มหาราชาแห่งราชัน ยังสถิตอยู่ในใจชาวไทย ตราบนิรันดร์...น้ำตาท่วมทั้งแผ่นดิน...คนดูข่าวดูไปก็น้ำตาร่วงอย่างเยอะ คนอ่านข่าวต้องบอกว่าน้ำตาร่วงเยอะยิ่งกว่า สื่อทุกสำนักต่างร่วมแรงร่วมใจกันรายงานข่าวอย่างเต็มที่ แฟนข่าวอาจจะไม่เห็นน้ำตาชัดๆ แต่ขอบอกดังๆ เลยว่า น้ำตานั้นท่วมท้นอยู่ข้างในใจ ทีมข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เพื่อนำเสนอข่าวในทุกๆ แง่มุมการสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทีมข่าวไทยรัฐทีวี มีความรู้สึกลึกๆ จากหัวใจ ที่จะมาบอกกับแฟนข่าวทุกคน
สุ วรรณธิณี สีเคน ผู้สื่อข่าวอาวุโส สายข่าวในพระราชสำนัก ทีมข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "แม้น้ำตาจะอาบแก้มกับข่าวความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ความรู้สึกของผู้สื่อข่าวในพระราชสำนักคนนี้ คงไม่ต่างไปจากความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ และยิ่งไปกว่านั้นคือ ภาพที่เราเคยติดตามทำข่าว ในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่ต่างๆ ได้ลอยขึ้นมาในความทรงจำ แต่ในฐานะผู้สื่อข่าว ก็ต้องกลั้นน้ำตาไว้และตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ่ายทอดความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อพระมิ่งขวัญของปวงชน ท่ามกลางน้ำตาของคนไทยที่ไหลนองแผ่นดิน สิ่งที่ฉันสัมผัสได้ตอนออกภาคสนามที่โรงพยาบาลศิริราชคือ เห็นประชาชนมารอด้วยใจจดจ่อจนแน่นโรงพยาบาลศิริราช และเต็มพื้นที่ตลอดเส้นทางจนถึงพระบรมมหาราชวัง
"ไม่มีเหตุผลอะไรจะชัดเจนไปกว่า คนไทยรักและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ประชาชนจะได้กราบถวายสักการะ ขบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ประชาชนตั้งใจมารอกันตั้งแต่วันที่ทราบข่าวสวรรคต บางคนมานอนรอข้ามคืนเพื่อจับจองพื้นที่แถวหน้า เรารู้สึกว่าประชาชนยังเต็มที่ขนาดนี้ ฉะนั้นเมื่อเราได้มีโอกาสเป็นสื่อกลางถ่ายทอดบรรยากาศตรงนี้แล้ว เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด"
...



มิลค์ เขมสรณ์ หนูขาว ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "หลังจากได้รับการแจ้งจากแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 38 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต ทีมข่าวและผู้ประกาศข่าวทุกคน ช็อก เพราะพยายามคิดมาตลอดว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่เราต้องพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ หลังจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยแถลงเสร็จสิ้น ไทยรัฐทีวีได้นำเสนอสารคดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ผ่านทางเฟซบุ๊กไลฟ์ Facebook Live
มิลค์ต้องอ่านแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวอีกครั้ง...ณ วินาทีนั้น มือสั่น เสียงสั่น แต่สิ่งที่คิดในใจคือ เราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 นี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง เป็นการทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด สมดังคำสอนของพ่อ ทุกครั้งที่ต้องนำเสนอรายงานพิเศษ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่คนไทยมีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องพยายามกลั้นน้ำตา และพูดอย่างไม่อายเลยว่า ร้องไห้ทุกครั้งหลังจบรายการ นี่คือการจัดรายการที่เราใช้พลังความทุ่มเทมากที่สุดในชีวิต ตอนนี้มิลค์ทำงานทั้งวัน...ทุกวันประจำการอยู่สถานี...ในห้วงระยะเวลาแห่งความเศร้าโศกของคนไทยทุกคน มิลค์ไม่เหนื่อย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเหนื่อยเพื่อพวกเรามามาก ความเหนื่อยของเราอันน้อยนิดนั้น เทียบไม่ได้เลย"

...


