สุวรรณภูมิ แจงมาตรการเข้มป้องกันขโมยทรัพย์สินกระเป๋าผู้โดยสาร จ่อขึ้นบัญชีดำมือฉก ขู่ผู้รับสัมปทานขนกระเป๋า หากเกิดขึ้นอีกจะฉีกสัญญา เล็งตั้งบริษัทลูกดูแลเอง คาดใช้เวลา 2 ปี ขณะที่บีเอฟเอส ชี้ตรวจสอบแล้วไม่พบพนักงานพฤติกรรมน่าสงสัย...
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) แถลงข่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย และการป้องกันการลักทรัพย์สินจากกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร หลังเกิดการแชร์ข้อความ ภาพ และคลิปวิดีโอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และได้รับร้องเรียนว่ากระเป๋าผู้โดยสารถูกรื้อค้น และถูกตัดแม่กุญแจ ว่า ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า และสายพานคัดแยกกระเป๋าแล้ว ไม่พบความผิดปกติ หรือมีผู้ใดไปแตะต้องกระเป๋าระหว่างอยู่ในระบบสานพานลำเลียงที่อยู่ในการดำเนินงานของ ทสภ. โดยหลังจากนั้นกระเป๋าได้ถูกพนักงานขนถ่ายสัมภาระของสายการบิน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟล์เซอร์วิส จำกัด (บีเอฟเอส) ขนเข้ารถดอลลี่นำไปขึ้นเครื่อง
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานในส่วนที่ ทสภ.รับผิดชอบไม่ได้สร้างความเสียหายต่อกระเป๋าแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ พยายามติดตามความคืบหน้าการหาตัวคนร้าย โดยขณะนี้ทราบว่าอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
...
นายศิโรตม์ กล่าวต่อว่า ทสภ.ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สินของผู้ใช้บริการเป็นอันดับหนึ่ง โดยได้กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่คัดแยกกระเป๋าสัมภาระอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันการลักทรัพย์สินจากสัมภาระผู้โดยสาร อาทิ จัดชุดตรวจร่วม และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจตราดูแลในพื้นที่คัดแยกกระเป๋าตลอด 24 ชั่วโมง ควบคุมช่องทางเข้า-ออกของผู้ปฏิบัติงาน พนักงานที่จะเข้าไปปฏิบัติงานในเขตการบินต้องได้รับการตรวจบัตรรักษาความปลอดภัยสำหรับบุคคลและยานพาหนะที่ผ่านเข้า-ออกทุกครั้ง ห้ามนำทรัพย์สินติดตัวเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติงาน หากจำเป็นต้องนำเข้าไปต้องสำแดง และบันทึกไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม หากพบการกระทำผิดจะยึดบัตรรักษาความปลอดภัยบุคคล และขึ้นบัญชีดำในระบบการออกบัตรรักษาความปลอดภัย เพื่อไม่ให้สามารถเข้าพื้นที่เขตห้ามของ ทสภ.ได้อีก รวมทั้งส่งตัวผู้กระทำความผิดดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ได้เน้นย้ำกับฝ่ายบริการภาคพื้นอุปกรณ์ภาคพื้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีเอฟเอส ผู้ได้รับสัมปทานจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ในการให้บริการภาคพื้นกำกับดูแลผู้ปฏิบัติงานอย่างเข้มงวด ดำเนินงานตามมาตรฐานที่ ทอท. กำหนด หากผู้ประกอบการรายใดละเลย และปล่อยให้มีการลักทรัพย์สินจากกระเป๋าสัมภาระเกิดขึ้น จะพิจารณายกเลิกสัญญา
ขณะเดียวกันกำลังเตรียมจัดตั้งบริษัทลูกที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านบริการภาคพื้นเข้ามาบริหารจัดการดูแลด้านการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร รวมทั้งดูแลรักษาความปลอดภัยด้วยตนเองด้วย เพื่อให้สามารถควบคุม และป้องกันดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินของผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดว่าการจัดตั้งจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี
ด้าน น.ท.สุธน ยาปาน ผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคง บริษัท บีเอฟเอส กล่าวว่า บริษัทฯไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาสอบสวน และตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าไม่ปรากฏพฤติกรรมที่น่าสงสัย ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีมาตรการที่เข้มงวดในการตรวจตราระหว่างปฏิบัติงาน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ประกบกับพนักงานตั้งแต่จุดคัดแยกกระเป๋า จนกระทั่งกระเป๋าขึ้นเครื่องบินเรียบร้อย พร้อมกันนี้ยังควบคุมด้วยกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แทบทุกตารางนิ้ว เพียงพอที่จะตรวจสอบพฤติกรรมของพนักงานได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯ ดูแลกระเป๋าผู้โดยสาร 16 ล้านใบต่อปี และปีที่ผ่านมามีรายงานเกี่ยวกับกระเป๋าเสียหายไม่ถึง 30 ราย ถือเป็นสถิติที่น้อยมาก ซึ่งเราก็พยายามแก้ไขจุดที่บกพร่องเพื่อไม่ให้มีกรณีกระเป๋าเสียหายเกิดขึ้น
พ.ต.อ.มนเทียร เบ้าทอง ผู้กำกับ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เตรียมส่งกระเป๋าเดินทาง ลูกกุญแจ และนาฬิกา ไปตรวจดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝงต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเหตุเกิดขึ้นที่ประเทศไทย หรือญี่ปุ่น และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดก็ยังไม่พบตัวคนร้าย ดังนั้นจึงต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป อย่างไรก็ตามฝากถึงผู้โดยสารว่า อยากให้ใช้กระเป๋าเดินทางที่สามารถล็อกรหัสได้ ซึ่งจะดีกว่าการใช้แม่กุญแจล็อกกระเป๋า เพราะคนร้ายจะไม่สามารถเปิดกระเป๋าได้โดยง่าย.
...