จากกรณีนายแชด เอลวาร์ตอฟสกี ชาวเฟรนช์โปลินีเซีย และนาเดีย-นางสุปราณี เทพเดช ภรรยาชาวไทย ซึ่งขณะนี้กำลังหลบหนีเจ้าหน้าที่ของไทย อ้างว่าถูกรัฐบาลกล่าวหาว่าพยายามอ้างความเป็นเจ้าของน่านน้ำของไทย จากการสร้างบ้านลอยน้ำ หรือ ‘ซีสเตด’ กลางทะเลนอกชายฝั่งเกาะภูเก็ต ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ อาจเผชิญโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือถูกประหาร

ขณะที่เพจของ นายแชด เอลวาร์ตอฟสกี เมื่อ 2 วันก่อนระบุ นาเดีย และตัวเขายังปลอดภัย พร้อมคาดว่าบ้านลอยน้ำจะยังคงอยู่ ไม่ถูกรื้อถอน จากสัญญาณเครื่องติดตามโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนบ้านลอยน้ำ แต่ไม่ว่ามันจะยังอยู่หรือไม่ มันไม่สำคัญสำหรับฉัน ฉันกังวลมากกว่าเกี่ยวกับนาเดียที่จะถูกให้ออกจากประเทศบ้านเกิดของเธอ ซึ่งทำให้ครอบครัวของเธอ และลูกชายของเธอเป็นห่วง โดยหวังว่าพวกเขาจะได้เจอกันเร็วๆนี้

ส่วนสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในบ้านลอยน้ำ แม้ว่าไม่มีอะไรมาก แต่มีส่วนหนึ่งที่เสียหายยับเยินเป็นโปสการ์ดที่เก็บสะสมในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจากทุกๆ เมืองประมาณ 35 รัฐในสหรัฐฯ และการท่องเที่ยวทั่วยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย รวมถึงได้จากร้านเล็กๆ บนฐานกองทัพ เมื่อฉันอยู่ในอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกทิ้งในบ้านลอยน้ำที่ฉันออกมา ในขณะที่คนที่สนับสนุนบ้านลอยน้ำกลับมีความกังวลเรื่องการสูญเสียบ้านลอยน้ำ แต่สำหรับฉันและนาเดียแล้ว เป็นเพียงผู้เช่า อยากใช้ชีวิตตราบนานเท่านาน และอยากมีชีวิตอยู่ในตอนนี้

เช่นเดียวกันนาเดีย ได้แสดงความกังวลเป็นอย่างมาก เพราะช่วงที่ผ่านมาเธอระบุมีตำรวจมาที่บ้าน 8 นาย วนเวียนอยู่ 2-3 ครั้ง ทำให้แม่และลูกชายของเธอเกิดความหวาดกลัว พร้อมวิงวอนได้โปรดให้หยุด อย่าทำให้พวกเขาหวาดกลัวอีกเลย โดยมีรายงานว่าปัจจุบันเธอยังคงอยู่ภูเก็ต ส่วนสามีของเธอ ขณะนี้หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามใดๆ เพียงแต่ระบุสั้นๆ ว่า ให้ติดต่อกับ องค์กรไม่แสวงผลกำไร The Seasteading Institute (TSI) ซึ่งจะตอบแทนเขา จากสิ่งที่เกิดขึ้น

...

ส่วนบริษัท Ocean Builders ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ ได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวว่าบ้านลอยน้ำกลางทะเลแห่งแรก กำลังถูกกองทัพเรือของไทยรื้อถอน หรือถูกรื้อถอนไปแล้ว รวมถึงระบุว่า นายแชด เอลวาร์ตอฟสกี และภรรยาชาวไทย เป็นเพียงอาสาสมัครที่ต้องการถ่ายทอดการใช้ชีวิตอย่างอิสระบนบ้านลอยน้ำกลางทะเล โดยทั้งคู่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกแบบ การตัดสินใจเรื่องทำเลที่ตั้ง หรือการลงทุนในโครงการสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว พร้อมยืนยันทั้งคู่ยังปลอดภัยดี 

นอกจากนี้ยังตอบโต้รัฐบาลไทยที่บุกถึงจุดที่ติดตั้งบ้านลอยน้ำว่าอยู่ในเส้นทางเดินเรือ และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งๆ ที่ภูเก็ตมีท่าเรือเพียงแห่งเดียว อาจจะมีเรือสินค้าวิ่งผ่านเพียงหนึ่งหรือสองลำในแต่ละสัปดาห์ ขณะที่บ้านลอยน้ำมีความกว้างเพียง 6 เมตร จึงกินเนื้อที่น้อยกว่าเรือประมง อีกทั้งมีไฟสมอที่มีความสว่างสูง และมีระบบตรวจจับ ทำให้เรือทุกลำที่อยู่ใกล้สามารถตรวจจับได้

อย่างไรก็ตามหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวกับรัฐบาลไทยได้ โดยที่ผ่านมาพยายามคุยกับทุกฝ่าย ซึ่งได้คำตอบไม่มีอะไรน่าห่วง เนื่องจากปลูกสร้างในน่านน้ำสากล ดังนั้นทางบริษัทจึงตัดสินใจระงับการเสนอขายบ้านลอยน้ำกลางทะเล จากเดิมกำหนดในวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา จนกว่าทุกอย่างจะชัดเจน และหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกฝ่าย.