เส้นทางการสร้างเนื้อสร้างตัวของ "อารีย์ ชุ้นฟุ้ง" เจ้าพ่อน้ำตาลวังขนาย ถือเป็นหนึ่งในตำนานคนสู้ชีวิตลือลั่นที่สุดในยุทธจักรคนค้าน้ำตาล เขาคือลูกหลานชาวไร่ชาวนาตัวจริงเสียงจริง ที่ต้องตรากตรำทำมาหากินชนิดหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน กว่าจะผงาดเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจน้ำตาลรายใหญ่ อันดับต้นๆของเมืองไทย ผลิตน้ำตาลจากอ้อยปีละนับแสนตัน และสร้างรายได้ เข้าประเทศปีละหลายพันหลายหมื่นล้านบาท

ความเป็นนักสู้ตัวจริงที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคง่ายๆของเจ้าพ่อน้ำตาลวังขนาย ยังตกทอดมาถึงรุ่นลูกอย่างดุเดือดเข้มข้นด้วย โดยเฉพาะลูกชาย คนเล็ก "บุญญฤทธิ์ ณ วังขนาย" วัย 42 ปี ที่ต้องเข้ามารับช่วงสานต่อกิจการครอบครัว ในช่วงที่วังขนายเผชิญวิกฤติหนี้ครั้งมโหฬารที่สุด ติดตัวแดงมากกว่า 12,000 ล้านบาท จนถูกศาลบังคับให้เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการต่อเนื่องเป็นเวลา12 ปีเต็ม แบกรับภารกิจสุดหนักอึ้ง คือ ทำยังไงก็ได้เพื่อหาเงินมาชำระ หนี้สินให้หมดเร็วที่สุด!!

ถ้าไม่อึดจริงและไม่มีเลือดนักสู้เต็มตัว นายน้อยแห่งน้ำตาลวังขนาย คงไม่สามารถนำพากิจการของครอบครัวให้ผ่านพ้นวิกฤติใหญ่มาได้อย่างรวดเร็ว ในฐานะจีเอ็มใหญ่ ซึ่งรับผิดชอบบริหารบริษัทกลุ่มวังขนาย ภายใต้แผน ฟื้นฟูกิจการ "คุณบุญญฤทธิ์" เปิดใจเล่าถึงเส้นทางการต่อสู้และยืนหยัดท้าอุปสรรคในยุคที่หนี้ท่วมหัว แต่ยังยิ้มสู้ไม่เคยถอย!!

...

หนักใจไหมที่จู่ๆต้องรับบทฮีโร่ขี่ม้าขาวช่วยกอบกู้ธุรกิจครอบครัว

ไม่เกี่ยวกับเรื่องฮีโร่ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบมากกว่า!! ผมไปเรียนต่อปริญญาตรีและโทที่ญี่ปุ่น 6 ปีเศษ พอช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ก็ถูกเรียกตัวกลับมาช่วยงานที่บ้าน แต่ช่วงแรกไม่ได้ยุ่งกับการผลิตน้ำตาลเลย เพราะพี่ชายคนโตคือ "คุณธีระ" เป็นเอ็มดีใหญ่บริหารงานทั้งหมดแทนคุณพ่อ ส่วนผมทำเรื่องฝ่ายบุคคลและประชาสัมพันธ์เป็นหลัก ทำอยู่เกือบ 10 ปี เพิ่งได้เข้ามาดูเรื่องน้ำตาลทั้งหมดเต็มตัว เมื่อปี 2548-2549 คือเป็นผลจากวิกฤติปี 2540 ทางธนาคารเจ้าหนี้มองหาคนรับผิดชอบ ซึ่งผู้บริหารชุดเดิมบริหารผิดพลาดก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งคณะ แล้วตั้งผู้บริหารชุดใหม่แทน โดยทางเจ้าหนี้ลงมติเลือกผมเป็นจีเอ็ม ทำหน้าที่บริหารบริษัทกลุ่มวังขนาย ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อหาทางชำระหนี้คืนให้หมดภายในเวลา 12 ปี ตอนนี้เราอยู่ในแผนมาได้ 3 ปีแล้ว ถ้าผมทำได้ตามเป้า ก็น่าจะชำระหนี้ได้เร็วขึ้น

