“วันที่ 24 มีนาคม” ของทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็น “วันวัณโรคโลก (World Tuberculosis Day)” เพื่อเป็นการควบคุมการระบาดของวัณโรค รณรงค์และให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายจากวัณโรค ซึ่งในปัจจุบันก็ยังพบว่า “วัณโรค” ยังคงเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย คอลัมน์ “ศุกร์สุขภาพ” สัปดาห์นี้จะพาไปรู้จักโรคนี้กัน
รู้จัก “วัณโรค”
“วัณโรค” คือ โรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis complex การติดเชื้อส่วนมากมักจะเกิดขึ้นที่ปอด อย่างไรก็ตามการติดเชื้ออาจเกิดขึ้นที่อวัยวะอื่นๆ ได้ เช่น ที่เยื่อหุ้มปอด ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ไต ระบบประสาทส่วนกลาง (สมองและเยื่อหุ้มสมอง) ซึ่งในบทความนี้จะนำเสนอเฉพาะ ”วัณโรคปอด” เท่านั้น
สถานการณ์ของวัณโรคในประเทศไทย
วัณโรคเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างมาก เพราะจากข้อมูลในแง่ของระบาดวิทยาพบว่า 1 ใน 4 ของผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นผลที่อาจจะสืบเนื่องมาจากปัจจัยที่สำคัญ 2 ประการ คือ การวินิจฉัยโรคช้า และการรักษาที่ไม่ทันท่วงที
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค
1. การอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคในระยะแพร่เชื้อ ซึ่งเป็นวัณโรคที่ตรวจพบเชื้อในเสมหะ ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นวัณโรคปอด เพราะวัณโรคที่อวัยวะอื่นๆ อย่าง วัณโรคต่อมน้ำเหลือง วัณโรคตับ วัณโรคไต ซึ่งอาจจะไม่ได้ติดต่อกันง่ายเช่นเดียวกับวัณโรคปอด
2. ระบบภูมิคุ้มกันของผู้รับเชื้อ การได้รับเชื้อวัณโรคไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องเป็นวัณโรค เนื่องจากร่างกายจะมีระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อวัณโรค แต่เมื่อไรที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายเริ่มลดลง ก็จะไปนำไปสู่การเป็นวัณโรคที่มีอาการชัดเจน
...
อาการ
อาการสำคัญของวัณโรคปอดคือ การไอเรื้อรังอย่างน้อย 3-8 สัปดาห์ขึ้นไป มีหรือไม่มีเสมหะก็ตามร่วมกับการมีอาการอื่นๆ เช่น ผอมลง น้ำหนักลด มีไข้ต่ำๆ เหงื่อออกเวลากลางคืน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หรือในบางรายก็มีอาการไอเป็นเลือด ซึ่งจุดนี้เองเป็นเหตุให้คนไข้ต้องรีบมาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อวัณโรคในเสมหะ
อันตรายและความรุนแรงของโรค
1. ผลต่อตัวผู้ป่วย หากผู้ป่วยวัณโรคปอดไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจจะเกิดปัญหาที่เชื้อทำลายอวัยวะดังกล่าว เช่น วัณโรคปอด เกิดเป็นโพรงฝีในปอด ไอเป็นเลือดรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้
2. ผลต่อคนรอบข้าง ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ก็จะได้รับเชื้อวัณโรคไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มคนเสี่ยง ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี คนไข้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ได้ยากดภูมิคุ้มกัน คนไข้มะเร็งที่ได้ยาเคมีบำบัด หรือผู้ป่วยที่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ เป็นต้น
การวินิจฉัยโรค ทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. การตรวจเสมหะของผู้ป่วยโดยการย้อม เพื่อตรวจหาเชื้อวัณโรคในเสมหะ ซึ่งค่อนข้างมีความไว แต่ไม่จำเพาะ เพราะจะต้องมีเชื้อวัณโรคในปริมาณมาก จึงจะสามารถวินิจฉัยได้
