วันคืนที่เหน็บหนาวใจ ยามไร้ใครสักคน ชีวิตดูมืดมนเหลือเกิน อยู่อย่างเหงา ขาดคนคอยเฝ้าปลอบโยน ฉันต้องทนต่อไปนานเท่าไหร่...เคยเป็นอย่างเช่นเม็ดทราย พายุพัดห่างหาย ปลิวคว้างลอยล่องจมทะเล ขาดจุดหมาย คลื่นซัดตะกายหาฝั่ง ฉันยังคอยอุ่นไอใครสักคน... แล้วมีเธอที่เห็นค่า ก้าวเข้ามาอุ้มชูหัวใจ ...ฉันจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป เพื่อเธอที่ฉันมอบใจ...จำแววตาของเธอที่จับหัวใจ เพราะรักที่เธอให้มา มีค่าเท่าแสงวันใหม่ จะส่องประกายเฉิดฉายชั่วนิจนิรันดร์ จวบจนประกายแห่งรักชั่วชีวิตฉัน...ความทุกข์ เลื่อนลอยหายไป ในวันที่เธอเข้ามาคอยช่วยซับน้ำตาที่ไหลริน กอดประคองเมื่อยามที่ฉันหนาวสั่น ยิ้มเธอมีไมตรีสุดแสนหวาน...พร้อมฉันพร้อมจะสู้หมดใจบนเวทีชีวิตต่อไป”
...นี่คือเสี้ยวชีวิตอันงดงามซ่อนเร้นที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนของ ตุ้ม-ศรีไศล สุชาตวุฒิ นักร้องชื่อก้องระดับตำนานของเมืองไทย เจ้าของเสียงแหบเสน่ห์ ผู้ขับกล่อมบทเพลงอันลือลั่น “รักข้ามขอบฟ้า” ซึ่งถูกนำมาถ่ายทอดเป็นบทเพลงสุดประทับใจเป็นครั้งแรก เพื่อรำลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช” ตลอดเวลา 13 ปีแห่งความทรงจำ
4 ปีที่แล้ว “คุณตุ้ม-ศรีไศล” ซื้อคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะวางแผนว่าจะย้ายรกรากจากอเมริกาและอังกฤษกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย หลังจากที่ต้องตระเวนเดินทางไปมาระหว่างเมืองไทย, อเมริกา, อังกฤษ รวมถึงฝรั่งเศส ปีละหลายครั้ง แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จดังตั้งใจ กระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้เดินทางกลับมาเปิดคอนเสิร์ตใหญ่เป็นครั้งแรก หลังห่างหายจากเมืองไทยไปนานถึง 30 ปี และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเกินคาดจากแฟนเพลง ทำให้ มีเสียงเรียกร้องให้กลับมาเปิดคอนเสิร์ตอีกครั้ง ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ 19 มิ.ย.นี้ โดยใช้ชื่อเดิมว่า “ศรีไศล สุชาตวุฒิ รักข้ามขอบฟ้า ไลฟ์ อิน คอนเสิร์ต” เธอจึงประกาศชัดถ้อยชัดคำว่า เมื่อไหร่ที่ขายชาโตว์ที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศสได้ จะบินกลับมาอยู่เมืองไทย เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่รัก ก่อนไร้เรี่ยวแรง
วางแผนไว้หรือยังว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรเมื่อไหร่
(พยักหน้า) เหนื่อยแล้ว ที่ต้องบินไปบินมาหลายประเทศ และตั้งใจมาพักใหญ่แล้วว่าจะกลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยอย่างถาวร เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ เช่น อยากเขียนหนังสือ อยากทำงานศิลปะ และเรียนวาดรูปสีน้ำจริงจัง อยากจะเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น ส่วนเรื่องงานเพลงคงปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ที่จริงไม่เคยคิดฝันด้วยซ้ำว่า จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแฟนเพลงขนาดนี้ ทั้งๆที่ห่างหายจากเมืองไทยไปนานถึง 30 ปี แต่เมื่อมีเสียงเรียกร้องให้กลับมาเปิดคอนเสิร์ตอีกครั้ง เพราะผู้ชมยังไม่จุใจ ทำให้เรารู้ว่าคนไทยยังรักและไม่ลืมเรา
คนส่วนใหญ่มองว่าชีวิตของ “ศรีไศล” เปรียบดังซินเดอเรลล่า เพราะได้ครองรักกับเจ้าชาย?!
