เปิดคำร้อง “ณฐพร” ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย แจงยิบพฤติการณ์ “เนวิน-กรุณา-อนุทิน” พร้อม 8 สส.ยังเติร์ก เกี่ยวข้องขบวนการฮั้วเลือก สว. ใช้ จ.บุรีรัมย์ อ่างทอง อยุธยา ศรีสะเกษ เลย และอุบลราชธานีเป็นศูนย์กลางฮั้ว
วันที่ 21 พ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานเนื้อหาของคำร้องที่นายณฐพร โตประยูร ที่ยื่นให้ประธาน กกต. เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาว่าแกนนำพรรคภูมิใจไทย กระทำผิดตาม พ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 92 (1)(2) โดยมีเนื้อหาแจกรายละเอียดความยาว 18 หน้ากระดาษ
โดยมีข้อความว่า ข้าพเจ้า ดร.ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน อาชีพทนายความ ขอให้สิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 50 ที่ระบุให้บุคคลมีหน้าที่
(1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(10) ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ
สำหรับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมีเหตุผลในการประกาศใช้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญให้บุคคลมีเสรีภาพในการรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องมีมาตรการกำกับดูแลมิให้สมาชิกของพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและบัญญัติหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการควบคุมและตรวจสอบพรรคการเมืองที่มีการกระทำอันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองนั้น ได้แก่
1. กระทำการล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
2. กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
...
รธน.ไม่ให้วุฒิสภาอยู่ใต้อาณัตินักการเมือง
ในคำร้องยังระบุด้วยว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีความมุ่งหมายวุฒิสภามีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยมุ่งหมายให้วุฒิสภาเป็นองค์กรที่จะประสานความคิดเห็นจากบุคคลหลากหลายวิชาชีพเพื่อมุ่งหวังไม่ให้วุฒิสภาตกอยู่ใต้อาณัติของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองและมิได้ใช้การสรรหาจากคณะกรรมการสรรหาดังเช่นที่ผ่านมา การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาปี 2567 เป็นครั้งแรกของประเทศที่ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบการเลือกกันเองในหมู่ผู้สมัครโดยหวังให้ผู้สมัครไม่อาจรู้มาก่อนว่าตนเองจะเลือกใครและให้ไปตัดสินใจในคูหาเพื่อป้องกันการซื้อเสียงโดยคนที่มีอิทธิพลทางการเมือง
อ้างสว.ภูมิใจไทย 138 สำรอง 50
เมื่อพิจารณาจากผลการเลือกตั้งการใช้ระบบนี้พบว่าพรรคภูมิใจไทยมีการกระทำและพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า กระทำผิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญจนทำให้สมาชิกวุฒิสภาที่อยู่ในอาณัติของพรรคภูมิใจไทยได้รับการเลือกตั้งถึง 138 คนจากจำนวนสมาชิกวุฒิสภา 200 คนและยังมีการติดสำรองอีกไม่น้อยกว่า 50 คน ผลพิจารณาในการเลือกที่เกาะกลุ่มกันจนผิดปกติและเชื่อมโยงกับอิทธิพลทางการเมืองพรรคภูมิใจไทย ผู้บริหารพรรคภูมิใจไทยและสมาชิกท้องถิ่นของพรรคภูมิใจไทยในระดับจังหวัดอย่างชัดเจนจึงพิสูจน์ได้ว่าระบบการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาแบบพิเศษนี้ให้ผลตรงกันข้ามกับวัตถุประสงค์ตามรัฐธรรมนูญและยังเป็นอันตรายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่อำนาจควรจะอยู่ในมือประชาชนมิใช่อยู่ในมือของพรรคการเมืองดังกล่าว
ซัด "เนวิน-กรุณา-อนุทิน"นำทีมฮั้ว
จากสำนวนการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่าพรรคภูมิใจไทยประกอบด้วยนายเนวิน ชิดชอบ, นางกรุณา ชิดชอบ ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งปรากฏตามข่าวสื่อมวลชนและสำนวนการสืบสวนสอบสวนว่าเป็น “สองผู้ยิ่งใหญ่” ในการดำเนินการและ “เจ๊ใหญ่” ได้แก่นางกรุณา ชิดชอบ อีกทั้งยังมีเสนาธิการและกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เรียกว่ากลุ่มยังเติร์ก ดังนี้
1. นายไชยชนก ชิดชอบ (นาย ช.ลูกเทพ) เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคภูมิใจไทย
2. นายภราดร ปริศนานันทกุล (นาย ภ.ลูกแบด) รองประธานสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
3. นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ (นายเจ ลุ่มน้ำสะแกกรัง) รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
4. นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล (นาย ก. ลูกแชมป์) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
5. นายธนยศ ทิมสุวรรณ (นาย ธ.ลูกท่านอ๋อง) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
6. นางสาวบุณย์ธิดา สมชัย (น.ส.น.เมืองดอกบัว) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
7. นายวรศิษฏ์ เสียงประสิทธิ์ (นาย ว.ลูกโก) กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
8. นางสุขสำรวย วันทนียกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย
ร่วมขบวนการคิดสูตรสว.
