
"เพื่อไทย" ชี้ "ศาล รธน." รับคำร้องปมโยก "ถวิล" หวังตั้งนายกฯ คนนอก ปัด "ยิ่งลักษณ์" แทรกแซงขัด รธน. เผยแม้สถานะรัฐมนตรีนายกฯ สิ้นสุดลง รองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนได้
วันที่ 4 เม.ย. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัยนายโภคิน พลกุล กรรมการยุทธศาสตร์ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษากฎหมาย และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดยนายโภคินระบุว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการยื่นคำร้องและการรับคำร้องไว้พิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมีนัยทางการเมืองแอบแฝง เพื่อหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในการตั้งนายกฯ คนนอก หรือนายกฯ นอกรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคเห็นว่าไม่อาจกระทำได้ จึงมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าวดังนี้
1. การที่นายกฯ ใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในฐานะที่นายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่การก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโดยที่ตนเองไม่มีอำนาจตามกฎหมาย อันจะถือว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิลนั้น ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาไว้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกฯ ตามกฎหมาย เพียงแต่ศาลเห็นว่าการแต่งตั้งเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบเท่านั้น แต่ไม่ใช่การก้าวก่ายแทรกแซง
2. ตามคำร้อง นอกจากได้มีคำขอให้วินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว ยังขอให้วินิจฉัยให้ ครม.ทั้งคณะสิ้นสุดลง และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้มีการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ ตามมาตรา 172 และ 173 โดยอนุโลมด้วย ซึ่งเห็นได้ว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขอที่นอกรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยได้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามคำขอเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญฉีกรัฐธรรมนูญ และกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง ไม่ต่างกับการใช้อำนาจตุลาการทำการรัฐประหาร
3. เมื่อนายกฯ และ ครม.พ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 (2) เพราะเหตุมีการยุบสภาฯ แล้ว เพียงแต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 181 กำหนดให้ ครม.ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อรอ ครม.ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่เท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงซ้ำอีกได้ เพราะผลก็คือการทำให้ครม.ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งปัจจุบันก็พ้นไปแล้ว เนื่องจากการยุบสภาฯ เทียบกับกรณีที่มีการร้องให้วินิจฉัยความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สิ้นสุดลง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญให้จำหน่ายคดีโดยวินิจฉัยว่าความเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์สิ้นสุดลงแล้วเพราะการยุบสภาฯ
4. แม้จะมีการวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลง ย่อมไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีคนอื่นๆ รองนายกฯ ย่อมปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ต่อไปได้ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 กรณีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แม้ความเป็นนายกฯของนายสมัครจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัว แต่รัฐมนตรีที่เหลือย่อมต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา 181
5. การจะนำมาตรา 172 และ 173 มาใช้เพื่อให้มีการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่โดยอนุโลมในขณะนี้นั้นไม่อาจทำได้ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่านายกฯ ต้องเป็นส.ส.และมีกระบวนการแต่งตั้งได้ให้ความเห็นชอบ โดยที่ประชุม ส.ส.ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การจะได้นายกฯ คนใหม่จึงต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้ง และมีสภาผู้แทนราษฎรแล้วเท่านั้น
ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาข้างต้น พรรคจึงเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญควรยึดมั่นในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและตัดสินให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง ยุติธรรม ไม่ตัดสินเพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยวิถีทางนอกรัฐธรรมนูญ เพราะหากกระทำการไปโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญและขัดต่อความรู้สึกของประชาชนแล้ว ประชาชนย่อมไม่อาจยอมรับได้