ตั้งแต่สาวๆตอนยังไม่ได้แต่งงาน ดิฉันปลื้มพระองค์ชายมาก เห็นท่านที่ไหนก็ไปแอบดู เพราะทึ่งความสมาร์ทและเก่งของท่าน ท่านเป็นคนก่อตั้งแอร์สยามคู่คี่มากับไทยอินเตอร์ แต่สมัยนั้นรัฐบาลไม่สนับสนุนให้มีสายการบินคู่แข่งกับสายการบินแห่งชาติ ในที่สุดแอร์สยามต้องปิดตัวลง ท่านก็ยังกลับมาเป็นกัปตันขับเครื่องบินให้การบินไทย แต่ก็ไม่กล้าคิดฝันอะไรไปไกลกว่านั้น กระทั่งดิฉันแยกทางกับสามีคนแรก “คุณไพบูลย์ ลีสุวัฒน์” ซึ่งเป็นหัวหน้าวงดนตรีคีตะวัฒน์ หลังอยู่กินกันได้ 10 กว่าปี กำลังรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง น้องชายแท้ๆ ซึ่งทำงานเป็นเพอร์เซอร์อยู่การบินไทย ชวนให้ไปช่วยร้องเพลงในงานปีใหม่ จึงได้มีโอกาสพบกับท่าน ขณะนั้นดิฉันอายุ 37 ปีแล้ว มีลูก 3 คนแล้ว ท่านก็เข้ามาคุยด้วยในฐานะพี่สาวของเพื่อนร่วมงาน คุยกันถูกคอทีเดียว เหมือนมีอะไรดึงดูด แต่เราก็ไม่กล้าคิดเป็นอื่น เพราะท่านเองก็สูงศักดิ์เหลือเกิน และอายุมากกว่าเราถึง 22 ปี จึงได้แต่แอบปลื้มอยู่ในใจ กระทั่งท่านหยิบยื่นไมตรีจิตให้ ตอนนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็นความรักแบบผู้ใหญ่ ท่านบอกว่า เราสองคนคงไม่ได้แต่งงานกันนะ ดิฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไร คิดแต่ว่าชีวิตนี้แค่ขอให้ได้รักท่านเท่านั้น หลังจากอยู่กับท่านไม่กี่เดือน ท่านก็ล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ต้องเข้าแอดมิตในโรงพยาบาล ดิฉันเป็นทุกข์มาก ไม่รู้จะทำยังไง จึงเข้าวัดพระแก้วไปอธิษฐานขอให้ท่านหายป่วย พอท่านได้สติปั๊บ ดิฉันก็เข้าวัดบวชชีพราหมณ์ 15 วันเลย หลังออกจากโรงพยาบาล ท่านบอกดิฉันว่า ท่านจะไปรักษาตัวที่อเมริกา อยากให้ตามไปอยู่ด้วย ด้วยความรักและความห่วงใย อยากไปดูแลท่านอยู่ใกล้ๆ ดิฉันจึงทิ้งชื่อเสียงเงินทองทุกอย่าง เก็บ กระเป๋าเดินทางไปอเมริกากับท่าน แรกๆยังแอบคิดว่า พอท่านรักษาตัวจนอาการดีขึ้น คงกลับเมืองไทย แต่เอาเข้าจริงๆ ท่านบอกว่ายังไม่อยากกลับเมืองไทย งั้นซื้อบ้านที่อเมริกาดีกว่า และท่านยังให้ดิฉันชวนลูกๆมาอยู่ด้วย จะได้เรียนหนังสือที่อเมริกา ก็เลยกลายเป็นว่าไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นยาวเลย
การสร้างครอบครัวใหม่ในอเมริกาแฮปปี้อย่างที่ฝันไว้ไหมคะ