อะไรคือปัญหาใหญ่ที่ทำให้กลุ่มวังขนายแทบล้มละลายกลุ่มวังขนายเกิดจากการรวมตัวกันของชาวไร่ แถวกาญจนบุรี 40-50 คน ร่วมกันลงทุนเปิดโรงงาน ผลิตน้ำตาลจากอ้อย โดยมีพ่อคือ "คุณอารีย์" เป็นแกนนำ แต่ด้วยฐานการเงินที่ไม่แน่น ใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารเป็นหลัก ฉะนั้น ต้นทุนการเงินจึงสูงกว่าทุกคน ทำให้พวกเราล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เราใช้เวลาเกือบ 20 ปี กว่าจะสร้างโรงงานแรกที่กาญจนบุรีได้สำเร็จ ตอนมา สร้างโรงงานแห่งที่สอง, สาม และสี่ ก็ยังอาศัยการกู้เงินจากธนาคารเป็นหลัก โดยกู้เป็นดอลลาร์, เงินเยน และฟรังก์สวิส เมื่อฐานการเงินมาจากเงินกู้ เวลามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเงินภายในประเทศ พวกเราก็จะโดนหนักกว่าเพื่อน คือโดนทุกรอบที่เกิดวิกฤตการณ์ โดยเฉพาะรอบล่าสุด วิกฤติการเงินต้มยำกุ้ง ปี 2540 หนี้ของเราเพิ่มขึ้นมาเท่าหนึ่งภายในคืนเดียว เพราะสัญญากู้เงินเป็นยูเอสกับเป็นเงินเยน เราเลยโดนไปเต็มๆ พอมีปัญหา ปุ๊บ เราก็ถูกบังคับให้แปลงสภาพหนี้ จากยูเอสเป็นบาท หนี้สินเลยท่วมท้นขึ้นทันที ปัญหาอีกอย่างคือ กลุ่มวังขนายขยายธุรกิจเร็วเกินไป เฉพาะช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีธุรกิจในกลุ่มมากถึง 50-60 บริษัท คือขยายเยอะไปหมดจนจำชื่อบริษัทไม่ได้!!

ผู้บริหารคนใหม่แสดงให้เห็นฝีมืออย่างไรบ้าง

เริ่มจากการเคลียร์บริษัทลูกๆทิ้งเกือบทั้งหมด เหลืออยู่ 10 กว่าบริษัทเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำตาลเป็นหลัก รวมถึงกระดาษ และปุ๋ย โดยปีแรกในแผนเป็นเรื่องการตระเวนชี้แจงให้พนักงานทราบว่าตอนนี้เราอยู่ในสภาพอะไร เราไม่ปลดคนนะ เพราะพนักงานไม่ได้ผิดอะไร เงินเดือนยังให้เท่าเดิม แต่ไม่มีโบนัส ก็จะคอยบอกพนักงานทั้ง 1,200 คน ทุกครั้งที่ประชุมว่า  บริษัทดำเนินการไปถึงไหนแล้ว  และมีแผนจะทำอะไรต่อไป  พอเข้าสู่ปีที่สองเป็นปีของการตั้งหลักใหม่  คือเริ่มวางโครงสร้างวิธีการทำงานกันใหม่หมด  จากเดิมที่ก้มหน้าก้มตาทำงานแค่ 4 เดือน ช่วงฤดูเก็บเกี่ยว คือธันวาคมถึงเมษายน จากนั้นที่เหลือก็สบายๆ ผมมาค้นพบว่าการทำงานแบบนี้ทำให้ไฟติดช้า เลยต้องปรับวิธีทำงานใหม่ให้แอ็กทีฟขึ้น และบริหารแบบมีเป้าหมาย ชัดเจนขึ้น โดยทุกอย่างอธิบายด้วยตัวเลข สิ่งที่ผมพยายามทำคือ การฟื้นฟูวินัยในองค์กร เราทำงานแบบพี่น้องมานาน ทำให้ขาดวินัยในทุกเรื่อง บริษัทถึงได้ไร้ประสิทธิภาพ ผลจากความพยายามที่ผ่านมา ทำให้ในปีที่สามของแผนฟื้นฟูกิจการ กลุ่มวังขนายมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ปีนี้ตั้งเป้าหมายการผลิตไว้ที่ 6 ล้านตัน จนถึงขณะนี้ทำไปได้ 3 ล้านตันแล้ว ถ้าถึงเป้าหมายจริงๆ ปีนี้พนักงานจะได้โบนัส 3 เดือน ผู้บริหารก็ใช้หนี้ได้มากขึ้น และออกจากแผนฟื้นฟูเร็วขึ้น ที่สำคัญคุณพ่อก็จะมีความสุขมากขึ้น