บุ๊ค สืบสกุล พันธ์ดี ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "เห็นรถพระที่นั่งสีเหลืองลีมูซีน ที่ 2 พระองค์เคยทรงนั่ง และทรงโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนเสมอ เคลื่อนมาเป็นรถเปล่า...ผมใจหายและเสียใจอย่างสุดซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ คิดว่าจากนี้ไปจะไม่ได้เห็นภาพของทั้งสองพระองค์แบบที่เคยเห็นอีกแล้ว...แต่ครั้นขบวนเสด็จฯ อีกขบวนเคลื่อนออกมา มีคนเปล่งเสียงทรงพระเจริญๆๆๆ ผมจ้องมองไปในรถ...สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงหันพระพักตร์มาทางฝั่งถนนวังหลัง ด้านที่ผมนั่งคุกเข่าถวายความเคารพอยู่พอดี ทรงโบกพระหัตถ์ ทรงแย้มพระสรวล หัวใจของผมแทบหยุดเต้น เพราะเหมือนได้สบพระพักตร์อย่างใกล้ชิด รอยแย้มพระสรวลนั้นช่างอบอุ่น เหมือนพระองค์คือความหวัง และเป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ยังทรงอยู่คุ้มครองเรา จากใจข้าพระองค์ที่มีบุญยิ่งนัก...ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านบทกลอนที่แต่งจากความรู้สึกของผม ที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9
...
"ถึงกายร้อน แต่ใจพร้อม
เพื่อรอน้อม ถวายภักดิ์
บาทบง ทรงเป็นที่รัก
ด้วยตระหนัก ประจักษ์ใจ
กางร่ม หรือห่มมิด
มิอาจปิด จากร้อนไหน
จะร้อนจิต ร้อนกายใจ
พ่อเคยให้ ร่มเงาประชา
ก้มกราบ ลงพื้นที่ร้อน
แต่กลับไม่ร้อน ยามพระองค์มา
เหมือนลมเย็น ที่พัดพา
ให้ปวงข้าฯ ทุกข์เสื่อมคลาย
แต่การมา ของพ่อครั้งนี้
กลับมิมี ชีวาอาศัย
ปวงข้าฯ ล้วนอาลัย
ทุกหัวใจ ระทวย ระทม
ประนมกราบ นาบลงพื้น
สุดกล้ำกลืน ฝืนจิตระบม
เสียงร่ำไห้ ประชาขรม
ต่างเศร้าตรม ขมขื่นอุรา
พ่อจากไป แต่ฤทัยยังอยู่
ลูกรับรู้ ด้วยห่วงด้วยหา
จะน้อมใจ ถวายชีวา
ด้วยสัญญา จะเดินตามรอย
มองบนฟ้า หาพระองค์
คิดว่าทรง อยู่บนเมฆที่ลอย
คงทรงคอย มองลงมา
ที่ปวงประชา ของพระองค์

...




นาน มนุชา เจอมูล ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "วันนั้น...ก้มหน้ายืนร้องไห้อยู่หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ บนถนนราชดำเนิน ปาดน้ำตา ก่อนจะสะพายเป้เดินข้ามฝั่งมาที่สนามหลวงเพียงลำพัง ระหว่างนั้นหันไปมองพระบรมมหาราชวัง แสงไฟเปล่งแสงทองอร่าม ท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน น้ำตาก็ยิ่งไหลไม่หยุด แต่เมื่อเริ่มพ้นแนวเงาไม้ เดินเลาะริมรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผู้คนเดินสวนทาง จึงพยายามกระตุ้นเตือนตัวเองว่า วันนี้ทำหน้าที่คนข่าว ใช้โทรศัพท์มือถือ บันทึกภาพข่าวและสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง ส่งโซเชียลมีเดียของสถานี ทันทีที่ไปถึงท่าพระจันทร์-วังหลัง (ศิริราช) ก็เริ่มบันทึกคลิปวีดิโอ ภาพที่บันทึกไว้ได้ เป็นภาพประชาชนเดินไปร้องไห้ไป บ้างก็เกาะกลุ่มกอดคอกันร้องไห้ บางคนเดินไม่ไหว ยืนพิงร้านค้าร้องไห้โฮ
แม่ค้าในร้านเก็บของไปร้องไห้ไปก่อนจะปิดร้าน หลายคนสวมเสื้อสีชมพู สวมเสื้อสีดำ รีบวิ่งไปขึ้นเรือมุ่งไปท่าวังหลังทั้งน้ำตา ส่วนฝั่งที่กลับจาก รพ.ศิริราช บางคนสวมเสื้อสีชมพูกอดพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า จากนั้นขึ้นเรือข้ามฟากไปสมทบทีมข่าวที่โรงพยาบาลศิริราช สัมภาษณ์พสกนิกรที่นั่งจุดเทียนพร้อมๆ กับสวดมนต์บริเวณลานพระบิดา ระหว่างบันทึกคลิปสัมภาษณ์ ถ้อยคำความรู้สึกของแหล่งข่าวที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บกลั้นน้ำตาและความรู้สึกที่เหมือนหัวใจแตกสลาย เช่นเดียวกับพสกนิกรที่มารวมตัวกันอยู่ที่ลานพระบิดา เมื่อการทำงานในค่ำคืนนั้นเสร็จสิ้น จึงบันทึกภาพเก็บไว้ในความทรงจำ ว่า 13 ตุลาคม 2559 เดินทางมา ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชนไทยและแสดงความอาลัย ในฐานะไพร่ฟ้าที่ได้เกิดมาอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์"


