สัปดาห์ก่อนได้เขียนถึงบทบาทของ Social Media ที่น่าจะมีส่วนสำคัญให้เว็บไซต์ที่อ้างตัวว่าเป็น “เว็บข่าว” แต่เน้นการนำเสนอแต่ข่าวประเภทไร้สาระ กระจายเนื้อหาไร้สาระนั้นไปสู่พลเมือง Social Media ชาวไทย จนกลายเป็นพฤติกรรมแชร์ลูกโซ่หรือ Viral ทำให้ยอด UIPs ขึ้นแบบถล่มทลาย

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์นักวิชาชีพใฝ่เรียน เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของคณะนิเทศศาสตร์ ในหัวข้อเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบันและอนาคตของข่าวสืบสวนในประเทศไทย มีคำถามหลายคำถามน่าสนใจและชวนให้คิดก่อนจะตอบคำถามออกไปได้

คำถามแรกที่น่าสนใจและเป็นปัญหาโลกแตกอย่างมากก็คือ หนังสือพิมพ์ (กระดาษ) จะอยู่ได้นานอีกแค่ไหนในยุคที่ Social Media กลายเป็นช่องทางในการส่งข่าวและเสพข่าวของคนรุ่นใหม่ไปแล้ว เรื่องนี้ กูรูในวงการหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย มีคำตอบที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่าอีกไม่เกิน 10 ปี บางคนบอก 20 ปี และบางคนบอกว่านานกว่านั้น

ในทรรศนะส่วนตัว ไม่สามารถตอบได้ว่า หนังสือพิมพ์จะอยู่ได้นานอีกแค่ไหน เพราะมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้หนังสือพิมพ์มีอายุยืนนานหรือจะหายไปจากโลกนี้ในเวลาอันรวดเร็ว เช่น 1) ช่วงอายุของประชากรที่ยังอ่านหนังสือพิมพ์ 2) โอกาสการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3) ความแพร่หลายอุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงสื่อออนไลน์และ Social Media เช่น สมาร์ทโฟน หรือ Tablet devices ต่างๆ เป็นต้น

...

แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ หนังสือพิมพ์น่าจะปรับตัวไปในทิศทางใด เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้นานที่สุด ซึ่งเมื่อพิจารณาในประเด็นนี้แล้ว คงต้องมาวิเคราะห์ถึงกลุ่มผู้อ่านหนังสือพิมพ์ในปัจจุบันเสียก่อน

ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน ประชากรไทยที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีลงมา แทบจะไม่มีใครบริโภคข่าวสารโดยการอ่านหนังสือพิมพ์กระดาษอีกแล้ว ผู้ที่อ่านหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้มีอายุระหว่าง 40-70 ปี เพราะเป็นกลุ่มคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ในวัยมัธยม จึงอาจยังไม่คุ้นเคยกับการอ่านข่าวออนไลน์

ประชากรกลุ่มนี้ นอกจากจะยังนิยมบริโภคข่าวสารผ่านหนังสือพิมพ์กระดาษแล้ว ก็ยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ดังนั้น จึงยังคงเป็นฐานผู้อ่านและผู้ซื้อหนังสือพิมพ์ที่สำคัญ ทำให้ยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยลดลงไม่มากนัก เมื่อเทียบกับในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ประชากรเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ในสัดส่วนที่มากกว่าคนไทย

เมื่อยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยยังไม่ลดลงแบบน่าตกใจ เราจึงยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในด้านเนื้อหาอย่างชัดเจนในหน้าหนังสือพิมพ์ไทย แต่ในอนาคต เมื่อยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ลดลงมากๆ ก็เชื่อว่าหนังสือพิมพ์จะต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่
การปรับตัวที่ว่านี้ น่าจะเป็นการปรับตัวที่เนื้อหาเป็นหลัก เพราะเมื่อคนส่วนใหญ่สามารถติดตามสถานการณ์หรือข่าวสารประจำวันได้จากสื่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ เว็บไซต์ข่าว หรือแม้แต่ Social Media ตลอดทั้งวัน การตอบคำถามว่า “ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ที่ไหน ทำไม และอย่างไร” นั้น น่าจะไม่ใช่หน้าที่ของหนังสือพิมพ์อีกต่อไป

