ไม่พลิกความคาดหมาย หลังศาลอาญากรุงเทพใต้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีรื้อบาร์เบียร์ในซอยสุขุมวิท 10 ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2546
ตัดสินจำคุก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร คนละ 2 ปี ส่วนลิ่วล้อคนอื่นๆอีก 31 คนที่มาฟังคำพิพากษา ถูกจำคุกลดหลั่นกันไปตั้งแต่ 2 ปี 15 วัน ไปจนถึง 4 ปี
เรียกว่า เดินคอพาเหรดเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพไปตามๆกัน
เนื่องจากพฤติกรรมก่อเหตุที่อุกอาจ ใช้ชายฉกรรจ์กว่า 100 คน ขนรถแบ็กโฮไปลุยรื้ออาคารสถานที่อย่างไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน
ถึงแม้ว่านายชูวิทย์ จะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แต่ไม่ใช้กฎหมายตัดสินความขัดแย้ง!
ถ้าดูจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินจำคุกผู้ต้องหาทั้งหมดคนละ 5 ปีแล้ว ศาลฎีกายังปรานีลดโทษให้ด้วยเหตุผลว่า
หลังเกิดเหตุนายชูวิทย์ได้เยียวยาผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจ และยังนำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ บ่งบอกว่า นายชูวิทย์กับพวกรู้สึกสำนึกผิดนับว่ามีเหตุให้ปรานี
จึงเห็นควรปรับบทลงโทษให้เหมาะสม และผลแห่งการนี้เป็นคุณไปถึงจำเลยอื่นด้วย
นอกจากนี้ที่ลุ้นว่า นายชูวิทย์จะเดินทางมาฟังคำตัดสินของศาลฎีกาหรือไม่ สุดท้ายก็เดินทางมาฟังคำพิพากษา และน้อมรับคำตัดสินอย่างที่เคยยืนยัน
“วันนี้ตนพร้อมเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองและประชาชนทั่วไปเห็นว่า ตนไม่หนี จะอยู่ตรงนี้ และยอมรับคำพิพากษา แม้ว่าตนจะถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธมาเป็นการยอมรับสารภาพ ก็เป็นวิธีทางกฎหมายที่ตนได้สู้จนนาทีสุดท้าย ตนไม่เคยคิดจะหลบหนีไปนั่งจิบไวน์บนเรือยอชต์ ถ้าวันนี้จะติดคุก ถูกสื่อมวลชนนำไปพาดหัว ยังไงก็พร้อม”
“ผมไม่อยู่ แล้วจะคิดถึงผม” นายชูวิทย์ตบท้ายก่อนเดินเข้าคุก
ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยให้ราคานายชูวิทย์เท่าไหร่ เพราะเชื่อว่า เป็นแค่คนทำธุรกิจสีเทาที่ถูกตำรวจรังแกจนทนไม่ไหว เลยมาเล่นการเมือง ใช้สื่อเป็นอาวุธในการต่อสู้
แต่ถึงวันนี้ อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ นายชูวิทย์สำนึกในการกระทำตัวเอง
สมควรให้ศาลปรานีจริงๆ?
สหบาท