ด้วยพระราชประสงค์อันแน่วแน่ของ สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ที่จะทรงช่วยฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมบางส่วนในประเทศไทยให้กลับเป็นป่าสมบูรณ์ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อให้ป่าที่ปลูกใหม่ และชุมชนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมในบริเวณนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้ ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงก่อเกิดกลายเป็นที่มาของ โครงการพัฒนาดอยตุง

แรกเริ่มนั้น กองราชเลขานุการในพระองค์ฯ ได้ตระเวนหาสถานที่สร้างพระตำหนักใหม่ถวายสมเด็จพระบรมราชชนนี เพื่อเป็นที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถระยะหนึ่ง หลังจากที่ทรงงานเยี่ยมเยือนราษฎรทั่วประเทศไทย ในที่สุดก็พบว่า “ดอยตุง” ขุนเขาลูกหนึ่งบนเทือกเขานางนอน จังหวัดเชียงราย น่าจะเป็นที่เหมาะสม เพราะภูมิประเทศงดงาม อากาศเย็นสบายทั้งปี คล้ายกับเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่เสด็จฯ ไปทรงพักผ่อนเป็นประจำ



เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จฯมาทอดพระเนตรสถานที่ ก็ทรงพอพระราชหฤทัยมาก แต่เวลานั้น เมื่อปี 2530 ดอยตุงและเทือกเขารายรอบได้กลายสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ถูกถางป่าจนเตียนโล่งเป็นทุ่งหญ้า ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ มีฐานะยากจน ทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่นขาย

สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงมีพระราชดำริว่า ป่าบริเวณดังกล่าวเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ควรจะฟื้นฟูรักษาไว้เพื่อประโยชน์ในการชลประทาน ขณะเดียวกัน ก็ทรงตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าจะประทับอยู่ที่ดอยตุง จะไม่ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถเพียงอย่างเดียว แต่หากจะทรงงานปลูกป่าและช่วยเหลือราษฎรชาวเขาในบริเวณนี้ให้มีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้โครงการพัฒนาดอยตุงจึงถือกำเนิดขึ้น ในปี 2531 โดยครอบคลุมพื้นที่ 150 ตารางกิโลเมตร อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง เพื่อสงเคราะห์ชาวเขาและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม

...



ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร สำนักงานประสานงานโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภายใต้สังกัดมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง “คุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา” ย้อนรำลึกถึงพระวิสัยทัศน์อันยาวไกล และพระกรุณาธิคุณอันล้นพ้นของสมเด็จพระ บรมราชชนนี ที่ทรงมีต่อราษฎรชาวไทยภูเขา

“เมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จฯทอดพระเนตรดอยตุงใหม่ๆ ทรงมีรับสั่งว่า เราต้องแก้ปัญหา และช่วยให้ชาวเขาในบริเวณนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเริ่มจากการปลูกป่าก่อน เพราะชีวิตคนกับป่าสัมพันธ์กัน ถ้าไม่มีน้ำ ไม่มีดิน เกษตรกรไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้ พอปลูกป่าเสร็จ พระองค์ท่านก็รับสั่งว่า ต้องทำให้คนกับป่าอยู่ด้วยกันได้ คือปลูกแล้วไปตัดก็หมดอีก จากนั้นจึงปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ทรงมีพระราชดำริว่า จะต้องหาอาชีพเสริมให้พวกเขา ถ้าผู้ชายไปทำไร่ไถนา ผู้หญิงก็ต้องมีงานทำหารายได้เพิ่ม เราจึงนำพวกงานหัตถกรรมต่างๆเข้าไปฝึกอาชีพให้ชาวเขา มีตั้งแต่การทอผ้า, ทอพรม, ทำกระดาษสา และทำผลิตภัณฑ์ศิลปะ