หนังสือพิมพ์ในอนาคตต้องตอบคำถามว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไร ที่ไหน ทำไมและอย่างไรแล้ว ต้องตอบคำถามว่า แล้วเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป รวมทั้งจะมีผลกระทบอย่างไรต่อผู้บริโภคสื่อด้วย ซึ่งการตอบคำถามที่ว่านี้ นักข่าวและบรรณาธิการต้องใช้ทักษะการรายงานข่าวแบบตีความ (Interpretive Reporting) และการรายงานข่าวเชิงสืบสวน (Investigative Reporting) มากขึ้น ไม่ใช่การรายงานข่าวแบบเดิม แล้วอาศัยคอลัมน์นิสต์หรือนักวิชาการและนักธุรกิจมาช่วยวิเคราะห์วิจารณ์เหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ต่างๆแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ขณะที่สื่อโทรทัศน์ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคของการผูกขาดคลื่นความถี่มาสู่ยุคของการเปิดเสรีให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของคลื่นความถี่ได้เอง ด้วยมีการมีทีวีดิจิตอลเข้ามาสู่ตลาดพร้อมกันทีเดียว 24 ช่อง (แม้ว่า 3 ช่องในจำนวนนี้ จะออกอากาศคู่ขนานกับระบบอะนาล็อกเดิม) ก็ได้รับผลกระทบจาก Social Media ไม่น้อย

ทั้งนี้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ประชากรไทย วัยตั้งแต่ 25 ปีลงมานั้น นอกจากจะไม่อ่านหนังสือพิมพ์หรือบริโภคข่าวสารจากเว็บไซต์ข่าวแล้ว พวกเขายังไม่บริโภคสื่อโทรทัศน์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายการข่าว หรือรายการสาระบันเทิงต่างๆ เพราะพวกเขาสามารถเลือกเสพสื่อเหล่านี้ได้จากโลกออนไลน์ทั้งหมด โดยไม่ต้องพึ่งพาโทรทัศน์

เราจึงเห็นได้ว่า สื่อโทรทัศน์ในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัย Social Media เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข่าวและรายการต่างๆ เพื่อให้มีจำนวนผู้ชมมากที่สุด แต่ต้องไม่ลืมว่า ข่าวและรายการที่ถูกนำไปไว้บน Social Media นั้น เจ้าของเนื้อหา หรือ Content จะไม่ได้รายได้โฆษณาเพิ่มจากส่วนที่ออกอากาศผ่านโทรทัศน์ เพราะรายได้ส่วนนี้เป็นของเจ้าของ Social Media

ดังนั้น โทรทัศน์ในอนาคตจึงต้องเตรียมที่จะหารายได้จากช่องทางอื่นๆ เช่น การขายลิขสิทธิ์ข่าวหรือรายการ การจัดงาน Event หรือแม้แต่การขายสินค้าผ่านโลกออนไลน์ และการต่อรองขอแบ่งรายได้จากเจ้าของ Social Media เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่รุนแรงเพื่อแย่งเม็ดเงินโฆษณาที่นับวันจะน้อยลงเรื่อยๆ ตามการเติบโตของ Social Media

...

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ Social Media กำลังเป็นตัวกำหนดการเติบโตของสื่อออนไลน์อย่างชัดเจน แต่ Social Media ก็มีส่วนสำคัญต่อการอยู่หรือไป หรือจะรุ่งหรือร่วงของสื่อดั้งเดิมอย่างหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ด้วยเช่นกัน...

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี
Twitter: @chavarong
chavarong@thairath.co.th