“ภูมิธรรม” มองทนายความ “ยิ่งลักษณ์” สามารถใช้หลักฐานใหม่สมัยนั่ง รมว.พาณิชย์ ระบายข้าวกิโลกรัมละ 18 บาท เป็นข้อต่อสู้คดีได้ ขออย่าโยงเป็นมิติการเมือง ชี้ โกดังถูกปิดตาย ไม่เคยมีใครเคยรู้ว่าข้าวเน่าจริงหรือไม่
เมื่อเวลา 16.50 น. วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เป็นเงิน 10,028 ล้านบาท ว่า เข้าใจว่าเดิมศาลได้ตัดสินไป 30,000 กว่าล้านบาท ซึ่งการพิจารณาทำให้เห็นว่ามีประเด็นหรืออะไรที่ยังทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ ทำให้การพิจารณาลดทอนลงมาเหลือ 1 ใน 3 เท่ากับว่านี่เป็นดุลยพินิจของศาลที่ได้พิจารณา เราต้องเคารพ
ทั้งนี้ ผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่ต้องทำความกระจ่างให้เกิดขึ้นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะนี้แม้จะเป็นศาลฎีกาแล้วก็ตาม แต่ในการพิจารณาศาลยังไม่ได้วางกรอบระยะเวลา ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งยังสามารถพิสูจน์ทราบได้ เพราะครั้งนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้นำมาประกอบการพิจารณา เป็นการมองในแง่มุมเดียว
นายภูมิธรรม กล่าวต่อไปถึงส่วนที่เป็นปัญหาที่ตนเคยทำงานไว้ ซึ่งขายข้าวได้ 200 กว่าล้านบาท ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าจริงๆ วิธีคิดตั้งแต่แรกก็มีปัญหาในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งเข้าใจว่าทนายความของผู้ถูกกล่าวหาได้ประกาศแล้วว่าจะขอยื่นให้พิจารณาหลักฐานใหม่เพิ่มเติม ก็คิดว่าการใช้มาตรฐานที่ตนได้ทำไปแล้วพิสูจน์ว่าข้าว 10 ปีก็ยังขายได้กิโลกรัมละ 18 บาท ไม่ใช่เอาไปขายแบบที่เคยเกิดขึ้นกิโลกรัมละ 5-6 บาท ข้อเท็จจริงตรงนี้ถ้ามีการพิสูจน์ทราบได้ชัดเจนมากขึ้น ตนคิดว่าคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะมีโอกาสได้ทบทวน และนำเอาวิธีคิดข้าวมาคิดใหม่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล อาจจะเห็นว่าข้อมูลในการพิจารณาที่ตนได้ทำเป็นการคำนวณราคาข้าวที่เปลี่ยนแปลงไป และหากสามารถหาข้อเท็จจริงมาเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น สามารถมาหักลบอะไรต่างๆ ได้ ถ้าศาลเห็นว่ามันเป็นหลักฐานใหม่ที่ควรค่าแก่การมาพิจารณาก็น่าจะมีการทบทวนเพิ่มมากขึ้น
...
เมื่อถามว่าตัวเลขกลมๆ ที่สามารถขายระบายข้าวไปได้เท่าไหร่ นายภูมิธรรม ตอบว่า จริงๆ มันอยู่ที่ราคาข้าวทั้งหมด อย่างที่ตนขายกิโลกรัมละ 18-25 บาท มันขายได้เป็นหลายแสนล้านบาท ซึ่งหลายแสนล้านบาทในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากตรงนี้มันห่างกันไม่เยอะ มันชดเชยได้อยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะใช้ตัวเลขไหนคำนวณราคาข้าว ซึ่งข้าวที่นำมาขายมีหลายเกรด หลายราคา แต่ว่าเรามีข้อสงสัย และไม่เชื่อว่าราคาข้าวทั้งหมดที่ขาย เราเชื่อว่าเป็นข้าวดีทั้งนั้น ดังนั้นพอไปขายได้ราคา 5-6 บาทต่อกิโลกรัมมันต้องแย่จริงๆ มันต้องเน่ามาก แต่ถ้ามีการเก็บรักษาดีมันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ตนก็ไปพิสูจน์เป็นสมมติฐานว่าตนไปดูข้าวลอตสุดท้ายเป็นเวลานานที่สุดแล้ว ไปขายได้กิโลกรัมละ 18 บาท
ฉะนั้น ตั้งเป็นข้อสงสัยได้ว่าแล้วทำไมข้าวที่ระยะเวลาสั้นกว่านั้นเกือบ 10 ปี ทำไมจึงขายได้ต่ำกว่าถึง 5-6 บาท มันเกิดอะไรขึ้น มันต้องพิสูจน์ทราบตรงนี้ ถ้าพิสูจน์ทราบตรงนี้ชัดเจนขึ้นตนว่าเป็นโอกาสที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาความเสียหายที่เกิดขึ้น ตนพูดในมุมมองว่ามันอาจจะเป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งจะมีผลของการเปลี่ยนแปลงตัวราคาด้วย ทั้งนี้ไม่ได้ไปล่วงละเมิดการตัดสินของศาล
“ไม่เคยมีใครเคยไปรู้ว่าข้าวเน่าแบบนั้นจริงหรือไม่ โกดังถูกปิดตาย เข้าใจว่าสื่อมวลชนจะขอเข้าไปตรวจก็ยังไม่ได้ตรวจเลย ตรงนี้ก็อาจจะเป็นข้อที่มีประโยชน์ต่อผู้ถูกกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาเชื่อว่ามันไม่ได้เน่า และยังเอาประสบการณ์ตัวอย่างของผมมาบอกได้ว่า ขนาดผมมาถึงสุดท้าย 10 ปีแล้ว ผมยังขายได้ 18 บาท แล้วตอนปีแรก 2 ปีแรก มันไม่มีประจักษ์พยานที่ชัดเจนว่าวันนั้นเข้าไปพิสูจน์ดู สมมติวันนั้นถ้าไปทำแบบที่ผมทำแล้วบอกมันเน่าก็เท่านี้เอง แต่ว่ามันยังมีข้อสงสัย”
ส่วนคำถามว่าการต่อสู้จะมีการขอใบเสร็จการระบายข้าวตามที่ นายภูมิธรรม ระบุได้หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า เป็นเรื่องของทนายความว่าเขาจะสู้ประเด็นข้อกฎหมายอะไร ก็ต้องหาหลักฐานนั้นมา ทางด้านคำถามว่า ในมิติการเมืองถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีจะส่งผลไปถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เครียดไปๆ ไปดูเป็นมิติการเมืองเรื่อย มันเป็นเรื่องการขายข้าว และการทำให้ถูกกฎหมาย อย่าไปมองเป็นมิติการเมือง มันไม่ได้ไปทางนั้น.
อ่านเพิ่มเติม