่เขียนก็เขียนไป ใครใคร่อ่านก็อ่านไป บางทีความหมายของคำว่านักเขียนอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นว่าใครก็เขียนได้แล้ว

แต่ว่าความสำคัญน่าจะอยู่ที่นักอ่าน ว่านักอ่านแยกแยะได้อย่างไร ว่าใครเป็นนักเขียน ใครไม่ได้เป็นนักเขียน เพราะฉะนั้นใครใคร่เขียนก็เขียนเถิด ใครใคร่อ่านก็อ่านเถิด ถ้าเป็นนักอ่านไม่มีคุณภาพก็ไม่สามารกลั่นกรองได้ว่าใครเป็นนักเขียน ใครไม่เป็นนักเขียน

เกี่ยวกับเรื่องการเขียน บางทีโลกเราอาจจะไร้ความหวังก็ได้ เพราะว่าการอ่านของมนุษย์ด้อยคุณภาพลง เราอาจจะเสียการอ่านที่แท้จริงไปแล้วก็ได้ เพราะความหมายไม่ได้ซ่อนอยู่แต่ในตัวหนังสือให้นักเขียนค้นหามาเท่านั้น แต่มันอยู่ทั่วไปหมด ถ้ามันอยู่ในสิ่งต่างๆอยู่แล้ว งานเขียนก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้ อาจจะถึงจุดที่เรียกว่า ไม่ต้องมีนักเขียนแล้วก็ได้ เพราะว่าเขียนไปก็ไม่ได้รับความสนใจ คนอ่านหมางเมิน เพราะคนอ่านไม่มีสายตาที่จะเห็นความหมายเหล่านั้นที่ซ่อนอยู่

ส่วนจุดประสงค์การเขียน คือการที่จะบอกความหมายของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะระดับวัตถุหรือนามธรรม ตื้นหรือลึกก็ตาม การเขียนเพียงหนทางหนึ่งที่จะสื่อสารทางหนึ่งเท่านั้น บางทีวิธีการสื่อสารอาจจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว การเขียนอาจจะไม่มีความสำคัญแล้ว เพราะการอ่านมันจะต้องใช้เวลา การฟัง การพูดจะมีความรวดเร็วกว่า สัมผัสได้รวดเร็วกว่า เพราะทุกอย่างมันเร็วขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคุณสามารถที่จะอ่านสิ่งที่อยู่ในชีวิตในโลกได้หรือไม่ คุณสามารถหยุดตัวเองที่จะอ่านความหมายได้ไหม บางทีถ้อยคำอาจจะมากเกินไปแล้ว เกินความจำเป็นแล้ว เหมือนอาหารที่มีเยอะแยะไปหมดเลย ตามห้างสะดวกซื้อทั้งหลาย ใครใคร่กินก็ยัดใส่ท้องไป เยอะแยะไปหมด เต็มไปด้วยพิษ โทษ ต้นเหตุทำให้เกิดโรค

ดังนั้นการเสพงานทุกๆด้าน “คุณต้องละเลียดเอาเอง ต้องเป็นนักอ่านเอาเอง ต้องอ่านว่ากินเพื่ออะไร ฟังเพื่ออะไร หรือแม้แต่การถกเถียง การใช้ถ้อยคำ บางทีถ้าเราเงียบก็จะสัมผัสความหมายได้มากกว่าพูด เพราะคนเราเขียนมากเกินไปแล้ว พูดมากเกินไปแล้ว ถกเถียงมากเกินไปแล้ว แต่การอ่านที่แท้จริงไม่เกิดขึ้นสักทีหรือเปล่า หรือบางทีเงียบเสียบ้างดีไหม”

...

สำหรับเส้นทางกวีของศักดิ์สิริ ที่ผ่านมายอมรับว่า ถ้าการเลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง การเขียนบทกวีเลี้ยงได้น้อยมาก คนเขียนบทกวีรู้กันอยู่ การวาดภาพยังดีกว่า เพราะเป็นเหมือนของสะสมของคน มูลค่ามากกว่า ส่วนการแต่งเพลงก็มีมูลค่าเหมือนกัน แต่ละเพลงไปสู่คน หมู่บ้าน เพลงหนึ่งฟังกันเป็นล้านๆ มูลค่าขึ้นตามความนิยม

สรุปว่า สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ด้วยการแต่งเพลง วาดรูป ส่วนบทกวีเป็นความสุขทางใจ

บทเพลงที่ศักดิ์สิริแต่งปัจจุบันมีไม่ต่ำกว่า 20 เพลง ด้วยเห็นว่า “เพลง กับบทกวีเป็นเรื่องเดียวกัน กวีไทยเรามีทำนองในตัวอยู่แล้ว บทกวีไทยเขียนเพื่อนำมาขับร้อง เพื่อนำมาแสดง วรรณศิลป์ไทยเป็นคีตศิลป์อยู่แล้ว เวลาแต่งเพลง เราเพียงแค่จัดสัดส่วนให้ตรงกับจังหวะ จังหวะก็คือการเปล่งเสียงออกมาเป็นระบบ”

ทักษะเหล่านี้ “เป็นประสบการณ์จากการฟังเพลง ถ้าเราเปิดโลกการฟังหลากหลายเราก็สามารถหยิบมาใช้ได้หลากหลายแนว” เพลงติดชาร์ต ตัวอย่างเช่น จุดอับสัญญาณ ของพัน ไมค์ทองคำ “หนึ่งนาทีก็มีค่าล้น ได้คุยกับคน ที่เรารักเป็นที่หนึ่ง...” ก่อนหน้านั้นก็มี กระเป๋าสมปอง
ของจ่อย ไมค์ทองคำ “เธอลืมกระเป๋าไว้ในแท็กซี่ หญิงสาวคนที่เพิ่งลงบางพลัด...”

และยังมีเพลง ฝากลมส่งไลน์ ของอุ้ม อนัญญา “ดอกอ้อไกวไหวโยน โอนระเนนเอนพลิ้ว ลูกยางนาปลิ้ว...”

ศักดิ์สิริบอกว่า สาเหตุที่ทำงานสร้างสรรค์ได้ตลอดเวลา เพราะว่าความเป็นคนที่มีเด็กน้อยอยู่ในตัว “มีความขี้เล่น มีความอยากรู้ อยากผจญภัย เราต้องกล้าที่จะป่ายปีน คลุกขี้โคลน กล้ามอมแมม เราต้องรักษาเด็กน้อยคนนั้นในใจของเราไว้ อยากจะวาดรูปก็หยิบเอาดินมาวาดได้ ต้องไม่ติดยึด เราต้องกล้าที่จะมอมแมม”

...

ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ การสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่ยอมรับนับว่ายากแล้ว แต่ดูเหมือนว่า การหยัดอยู่ด้วยอาชีพนักเขียนจะยากกว่า.