...อันที่จริงแล้ว พระองค์ท่านทรงตระหนักดีว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาภาคเหนือของไทย เพื่อให้เกิดความมั่นคง และประชาชนในภูมิภาคมีความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งหากทำได้สำเร็จลุล่วงแล้ว ก็น่าจะเป็นต้นแบบของการพัฒนาชนบท ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาในเขตอื่นๆที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน เช่น ปัญหาความยากจน, การผลิตฝิ่น และปัญหาสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม สภาพของ “ดอยตุง” ในยุคนั้น ป่าก็ไม่มี คนก็หลากเผ่าพันธุ์ แล้วยังอยู่ติดชายแดน เป็นแหล่งยาเสพติดใหญ่ แต่เวลาที่พระองค์ท่านรับสั่งถึงการพัฒนาดอยตุง จะทรงเน้นย้ำแต่เพียงว่า ต้องแก้ปัญหาเรื่องป่า ให้คนมีงานทำ เมื่อคนมีงานทำ พวกเขาก็ไม่ค้ายาเสพติด และไม่ขายลูกสาว เป็นการแก้ปัญหาที่แก่น พระองค์ท่านรับสั่งเสมอว่า คนต้องมีชีวิต ต้องมีโอกาส ต้องช่วยพวกเขาให้สามารถช่วยตัวเอง ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง สมัยนั้นยังไม่มีการพูดถึงเรื่องความยั่งยืน แต่สิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำทุกอย่างได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คือความยั่งยืนอย่างแท้จริง

...



...ตอนนั้นฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่อยู่ๆไปถึงได้เห็น ช่วงแรกๆ พระองค์ท่านรับสั่งว่า ทำไมไม่หาอาชีพให้พวกเขา อาชีพเลยขยายออกไป จากนั้นก็ต้องหาตลาดวางขายสินค้าให้ จึงกลายเป็นที่มาของร้านดอยตุง เมื่อเวลาผ่านไปทำให้ค้นพบว่า แนวพระ ราชดำริของพระองค์ท่านสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดจริงๆ พอคนมีอาชีพมีรายได้จากช่องทางอื่น ก็หยุดการค้ายาเสพติด พวกเขาได้อยู่อย่างมีความสุขขึ้น ลูกได้ไปโรงเรียน ชุมชนก็ขยายตัวขึ้น มีทุกอย่างครบวงจร มีโรงเรียน มีสถานอนามัย มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีโรงฝึกอาชีพ และมีศูนย์ผลิตจำหน่ายสินค้าเต็มรูปแบบ”

ความสำเร็จของโครงการพัฒนาดอยตุงตลอดช่วงเวลากว่า2 ทศวรรษที่ผ่านมา ยังเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกมุมโลก และกลายเป็นต้นแบบในการพัฒนาประเทศของนานาประเทศ ที่ประสบปัญหาในลักษณะคล้ายคลึงกัน จนก่อให้เกิดโครงการดอยตุง 2 ในชุมชนบ้านหย่องข่า สหภาพพม่า,โครงการดอยตุง 3 ที่จังหวัดบัลห์ รัฐอิสลาม อัฟกานิสถาน และโครงการดอยตุง 4 ที่จังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย



“โครงการพัฒนาดอยตุงเป็นตัวอย่างอันดีของการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ แทนการปลูกพืชยาเสพติด ไม่ใช่แค่การปลูกพืชทดแทนเท่านั้น แต่เรากำลังพูดถึงการพัฒนาทางเลือกที่หลากหลายในการดำรงชีวิตที่ทำได้จริง ไม่ได้พูดถึงแค่การปลูกพืชอย่างใดอย่างหนึ่งทดแทน”... อดีตรองเลขาธิการสหประชาชาติ “ดร.อันโตนิโอ มารีอา คอสต้า” ผู้อำนวยการบริหารสำนักงานควบคุมยาเสพติด และป้องกันอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ กล่าวยกย่องโครงการพัฒนาดอยตุงไว้ระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการด้านยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 51

และแม้สมเด็จพระบรมราชชนนีจะเสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่แนวทางการพัฒนาต่างๆ ที่ทรงวางรากฐานไว้ ก็ยังคงได้รับการสานต่อจนถึงปัจจุบัน โดยมี “คุณหญิงพวงร้อย” เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ
“เราทำมาเกือบ 20 ปีก็มีคนเห็นว่ามันดี ที่เห็นชัดๆกลับเป็นคนต่างประเทศเห็นก่อนคนไทย เข้ามาดูงานเยอะกว่า ในแต่ละปีโครงการพัฒนาดอยตุงได้มีโอกาสต้อนรับคณะศึกษาดูงาน 700 คณะ ประมาณ 6 หมื่นกว่าคน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และฝึกอบรม โดยเน้นเรื่องการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน และการทำธุรกิจเพื่อสังคมเป็นหลัก จนหลายคนให้คำนิยาม “ดอยตุง” ว่าเปรียบเสมือน “มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต” ในด้านการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตที่ครบถ้วนรอบด้านที่สุดในโลก

...