นิวนาว สุภาณี คชพันธ์สมโภชน์ ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ไปติดตามบรรยากาศการสวดมนต์และการถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่โรงพยาบาลศิริราช ในวันนั้นมีประชาชนสวมใส่เสื้อสีเหลืองและสีชมพูมากันเต็มโรงพยาบาล แต่ละคนตั้งใจมาเพื่อร่วมสวดมนต์บทโพชฌังคปริตร และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้พระองค์หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว แต่เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ขณะนั้นดิฉันเตรียมพร้อมที่จะรายงานสด และยืนอยู่ท่ามกลางประชาชนที่เฝ้ารอติดตามข่าวของพระองค์อย่างใจจดใจจ่อ ทุกคนก็ได้รับข่าวแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังเรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชสวรรคต ผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย เมื่อทราบข่าวร้ายที่สุดในชีวิต นาทีนั้น เสียงร้องไห้ของพสกนิกรระงมไปทั่วบริเวณ น้ำตาแห่งความอาลัยไหลนองไปทั่วโรงพยาบาลศิริราช
"ดิฉันอ่านแถลงการณ์สำนักพระราชวังแต่ละประโยคด้วยหัวใจอันสั่นเทา ขนลุกทั่วร่างกาย ไม่อยากจะให้วันนี้มาถึง น้ำตาของดิฉันรื้นขึ้นมาจนจะปริ่มไหล ดิฉันบอกกับตัวเองว่า ดิฉันต้องเข้มแข็ง อดทนอดกลั้น ทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว รายงานข่าวให้ประชาชนได้รับทราบก่อน ถ้าเราร้องไห้ ประชาชนที่รับข่าวก็ต้องร้องไห้หนักยิ่งกว่า ดิฉันกลืนน้ำตาลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามถ่ายภาพบรรยากาศที่เกิดขึ้น และตั้งสติเตรียมพร้อมจะทำหน้าที่ตลอดเวลา...ตลอดชีวิตผู้ประกาศและนักข่าวไทยรัฐทีวีที่ผ่านมา ดิฉันเคยไปทำข่าวสารคดีเฉลิมพระเกียรติ ไปรายงานบรรยากาศในโอกาสมหามงคลต่างๆ แต่ในวันนี้ดิฉันต้องทำข่าวที่เสียใจที่สุดในชีวิต ดิฉันจึงขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ"