2. การตรวจเสมหะของผู้ป่วยโดยการเพาะเชื้อ สามารถทำได้ แม้ว่าจะมีปริมาณเชื้อวัณโรคเพียงเล็กน้อย แต่ต้องใช้เวลานานถึง 6 สัปดาห์ ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้มีความจำเพาะสูง แต่ข้อเสียคือใช้เวลาในการวินิจฉัยนาน
3. การตรวจหา DNA ของวัณโรค (PCR) การตรวจวิธีนี้มีความรวดเร็วและมีความจำเพาะสูง มีเชื้อเพียงเล็กน้อย ก็สามารถตรวจได้ แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจก็ค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
การรักษา
วัณโรคเป็นโรคที่รักษาให้หายด้วยการใช้ยา สิ่งสำคัญในการรักษาคือการวินิจฉัยที่ถูกต้องว่าคนไข้รายนี้เป็นวัณโรคจริง ซึ่งยาที่ใช้รักษาวัณโรคนั้นเป็นยาที่มีประสิทธิภาพ แต่มักมีปัญหาในเรื่องของการดื้อยาเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยวัณโรคจึงจำเป็นจะต้องกินยาให้ครบ ต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
การรักษาผู้ป่วยวัณโรคด้วยยานั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การกินยาในระยะเข้มข้น ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งประกอบไปด้วยยาอย่างน้อย 3-4 ชนิด เพื่อกำจัดเชื้อวัณโรคในปอด และป้องกันการแพร่เชื้อ ส่วนต่อมาคือการกินยาในระยะต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องกินยาอย่างน้อย 2 ชนิด เพื่อกำจัดเชื้อที่แฝงอยู่ในร่างกายให้หมดไป และต้องกินยาติดต่อกันประมาณ 6-9 เดือน
การรักษาวัณโรคด้วยยานั้นอาจมีผลข้างเคียงจากยา ได้แก่
การแพ้ยา เช่น มีอาการคันตามผิวหนัง อาจมีผื่นหรือไม่มีผื่น อาจเป็นจุดแดงตามผิวหนังหรือผื่นลมพิษ หรืออาจมีอาการไข้ ปวดข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต ในรายที่มีอาการรุนแรง
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ซึ่งพบได้บ่อย
- อาการไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว รู้สึกอ่อนเพลีย คล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่
- ตับอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ปัสสาวะ อุจจาระ และสารคัดหลั่ง เช่น น้ำตา จะมีสีส้มหรือแดง
...
การป้องกัน
วัณโรคปอดนั้นสามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจจากเชื้อในเสมหะของผู้ป่วย การป้องกันที่ดีที่สุด คือการหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีเชื้อวัณโรค เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรมีการจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสม โดยจัดให้มีอากาศถ่ายเทภายในบ้าน แยกห้องนอนกับผู้ป่วยวัณโรค และจัดบ้านให้มีแสงสว่างส่องถึง รวมทั้งการใส่หน้ากากป้องกันในผู้ที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรคในระยะแพร่เชื้อ
“วัณโรค” จึงนับเป็นโรคที่เราทุกคนต้องให้ความสำคัญ หากพบว่าตนเองหรือผู้ใกล้ชิดมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นวัณโรค ควรรีบไปตรวจและรักษาทันที และหากตรวจพบว่าเป็นแล้ว ต้องรับการรักษา ต้องติดตามอาการ รับประทานยารักษาอย่างต่อเนื่องจนสิ้นสุดการรักษา เพื่อป้องกันการดื้อยา ทำให้หายจากวัณโรค และป้องกันการแพร่กระจายไปยังบุคคลใกล้ชิด ปัญหาวัณโรคปอดมีผลกระทบทั้งกับผู้ป่วยเองและบุคคลรอบข้าง เราทุกคนจึงควรช่วยกันสำหรับปัญหาวัณโรคดังกล่าว
แหล่งข้อมูล
ผศ. นพ.ธีรศักดิ์ แก้วอมตวงศ์ สาขาโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล