“ธนกร” อภิปรายงบประมาณ 2569 ชงตัดงบรายจ่ายประจำไม่เกิน 69% แนะเพิ่มงบลงทุน 25% ดันเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยยั่งยืน แข่งขันได้ หนุนรัฐบาลออก “คนละครึ่ง” เวอร์ชั่นใหม่กระตุ้นกำลังซื้อ ขอทุกฝ่ายลดการเมืองยึดประเทศเป็นหลัก

วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ร่วมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า วันนี้งบประมาณปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 0.7% ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ วันนี้งบประมาณปี 2569 ไม่ใช่เครื่องมือประคองในระยะสั้นเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการเร่งเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ เพราะปัจจุบันเราได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศเรื่องสงครามการค้าโลก

เมื่อไปดูในเนื้อหางบประมาณยังคงจัดงบประมาณในรูปแบบเดิมอยู่ ซึ่งมีรายจ่ายประจำสูงถึง 70.2% ทำให้ไปเบียดบังงบลงทุนเหลือแค่ 22.9% จึงทำให้การพัฒนาเดินหน้าไปได้ยาก จึงเสนอให้จำกัดรายจ่ายประจำไม่เกิน 68-69% และขอให้กันงบลงทุนไว้ที่ขั้นต่ำต้อง 25% เพื่อใช้ในการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาทุนมนุษย์ ทั้งนี้ ในภาพรวมของเศรษฐกิจวันนี้ ตนคิดว่ามีปัญหา สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันมีความเปราะบางเป็นอย่างมาก มีแรงต้านสูง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ ได้แถลงตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัวแค่ 3.1% เท่านั้น เพราะมีปัจจัยจากปริมาณการส่งออกและการลงทุนภาครัฐ เศรษฐกิจไทยแม้เติบโตแต่ก็มีปัญหาเพราะขับเคลื่อนยากมาก ภาคอุตสาหกรรมหดตัว ภาคท่องเที่ยวโดยเฉพาะจีน หายไปกว่า 40% ฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาด้วยว่าจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร เพราะในช่วงโควิด-19 ระบาดนักท่องเที่ยวจีนหายไปแค่ 35% แต่วันนี้หนักกว่าช่วงโควิด-19

...

นายธนกร กล่าวต่อไปว่า ประเทศมีปัญหาเชิงโครงสร้างสะสมและปัญหาแรงกดดันจากภายนอก ศักยภาพการเติบโตเหลือแค่ 3% เมื่อเทียบกับเวียดนามที่โต 6-7% แล้ว วันนี้เกิดความเปราะบางด้านสงครามการค้า โดยเฉพาะกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา ตนเคยเสนอว่าให้ใช้อดีตผู้นำซึ่งเป็นญาติของนายกฯ และใช้นักธุรกิจของไทยไปเจรจา มองว่า เรื่องการเจรจากับสหรัฐฯ รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว วันนี้การส่งออกไปสหรัฐอเมริกา สูงถึงร้อยละ 17.2 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หรือประมาณร้อยละ 10 ของ GDP เพราะฉะนั้นถ้าดำเนินการไม่ได้ไทยจะเสียหายกว่าปีละ 300,000 ล้าน กระทบแรงงานกว่า 100,000 อัตรา ซึ่งวันนี้รัฐบาลได้ส่งทีมไปเจรจาก็ต้องทำควบคู่กันไป

นอกจากนี้ โครงสร้างแรงงานของประเทศไทยยังไม่ตอบโจทย์เพราะส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรมกว่า 60% ไม่มีความเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้าอีวี และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งต้องขับเคลื่อนในเรื่องนี้เพิ่มเติม ซึ่งทุกคนทราบดีว่าสถานะทางการคลังของประเทศมีความเปราะบางเป็นอย่างมาก เพราะระดับหนี้สาธารณะของไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 64.4% แม้ว่าอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง แต่ตนคิดว่ามันตึงตัวมาก ซึ่งต้องดูในเรื่องนี้

พร้อมกันนี้ นายธนกร มีข้อเสนอว่าการจัดทำงบประมาณต้องมีการทำเพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทย จะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างมีเป้าหมาย โดยเฉพาะเรื่องการเบิกจ่าย การลงทุนโครงการขนาดใหญ่โลจิสติกต้องสนับสนุนมาตรการชั่วคราวที่เคยพูดหลายครั้งเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ เรื่องการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และขอให้มีการทำโครงการ “คนละครึ่งเวอร์ชั่นใหม่” ขึ้นมา หากปรับให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจวันนี้ เชื่อว่าจะช่วยเหลือประเทศได้ ซึ่งรัฐบาลในชุดนี้คงต้องทำเนื่องจากนโยบายดีๆ ในรัฐบาลชุดที่แล้วก็เห็นหลายอย่างที่รัฐบาลชุดนี้ทำต่อ ส่วนการลงทุนระยะยาว จะต้องมีการยกระดับขีดความสามารถของประเทศจะต้องมีการจัดตั้งกองทุนเปลี่ยนผ่านประเทศ สนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว อุตสาหกรรมดิจิทัล และยานยนต์ EV และจะต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่เรื่องดิจิทัล 5G Big Data และการผลักดันภาษีใหม่เช่นคาร์บอนแทรคก็ต้องทำ

“จัดงบปี 69 ไม่ใช่บริหารแค่ 1 ปี แต่ต้องมองในระยะยาว ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ เป็นการใช้จ่ายที่มีเป้าหมายชัดเจนสมดุล สร้างอนาคตใหม่ การสร้างวินัยทางการเงินการคลังที่ยั่งยืน วันนี้ก็ให้กำลังใจรัฐบาล เพราะปัญหาการเมืองก็มีหลากหลาย เป็นเวลาที่ต้องลดเรื่องการเมืองลงเอาบ้านเมืองเป็นหลัก เชื่อว่าจะสามารถเดินหน้าประเทศไปได้”

(ภาพ : ธนัท ชยพัทธฤทธี)