การไปอยู่เมืองนอก และทิ้งชื่อเสียงเงินทองทุกอย่าง ทำให้ดิฉันได้ทำหน้าที่ภรรยาและแม่เต็มตัว ตอนนั้นลูกสาวคนโตอายุ 14 ปี ส่วนลูกสาวคนที่สองอายุ 13 ปี และลูกชายคนเล็กเพิ่ง 10 ขวบ ดิฉันมีหน้าที่ส่งลูกไปโรงเรียน ตอนสายๆก็เรียนภาษาเพิ่มเติม และกลับมาทำอาหารกลางวันให้ท่าน จากนั้นช่วงบ่ายๆก็เตรียมอาหารเย็นให้ลูกๆ แม้จะต้องทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตนเอง แต่ก็ถือเป็นช่วงชีวิตที่อบอุ่นและมีความสุขที่สุด เพราะถ้าอยู่เมืองไทย คงไม่ได้มีโอกาสทำอะไรแบบนี้ และไม่ได้ใกล้ชิดลูกๆ เพราะยังต้องร้องเพลงอยู่ คืนหนึ่งก็ต้องเดินสาย 4-5 แห่ง
เมื่อสิ้นท่านไปแล้ว ชีวิตเคว้งคว้างลอยล่องขนาดไหน
ท่านสิ้นชีพิตักษัย เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2533 ขณะพระชนม์ 69 ชันษา แม้จะรักษาจนหายจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ แต่ตอนหลังมาตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอด ท่านตัดสินใจบินไปรักษาตัวที่อังกฤษ ก่อนจะกลับมารักษาตัวต่อที่เมืองไทย แต่อยู่ได้แค่ปีเดียวเท่านั้น ท่านก็สิ้น!! บอกตามตรงว่าดิฉันทำใจไม่ได้ “เบรกดาวน์” ไปเลย เพราะอยู่กับท่านมา 13 ปี เหมือนคนไร้สติ ต้องไปปรึกษาจิตแพทย์อยู่เป็นปี...ท่านเหมือนเทวดามาโปรด มาอยู่กับเรา มาช่วยทำให้เราแข็งแรงขึ้น และมีความหวังในชีวิต จู่ๆท่านก็จากไป ทำให้ทำใจได้ยากเหลือเกิน ก่อนท่านจะสิ้นไม่นาน ท่านได้เขียนการ์ดวันเกิดให้ดิฉัน ยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ ท่านบอกว่า ปีนี้ไม่มีอะไรให้ เพราะให้หมดแล้ว จนไม่มีอะไรเหลือจะให้ (เสียงสั่นเครือ) คือ ท่านไม่สบายขนาดนั้น ยังเขียนออกมาได้ซึ้งเหลือเกิน ท่านเป็นคนอบอุ่นโรแมนติก และเสมอต้นเสมอปลายมาก เมื่อไม่มีท่านแล้ว ดิฉันยังนึกไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร โชคดีที่ลูกชายคนเล็กให้สติแม่ บอกว่าถ้าแม่เป็นอะไรไป แล้วเขาจะอยู่กับใคร ทำให้ดิฉันรู้สึกตัว และตัดสินใจว่าจะอยู่อเมริกาเพื่ออนาคตของลูกๆ
ต้องเจอมรสุมลูกใหญ่ขนาดนี้ มีวิธีรับมืออย่างไรไม่ให้ขาดสติ
ตั้งแต่เล็กๆ ดิฉันเป็นคนเซ้นซิทีฟมาก มากจนสุดโต่ง และอีโมชั่นแนลสุดๆ เป็นคนเจ้าน้ำตา สุขก็ร้องไห้ ทุกข์ก็ร้องไห้ ดีใจเสียใจก็ร้องไห้ ดิฉันแต่งงานกับสามีคนแรกตอนอายุยังน้อยแค่ 22 ปี เพราะอยากได้อิสรภาพจากที่บ้าน และค่อนข้างตั้งความหวังเรื่องชีวิตคู่ไว้สูงมาก เพราะคุณพ่อ ซึ่งเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ชายที่ประเสริฐเหลือเกิน เมื่อมาผิดหวังกับสามีคนแรก ทำให้จิตใจเปราะบางจนรับไม่ไหว เป็นอะไรที่กดดันมาก เป็นทุกข์เหลือเกินที่ต้องพลัดพรากลูกๆ เพราะต้องแยกตัวออกมาอยู่ลำพัง ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ต้องไปนอนโรงพยาบาลเป็นเดือน เพื่อเยียวยาจิตใจ กระทั่งกลับมาอยู่บ้าน เริ่มหันมาสวดมนต์ และนั่งสมาธิ เพื่อให้ความทุกข์เบาบางลง ตั้งแต่นั้นมา ถ้ามีอะไรที่อึดอัดใจมาก ทำให้เป็นทุกข์มาก ก็จะเข้าไปนั่งในห้องพระ ร้องไห้ และอธิษฐานขอให้ท่านชี้ทางสว่าง