คุณพ่อถ่ายทอดวิทยายุทธ์การทำธุรกิจให้บ้างไหม

ไม่มีเลย (หัวเราะ) ตั้งแต่เล็กผมก็ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำแล้ว และโตมากับคุณอา ซึ่งเป็นชาวไร่อ้อย ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพ่อแม่ ยังไม่เคยเรียกพ่อว่าพ่อเลย จะติดปากเรียกว่า "คุณอารีย์" ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อจะเป็นคนคิดว่าอยากทำโน่นทำนี่ แล้วให้ลูกๆตามสานต่อกันเอาเอง ไม่เคยมานั่งบอกนั่งสอนว่าต้องทำยังไง เขาเป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาล ตอนอายุ 40 ปี ทำงานมาทั้งชีวิต โดยครึ่งหนึ่งจะอยู่ในไร่อ้อย กับโรงงาน เพิ่งสเต็ปดาวน์ตอนอายุ 65 ปี และยกให้พี่ชายคนโตเป็นเอ็มดีใหญ่ดูแลทุกอย่างแทน แต่ ขนาดลดบทบาทแล้ว ก็ยังเข้าออฟฟิศจาก 5 วัน เหลือ 4 วัน จนกระทั่งทุกวันนี้ อายุ 81 ปีแล้ว คือเขา เป็นฟาวน์เดอร์ ก่อตั้งบริษัทมาเองกับมือ ยังไงก็วางมือไม่ลง และยังมีพละกำลังในแบบผู้ก่อตั้ง ส่วนพวกเราก็มีหน้าที่ตามเก็บสิ่งที่เขาคิดและริเริ่มไว้ ส่วนใหญ่ผมจะเรียนรู้งานจากพี่ชายคนโต โดย 3 ปีแรกที่เข้ามาทำงานที่วังขนาย ต้องนั่งอยู่ในห้องทำงานพี่ชาย คอยมองเขาทำงานอย่างเดียว ใครเข้ามาคุยก็ให้นั่งฟังเฉยๆ ห้ามแสดงความคิดเห็น บางทีพี่ชายก็จะบอกให้ไปทำโน่นทำนี่ ฟังดูอาจจะคิดว่าอึดอัด แต่ไม่เลย!! ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เพราะการนั่งฟังคนเยอะๆเป็นการซึมซับมากกว่าการแสดงออกโดยที่ไม่รู้จริง

...

แล้วเลือดนักสู้ล่ะคะ ได้มาจากคุณพ่อเยอะไหม

อันนี้คงอยู่ในตัวของชาวไร่ทุกคน รวมทั้งผมด้วย!! พวกเราชาวไร่อ้อย ออกจะมีนิสัยนักเลง เป็นคนแรงๆหน่อย อารมณ์ร้อน และเป็นนักสู้!! "คุณอารีย์" เป็นคนขยัน และยอมทำงานทุกอย่างเพื่อให้ตัวเอง พี่น้อง และครอบครัวมีความสุข เขาทำมาหมดทุกอาชีพ ทั้งทำไร่, เป็นหัวหน้า รปภ., ค้าขายที่ดิน, เลี้ยงสัตว์, รับเหมาก่อสร้าง หรือกระทั่งรับจ้างทั่วไป พ่อพูดเสมอว่า คนเรา เกิดมาต้องสู้ชีวิต และให้คิดว่าอุปสรรคไม่ใช่มารร้าย แต่เป็นเทพบุตรที่จำแลงกายมาทดสอบเรา สอนให้เราต่อสู้ และเมื่อเราต่อสู้แล้ว เทพบุตรจะประทานความสำเร็จให้พวกเรา ถึงวังขนายจะเจอวิกฤติมากี่ครั้งกี่หน ก็ไม่เคยล้ม เพราะพวกเราเป็นนักสู้ทุกคน

