
จากที่เคยแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ตอบรับชัดแจ้ง ไม่ปฏิเสธชัดเจน กับคำถามของนักข่าวเกี่ยวกับการเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
สมัยหลังมีการเลือกตั้งปลายปีหน้า แต่พอชนะการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ บวกกับได้แรงใจสนับสนุนจากบ้านสี่เสาเทเวศร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ก็กล้าแพลมไต๋ให้เห็นชัดขึ้น ล่าสุดถึงกับบอกว่า “พร้อมจะอยู่ต่อไปด้วยกลไกประชาธิปไตย ให้สง่างาม”
แถมหยอดทิ้งท้ายด้วยว่า “พูดอย่างนี้เดี๋ยวสื่อไปบอกว่าเปิดตัว” ก็ไม่รู้ว่าบิ๊กตู่ พูดดักคอไม่อยากให้เป็นข่าว หรือ ตั้งใจพูดเพื่อให้เป็นข่าวกันแน่ แต่สื่อกระแสหลักหลายสำนักก็พร้อมใจหยิบมาเป็นประเด็นพาดหัวข่าวการเมือง
ถ้ามาตามระบบ มาตามกลไกประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นใคร สังคมก็ไม่รังเกียจ และจะมีความสง่างามอย่างแท้จริง ยิ่งถ้าสามารถทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจเฟื่องฟู ชาวบ้านอิ่มท้อง ลดอาชญากรรม ขจัดความขัดแย้งแตกแยก อาจได้รับเสียงเชียร์ให้อยู่ยาว 20 ปี
ในเมื่อบิ๊กตู่เริ่มโชว์ว่าให้ความสำคัญกับกลไกประชาธิปไตย อีกทั้งเรากำลังจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ที่ผ่านประชามติ ก็น่าจะถึงเวลาอันสมควรที่บิ๊กตู่จะปรับโหมดเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ถือว่าเป็นการทดลองงานไปในตัวก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ควรใช้อย่างจำกัด ใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ ใช้อย่างเป็นธรรม และไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เพื่อให้การใช้อำนาจพิเศษนี้เกิดความชอบธรรม ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
วันนี้ผมไม่ได้มาสวนกระแสสังคม แต่อยากกระตุกให้ฉุกคิด
กรณีคำสั่ง หัวหน้า คสช.ที่ 50/2559 ที่ให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ระงับการปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นการชั่วคราว โดยไม่พ้นจากตำแหน่ง และให้ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ระงับการปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นการชั่วคราว โดยไม่พ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้องค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญหรือหน่วยงานของรัฐ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบให้เสร็จสิ้นก่อน
แน่นอนคำสั่งนี้สะใจคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงตัวผมเองทีแรกก็รู้สึกสะใจเช่นกัน
แต่คำสั่งนี้ออกมาไม่ถูกเวลา
จังหวะที่เหมาะสมในการสั่งพักราชการ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ควรทำตั้งแต่ตอนที่ สตง.ตรวจพบความผิดโครงการอุโมงค์ไฟลานคนเมือง 39 ล้านบาท หรืออย่างช้าที่สุดก็น่าจะใส่ชื่ออยู่ในคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 43/2559 ที่เชือดเจ้าหน้าที่รัฐที่ส่อเค้าทุจริตลอต 4 เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่วนกรณี นพ.เปรมศักดิ์จับนักข่าวแก้ผ้า ถ้าบิ๊กตู่จะออกคำสั่งระงับการปฏิบัติราชการ ก็ควรสั่งตั้งแต่ตอนที่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ณ จุดนั้น กับ ณ เวลานี้ เงื่อนไขในการสอบสวนแทบไม่ได้ ต่างกันเลย แล้วทำไมเพิ่งออกคำสั่งเชือด
ผมไม่เชื่อว่าบิ๊กตู่คิดช้า แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามีเจตนาแอบแฝงอะไร
นอกจากนี้ กฎหมายที่ใช้บังคับกับกรณีนี้มีอยู่แล้ว ผู้ว่าฯ กทม.ขึ้นกับ รมว.มหาดไทย นายกเทศมนตรีขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัด การสั่งพักราชการมีระเบียบปฏิบัติตามกฎหมาย จึงควรปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปตามปกติ
ผลประชามติสะท้อนว่าคนอยากให้มีเลือกตั้ง อยากให้ทุกอย่างกลับสู่ระบบปกติโดยเร็ว ไม่ใช่อยากให้ผู้นำใช้อำนาจพิเศษพร่ำเพรื่อ.
ลมกรด