...หนึ่งในนักคิดระดับโลกที่ให้ความสนใจโครงการพัฒนาดอยตุงมาก ยังรวมถึง “ศาสตราจารย์อิคิจูโร โนนากะ” ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น 1ใน 20 ยอดนักคิดที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อโลกธุรกิจ เขาเคยเดินทางมาเยี่ยมชมโครงการพัฒนาดอยตุงแล้วหลายครั้ง และประทับใจในวิธีการพัฒนาของโครงการ ที่สามารถช่วยชาวไทยภูเขาบนดอยตุงให้ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง จากฐานะที่ยากจนที่สุด กลายมาเป็นผู้ที่หาเลี้ยงตัวเองได้โดยสุจริต”

เพื่อตอกย้ำความเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชีวิต ตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โครงการพัฒนาดอยตุง ได้จับมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆในสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดทำโครงการศึกษาดูงานและฝึกอบรมอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง โดยเมื่อต้นปี 2554 ได้จัดทำโครงการฝึกงานร่วมกันระหว่างนักศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและโคลัมเบีย กับนักศึกษาปริญญาตรี หลักสูตรบริหารธุรกิจ ภาคภาษาอังกฤษ จากจุฬาฯ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดหลักสูตร “Royal Initiative Discovery Practical Training-Off Campus” ร่วมกับคณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล นำนักศึกษาปริญญาตรีเดินทางมาฝึกงาน 1 เดือนเต็ม โดยมีหน่วยกิตให้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเมืองไทย ที่นักศึกษาด้านธุรกิจเลือกฝึกงานกับองค์กรเพื่อสังคมได้

...



“คุณหญิงพวงร้อย” เล่าถึงบรรยากาศว่า เด็กๆต้องตื่นมาทำกับข้าวกินเอง เก็บกวาดล้างจานเอง เพราะทางดอยตุงไม่มีคนช่วย แต่ก็สนุกมาก เราเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชีวิต เพราะใช้ชาวบ้านเป็นครูหมด ทางโครงการจะเป็นแค่ผู้ประสานงานให้เด็กๆได้ลงพื้นที่พบปะชาวบ้านและสัมผัสวิถีชีวิตจริง ถ้าถามว่ากลับจากดอยตุงแล้วได้อะไร ที่เห็นแน่ๆคือเกิดแรงบันดาลใจ ได้เห็นแนวทางการพัฒนาคน การสร้างคน และยกระดับคุณภาพชีวิตครบวงจร ไล่ตั้งแต่การพัฒนาในขั้นต้นน้ำ โดยจะพาไปดูแปลงปลูกป่าน้อมนำแนวพระราชดำริ “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนำมาปรับใช้กับดอยตุง โดยปลูกป่าอนุรักษ์ต้นน้ำ ป่าเศรษฐกิจ และป่าใช้สอย เพื่อรักษาป่าต้นน้ำ สร้างรายได้ให้ราษฎรชาวไทยภูเขา ส่วนการพัฒนาชุมชนขั้นกลางน้ำ เปิดโอกาสให้เด็กๆได้ชมศูนย์ผลิตและจำหน่ายงานฝีมือ ขณะที่การพัฒนาชุมชนขั้นปลายน้ำ คือ การสัมผัสความเข้มแข็งของชุมชนดอยตุง

สิ่งที่พยายามทำอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะอยากกระตุ้นให้คนไทยระลึกถึงพระกรุณาธิคุณอันล้นพ้นของสมเด็จพระบรมราชชนนี แม้ว่าพระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่งานของพระองค์ท่านก็ยังคงอยู่กับแผ่นดินไทยตลอดไป  พวกเราคิดเสมอว่า  ทำอย่างไรไม่ให้คนไทยลืมพระองค์ท่าน ภารกิจนี้เป็นแรงผลักดันให้ต้องทำทุกอย่าง และทำอย่างสุดกำลัง เพื่อสืบสานพระปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ท่าน...ทรงมองคนเป็นคน  ไม่มีเคลือบแฝงเรื่องอื่นเลย  ทรงจดจำคนอย่างที่เขาเป็น ไม่เคยบอกว่าคนดีต้องดีเพราะอย่างนั้นอย่างนี้  ขอให้เป็นคนดี  มีความรับผิดชอบ  ทั้งต่อตัวเอง  ต่อครอบครัว และต่อสังคม  ไม่มีทางที่จะเป็นคนไม่ดี คือทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวพระราชดำริที่ทรงย้ำมาตลอดว่า ต้องช่วยพวกเขาให้ช่วยตัวเอง ถึงจะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน.

ทีมข่าวหน้าสตรี