"คุณอารีย์" เป็นต้นแบบด้านใด

คิดดูสิ ขนาดเราเรียนจบเมืองนอกเมืองนาขนาดนี้ ยังทำอะไรไม่ได้ เท่าเขาเลย ทั้งๆที่เขาจบแค่ ป.4!! "คุณอารีย์" เป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลมาก คือคิดอะไรแต่ละอย่างเป็นเรื่องของอนาคตทั้งนั้น ตั้งแต่หนุ่มๆ เขา เป็นตัวตั้งตัวตีต่อสู้ให้มีกฎหมายอ้อยและน้ำตาล เอาผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่กับโรงงานมารวมกัน   แล้วค่อยแบ่งกำไร   เพื่อให้ความยุติธรรมกับชาวไร่ พ่อยังริเริ่มตั้งสหกรณ์ให้พนักงานตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ก่อนที่บริษัทใหญ่ๆจะคิดถึงเรื่องนี้  หรืออย่างเรื่องการแบ่งโซนนิ่งการทำงาน  พ่อก็พูดมาเป็นสิบๆปีแล้ว  วันนี้  "คุณอารีย์"  ยังพูดถึงเรื่องการปฏิรูปที่ดิน  ซึ่งความหมายของเขาคือ Mass Plantation เอาที่ดินมารวมกัน   เพื่อปลูกข้าวปลูกอ้อย   ถ้าต่างคนต่างมีที่ดินคนละไร่สองไร่ เครื่องจักรลงไม่ได้หรอก แล้วเราจะสู้ใครได้   ถ้าไม่รีบทำเรื่องนี้  อีกหน่อยเราจะปลูกข้าวด้วยต้นทุนที่สูงกว่าเวียดนาม และปลูกอ้อยแพงกว่าบราซิล

...

ธุรกิจค้าน้ำตาลดุเดือดเลือดพล่านอย่างที่ร่ำลือไหม

ยุคปี 2518 คนทำโรงงานน้ำตาลต้องเป็นนักเลงและต้องดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง เพราะโจรเยอะ สมัยก่อน จะสร้างโรงงานน้ำตาลต้องไปตั้งที่ไม่มีคนประเภทไกลปืนเที่ยง   ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงทั้งนั้น เพราะต้องใช้พื้นที่เยอะ อยู่ในเมืองไม่ได้ สมัยก่อนออกนอกเมืองไปโดนปล้นได้ง่ายๆ มีสิบล้อขนอ้อยคันหนึ่ง ก็ต้องนอนเฝ้ากันทั้งคืน ไม่งั้นโดนปล้น   พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า   ยุคนั้นต้องเข้าไปเปิดป่าทำกินกัน กฎหมายที่ดินยังไม่มีหรอก ฉะนั้น ต้องเข้าไปเปิดป่าทำไร่อ้อยกันเอง พอเข้าป่าลึกๆก็มีเรื่องคอมมิวนิสต์และเรื่องโจรพ่วงเข้ามา  เมื่อก่อนจะไปดูโรงงานที่ต้องเตรียมกำลังเยอะ เพราะคอมมิวนิสต์แรงจริงๆ คนทำโรงงานน้ำตาลยังถูกเพ่งเล็ง เพราะต้องพึ่งเครื่องจักรจากประเทศจีน ยุคนั้นใครๆก็กลัวคอมมิวนิสต์ เวลาจะเดินทางไปดูเครื่องจักรต้องขออนุญาตสันติบาล และโดนตรวจสอบประวัติยาวเยียด คนส่วนใหญ่ยังติดภาพว่าโรงงานน้ำตาลเป็นอะไรที่นอกกฎหมาย ซึ่งจริงๆมันหลุดยุคนั้นมานานมากแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า คนวงการนี้ก็มีเส้นทางเริ่มต้นคล้ายๆกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนแคระ ที่อพยพมาตั้งรกรากแถวราชบุรี, กาญจนบุรี และเพชรบุรี

...

ฟังดูชีวิตออกจะเครียดๆนะคะ มีเวลาพักผ่อนบ้างไหม

ชีวิตผมทำงาน 7 วัน มาต่อเนื่อง 3-4 ปีแล้ว เป็นคนไม่ค่อยได้นอน 6-7 โมงเช้า จะมีนาฬิกาปลุก คือ "คุณอารีย์" โทร.มาสั่งงานบ้าง โทร.มาด่าบ้าง (หัวเราะ) จากนั้น 8-9 โมงเช้า ผมจะมาทำงานที่ออฟฟิศ เข้านอนอีกที 4-5 ทุ่ม แล้วตื่นขึ้นมาตอนตีหนึ่งถึงตีสี่ เพื่อคุยธุรกิจกับฝรั่ง   บอกตรงๆงานเยอะจนไม่มีเวลาเครียด!!   ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้ไฟในองค์กรโหมตลอดเวลา   เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของวังขนาย กลับคืนมา   ปีนี้พนักงานทุกคนสู้เยอะ   เราในฐานะผู้บริหารก็ต้องสู้เพื่อพวกเขาเช่นกัน!!

ทีมข่าวหน้าสตรี