ในคำร้องยังระบุด้วยว่า บุคคลดังกล่าว เป็นผู้ร่วมขบวนการในการคิดสูตรแบบแผนที่จะได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 120 คนโดยมีนายเนวินและนายอนุทินนั่งบัญชาการมีคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นและผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (รายชื่อปรากฏอยู่ในสำนวนการสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง)
แจงขั้นตอนหาคนลงสมัคร
ซึ่งในแผนนี้จะต้องได้สมาชิกวุฒิสภา 120 คน ประกันคะแนน 60 คะแนนขึ้นไปทุกคนใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งนายเนวินและนายอนุทินก็อนุมัติมีการประชุมเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2567 โดยมีกระบวนการที่สำคัญคือหาคนมาสมัครโดยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในแต่ละจังหวัดที่มีสมาชิกของพรรคภูมิใจไทยอยู่ดำเนินการ อีกทั้งยังมีนายอนุทินซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่สามารถควบคุมส่วนราชการในพื้นที่ทุกจังหวัด โดยเฉพาะในระดับอำเภอนายอำเภอจะต้องทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งระดับอำเภอส่วนระดับจังหวัด จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งข้าราชการดังกล่าวอยู่ภายใต้อาณัติของนายอนุทิน จะเห็นได้ว่าการรับสมัครทางอำเภอมิได้มีการตรวจสอบประวัติความเชี่ยวชาญความสามารถตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญจึงเป็นที่มาทำให้กลุ่มบุคคลที่ไม่มีวัตถุประสงค์จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภาเข้ามาสมัครเพื่อเป็นโหวตเตอร์ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังรายละเอียดในสำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เปิดจังหวัดศูนย์กลางฮั้ว
“พฤติการณ์การกระทำของนายเนวินและนายอนุทินใช้เครือข่ายกลุ่มบุคคลทางการเมืองในพื้นที่ที่จะไปคัดประชาชนชาวบ้านมาสมัคร เอาจังหวัดที่เป็นกลุ่มที่มีนักการเมืองระดับประเทศและนักการเมืองท้องถิ่นดังเช่นจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดอ่างทอง จังหวัดอยุธยา จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดเลย โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี ที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการฮั้วการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พฤติกรรมการกระทำจะเห็นได้ว่าจังหวัดที่ได้สมาชิกวุฒิสภาจำนวนมากทั้งที่ในจังหวัดนั้นมีประชากรน้อย”
จ้างสมัครระดับอำเภอขั้นต่ำ 5 พัน
โดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์กระบวนการในการนำคนมาสมัครสมาชิกวุฒิสภา 20 สาขาอาชีพ โดยไปเกณฑ์คนมาสมัครแปดถึงเก้าคน แต่ทำได้ในบางอำเภอบางจังหวัดมีการจ่ายขั้นต่ำ 5,000 บาท เป็นค่าสมัคร 2,500 บาทที่เหลือเป็นค่ารถ ฉะนั้นในการสมัครเลือกระดับอำเภอรอบแรกปรากฏบุคคลที่มีชื่อเสียงมีความรู้ความสามารถก็จะตกไม่ได้รับการคัดเลือกกระบวนการนี้สามารถนำผู้สมัครผ่านทั้งรอบอำเภอและรอบจังหวัดเข้ามาได้จนถึงรอบประเทศ
หัวหน้าก๊วนซื้อโควตา 2-7 ล้าน
ซึ่งในรอบประเทศก็จะเป็นกลุ่ม เครือข่ายของพรรคภูมิใจไทยที่มีการจัดการให้มีหัวหน้าคอยเป็นคนดำเนินการว่าแต่ละจังหวัด ใครจะได้เป็นสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีการจัดทำข้อมูลเป็นโพยไว้และประมาณวันที่ 20 มิถุนายนเริ่มประกาศว่าใครจะได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาและแจ้งรวบรวมเบอร์ไว้ที่หัวหน้าทีมแต่ละจังหวัดดำเนินการส่งผลไปให้นางกรุณา ชิดชอบ พิจารณา นางกรุณา ชิดชอบ มีหน้าที่ในการรวบรวมโผแล้วส่งไปให้นายเนวิน ชิดชอบและนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นผู้เลือกว่าจะเอาเบอร์ไหนในกลุ่มอาชีพอะไร เป็นสมาชิกวุฒิสภากระบวนการดังกล่าวจะต้องมีการวิ่งเต้น โดยหัวหน้าในแต่ละจังหวัดเพื่อให้ได้คนของตัวเองได้รับการพิจารณาจากนายเนวินและนายอนุทินโดยหัวหน้าก๊วนแต่ละจังหวัด ก็ต้องพยายามเอาคนของตนเองเข้าไปให้ได้จึงเป็นที่มาของการวิ่งเต้นใช้เงินซื้อโควตาเป็นเงิน 2ถึง7 ล้านบาทในแต่ละตำแหน่ง