ในตอนที่ท่านสิ้นชีพิตักษัย ดิฉันได้สติคืนมาเพราะธรรมะ โดยมีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เมื่อได้เข้าไปที่วัดป่าจิตตวิเวก ในแคว้นซัสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ เป็นวัดป่าแห่งแรก ที่หลวงปู่ชาสร้างไว้ที่อังกฤษ พระท่านสอนให้นั่งวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเตือนสติตัวเองไม่ให้ประมาท และให้เรียนรู้ถึงหลักอริยสัจ 4 ไม่ให้หลงในสุขและทุกข์ เพราะทุกอย่างบนโลกใบนี้เกิดขึ้นและแตกดับไป
ชีวิตเปลี่ยนไปมากไหมคะ หลังได้สัมผัสธรรมะอย่างลึกซึ้ง
สิ่งที่ดิฉันได้จากการปฏิบัติธรรม คือ ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราไม่เป็นฝ่ายวิ่งไปหามัน และสิ่งที่ทำให้ทุกข์ที่สุดก็คือ การเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ถ้าเราพึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ความทุกข์ก็จะเข้ามาทำร้ายเราไม่ได้ พอเราปฏิบัติธรรมมากขึ้นๆ ยิ่งทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มีสติ และปัญญามากขึ้น การจะเข้าถึงหลักธรรมะ ต้องเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง ยิ่งเข้าไปเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งค้นพบได้เร็วเท่านั้น ทุกวันนี้ ดิฉันก็ยังปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จะสวดมนต์เช้าเย็นทุกวัน ทุกคนที่สนิทกันจะทราบว่า วันเกิดของ “ศรีไศล” จะไม่มีการจัดงานเลี้ยงใหญ่โต แต่จะขอปลีกวิเวกเข้าวัด และตั้งเป้าว่า อยากปฏิบัติธรรมให้ถึงขั้นบรรลุนิพพาน
สำหรับคนที่ห่างไกล วัด และอยากศึก-ษาธรรมะ แนะนำให้เริ่มต้นจากจุดไหน
ลองอ่านหนังสือ ธรรมะดูก่อน แนะนำให้ อ่านของหลวงปู่ชา ซึ่งนำหลักธรรมะมาสอนอย่างง่ายๆ และอิงกับธรรมชาติ และเริ่มจากการสวดมนต์พร้อมคำแปล เพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมะที่แท้จริง อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่าการจะศึกษาธรรมะต้องศึกษาด้วยสติและปัญญาควบคู่กันไป เพราะถ้าเชื่อโดยไม่ใช้ปัญญา ก็อาจทำให้หลงมัวเมาได้ การปฏิบัติธรรม นอกจากจะได้ขัดเกลาจิตใจแล้ว ยังได้บุญกุศลด้วย เพราะเวลาเข้าวัดปฏิบัติธรรม