น้ำแข็ง อารียา เฟื่องประดิษฐ์กุล ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "ตลอดช่วงบ่ายวันที่ 13 ต.ค.59 เป็นช่วงเวลาแห่งการประคองสติ เพราะข่าวสารเยอะเหลือเกิน เราเป็นผู้ประกาศคนหนึ่งในทีมผังปกติ ที่จะดำเนินทุกอย่างตามปกติจนกว่าจะมีการแถลง ในขณะที่ผู้ประกาศอีกชุด เป็นทีมผังพิเศษ คือแต่งชุดดำ พร้อม stand by ทันทีที่มีการแถลง และวันนี้พิธีกรคู่อย่างพี่บุ๊ค สืบสกุล ก็ต้องไปรอรายงานสดที่ศิริราช ราชดำเนิน เลยเป็นคิงส์ พีระวัฒน์ มาเฉพาะกิจ ซึ่งการจัดรายการรถปลดทุกข์ เป็นการจัดรายการด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก ได้แต่บอกตัวเองว่าทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด ในฐานะที่สื่อมวลชนคนหนึ่งจะทำได้
"คงเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ที่จะอยู่ในใจเราตลอดไป เมื่อเสร็จรายการ เข้ามาฟังแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ผู้ประกาศที่อยู่ในห้องแต่งตัวด้วยกันหลายๆ คนก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แม้ว่าพวกเราพอทราบสถานการณ์มาก่อนแล้วก็ตาม ทุกอย่างดูมืดมิดไปหมด ยากเหลือเกินที่จะทำใจได้ และยิ่งได้มาทำหน้าที่ผู้ประกาศภาคสนาม ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นศูนย์รวมจิตใจ ยิ่งทำให้รู้สึกสะเทือนใจ ยากเหลือเกินกับการคุมสติ ประคองความรู้สึก และพยายามรายงานสดให้ได้ในแต่ละครั้ง เวลาสัมภาษณ์ประชาชนได้ฟังเสียงที่ออกมาจากหัวใจ ก็ยิ่งทำให้น้ำตาคลอ ท่ามกลางบรรยากาศและสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ แต่สิ่งเดียวที่เราคิดและตั้งใจ คือเป็นโอกาสเดียวที่จะทำหน้าที่พสกนิกรไทยและสื่อมวลชนอย่างสุดความสามารถ ก็ทำให้การรายงานสดแต่ละครั้งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี...ภูมิใจที่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย"





รพี รพีพรรณ เรือนศรี ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องรายงานข่าว ในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สวรรคต เช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อรายงานข่าวพสกนิกรชาวไทยเดินทางไปถวายพระพรและสวดมนต์ เพื่อขอพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร แต่ไม่คิดว่าต้องมารายงานข่าวที่เศร้าที่สุดในชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ
"ทันทีที่รับรู้ถึงการจากไปของพระองค์ท่าน ทุกอย่างมันหยุดลง ตัวชา น้ำตาเริ่มไหล แต่ต้องกลั้นใจ เพื่อไม่ให้ประชาชนที่เฝ้ารออย่างมีความหวังเกิดความสงสัย เพราะขณะนั้นเราอยู่ในหัวโขนที่เรียกว่า สื่อมวลชน ดังนั้นต้องระมัดระวังทุกกิริยา จนกว่าแถลงการณ์ที่ชัดเจนจะประกาศ เมื่อความชัดเจนปรากฏขึ้น เสียงร้องไห้ดังไปทั่วโรงพยาบาล น้ำตาเราเองก็เริ่มไหล แต่ต้องยกมือขึ้นมาปาด แล้วทำหน้าที่ต่อ มันเจ็บปวดนะ กับการที่เราต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป สัมภาษณ์ความรู้สึกประชาชนในตอนนั้น เพราะคงไม่ต่างกันกับเรา ก็ได้แต่ยกมือปาดน้ำตาทำงานต่อ จนสิ้นสุดภารกิจ...แล้วกลับมาร้องไห้ที่ห้องนอน ภายใต้ความเสียใจ มีความรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างมากสำหรับเรา เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตได้ทำหน้าที่เพื่อพ่อของแผ่นดินจนวินาทีสุดท้าย!"




ปิดท้ายกันด้วย ฝ่า ศิริพร วุฒิทวี หัวหน้าส่วนงานผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี Thairath TV "ในวันพฤหัสฯ ที่ 13 ตุลาคม ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมไปควบคุมการออกอากาศรายงานสด บรรยากาศที่ถนนราชดำเนิน ทันทีที่โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ออกประกาศสำนักพระราชวังเรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สวรรคต ดวงใจของดิฉันแตกสลาย น้ำตาไหลพราก ในล็อบบี้ของโรงแรมรัตนโกสินทร์ คนพากันร้องไห้ระงม แต่เราในฐานะนักข่าวก็ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ สั่งการให้ทุกคนรีบไปทำข่าวตามแผนที่วางไว้ และรีบนำกลับมาออกอากาศให้ทันเวลา