8 จังหวัดภท.เข้ารอบยกจังหวัด
คำร้องยังระบุด้วยว่า การเลือกระดับประเทศจะเห็นได้ชัดเจนว่าข้อมูลความผิดปกติในหลายประเด็นที่มีการเลือกกันเองมีกลุ่มที่คะแนนสูงมากๆ ระหว่าง 30 ถึง 50 คะแนนส่วนใหญ่ และมี8จังหวัดที่เข้ารอบ เกือบทั้งจังหวัดเช่น จังหวัดบุรีรัมย์ อยุธยา อ่างทอง สตูล เลย อำนาจเจริญ ยโสธร สุรินทร์ซึ่งล้วนเป็นจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคภูมิใจไทยและมีผู้สมัครจำนวนมากที่ไม่มีคะแนนเลย ไม่เลือกตัวเอง ซึ่งเป็นผู้สมัครจากจังหวัดที่มีสมาชิกพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐ โดยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้เสียสละ ในการเลือกฝ่ายผู้ที่สมัครที่ได้คะแนนล้นกระดานเกาะกลุ่มกันอย่างผิดสังเกตกลุ่มละหกคนเท่าๆ กัน
บี้กกต.ส่งศาลรธน.ยุบพรรคภท.
พฤติการณ์การกระทำของพรรคภูมิใจไทย ผู้บริหารพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกวุฒิสภา พรรคภูมิใจไทยเป็นการใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพที่ละเมิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง ที่ไม่เป็นไปตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น
พฤติการณ์การกระทำผู้ร้องได้ยื่นต่ออัยการสูงสุดลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 สรุปได้ดังนี้ พรรคภูมิใจไทยมีพฤติการณ์การกระทำเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง มีลักษณะพฤติการณ์การกระทำที่เป็นการบ่อนทำลายและฝ่าฝืนคุณค่ารัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยรู้อยู่แล้วว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นองค์กรนิติบัญญัติที่มีหน้าที่สำคัญและรัฐธรรมนูญได้กำหนดวิธีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้ปราศจากอิทธิพลครอบงำทางการเมือง
ยกคำวินิจฉัยศาลรธน.เทียบ
ในคำร้องระบุด้วยว่า พฤติการณ์การกระทำของพรรคภูมิใจไทยตามบทบัญญัติมาตรา 92 วรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้วว่า “การกระทำไม่จำเป็นต้องรุนแรงถึงขนาดมีเจตนาที่จะล้มล้างทำลายให้สิ้นไป ทั้งยังไม่จำเป็นถึงขนาดตั้งตนเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพียงแค่เป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางหรือสกัดกั้นมิให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายหรือทำให้อ่อนแอลง ก็เข้าลักษณะกระทำให้เป็นปฏิปักษ์แล้ว”
ป้องกันความเสียหายปัจจุบัน-อนาคต
ข้อเท็จจริงพยานหลักฐานตามสำนวนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง อันเป็นพยานหลักฐานสำคัญ ที่พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพรรคภูมิใจไทยใช้สิทธิและเสรีภาพขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ผู้ร้องจึงขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งได้โปรดรีบ พิจารณารวบรวมสำนวนตามคำร้องและสำนวนการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษในคดีอั้งยี่และซ่องโจร และสำนวนการสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสั่งการที่จะเป็นการป้องกันแก้ไขในสิ่งผิดและบรรเทาความเสียหาย ที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยเร่งด่วน