จะบังคับให้เราคิดแต่สิ่งดีๆ ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น พอทำไปเรื่อยๆจนติดเป็นนิสัย เวลาเราโกรธหรือโมโหใคร จากที่เคยปรี๊ดปร๊าด ก็อาจทุเลาลงเหลือแค่ขุ่นๆ เดี๋ยวก็จางไปเอง จนทุกวันนี้ เชื่อว่า ไม่มีอะไรที่รับไม่ได้แล้ว เราต้องเตรียมจิตใจให้เข้มแข็งด้วยการฝึกจิต พอฝึกปรือได้ระดับหนึ่งแล้ว ยังไม่ทันคิดไม่ดีเลย มันก็จะหยุดเองอัตโนมัติ ธรรมะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องไปหาที่ไหน ถ้าเราไม่มีโอกาสไปวัด ให้เวลาตัวเองสวดมนต์วันละไม่กี่นาที อย่าอ้างว่าไม่มีเวลา
ถ้าต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียอีกครั้ง คิดว่าจะทนรับไหวไหมคะ
(หยุดคิดพักใหญ่) โศกเศร้าก็ยังมีอยู่ แต่คงไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสเหมือนแต่ก่อน เพราะเรามาอยู่ตรงจุดนี้แล้ว อายุก็ปาเข้าไป 66 ปีแล้ว ยอมรับว่าเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ ที่จะละและตัดทุกอย่างได้ แต่ก็พยายามฝึกปัญญาและสติให้เข้มแข็ง ความทุกข์เข้ามาก็จะอยู่กับเราไม่นาน เช่นเดียวกับความสุขที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่มีอะไรแน่นอน มันเป็นวัฏจักรของชีวิต ถ้าเรารู้เท่าทันความทุกข์มากขึ้น ก็จะสลัดความทุกข์ออกจากตัวได้เร็วขึ้น เพราะใจเราทำให้เราทุกข์แค่นั้นเอง อยู่ดีๆก็เอามาให้คิด เอามาให้ทุกข์ใจ ถ้าเรามีสติ มีปัญญา รู้ความไม่เที่ยงแท้ของทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือธรรมชาติที่ไม่มีใครหนีพ้น ทุกวันนี้ เวลาสวดมนต์จะอธิษฐานเสมอว่า ขอให้ลูกมีสติ เมื่อเวลาที่ความตายมาถึง ขออย่าให้เราตื่นตกใจ นอกจากนี้ยังอธิษฐานว่า เกิดชาติใดขอให้อยู่ในพระพุทธศาสนา ดิฉันเชื่อว่าการอธิษฐานเป็นการตอกย้ำสติ จนฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ
ชีวิตนี้กลัวอะไรมากที่สุด
ไม่เคยกลัวอะไร ถ้าจะกลัวก็เมื่อเวลาที่แก่และต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ขออย่าให้เป็นอะไรร้ายแรงที่เป็นภาระให้ลูกหลานต้องดูแล ก็ได้แต่หวังว่าผลบุญที่สะสมมาจะตกทอดถึงลูกๆหลานๆ ทำให้พวกเขามีความสุขในชีวิต ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยห่วงอะไรมากแล้ว เพราะลูกสาวทั้งสองคนแต่งงานมีครอบครัวที่แฮปปี้ ส่วนลูกชายก็มีอนาคตการงานที่ดี ถ้ามีโอกาสจะพยายามสอดแทรกเรื่องธรรมะให้ลูกๆ เผื่อว่าวันหนึ่งพวกเขามีปัญหาชีวิต จะได้ใช้ธรรมะตั้งรับอย่างมีสติ.
...
ทีมข่าวหน้าสตรี