
เป็นธรรมเนียมของ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่เมื่อย่างก้าวเข้าสู่ช่วงปีใหม่ของทุกปี เราจะประมวลทิศทางราคาน้ำมัน เงิน ทอง และหุ้น มากำนัลผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจไม่เคยขาด เพื่อจะได้วางแผนให้ตัวเองและธุรกิจได้
ก่อนจะหอบเงินไปลงทุนซื้อหุ้น ตุนทองคำ เก็งกำไรค่าเงิน หรือหากคิดจะยกขบวนขันหมากไปสู่ขอหวานใจประเดิมปีใหม่หรือช่วงไหนอย่างไรนั้น หากได้ชำเลืองดูข้อมูลที่นำเสนอนี้สักนิด จะได้ไม่ลมจับในภายหลัง
ใจจริง “ทีมเศรษฐกิจ” ก็อยากจะส่องลงไปถึงหวยด้วยเลย แต่ดูไปแล้วกลัวจะล้ำหน้าบรรดาเลขเด็ดเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ละสำนักที่ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จึงขอสแกนแต่เฉพาะทิศทางราคาหุ้น ทองคำ และราคาน้ำมันพอหอมปากหอมคอก่อน ดังนี้ :
**********
เริ่มจากทิศทางราคาน้ำมันก่อน ซึ่ง “กูรู” ที่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานของประเทศไทย คงไม่มีใครรู้ลึกซึ้งได้เท่า “นายมนูญ ศิริวรรณ” นักวิชาการอิสระด้านพลังงานผู้นี้แน่ ซึ่งเจ้าตัวได้ฟันธงประเดิมเลยว่าทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกในปี 62 จะมีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากก่อนนี้ราคาได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าถึงจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากกำลังการผลิตของตลาดโลก ทั้งกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกที่พร้อมใจกันลดกำลังการผลิตลงเพื่อกระตุ้นราคาตลาดโลกให้เพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการบริโภคของทั่วโลกกลับลดลงตามสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
ทั้งนี้ ทุกสถาบันระดับโลกต่างฟันธงว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2562 จะเติบโตน้อยกว่าปี 2561 ทำให้ความต้องการน้ำมันของโลกจะขยายตัวเพียง 1.2% หรือประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้นจากเดิมที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจากทุกประเทศทั่วโลกจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 100-101 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีที่ผ่านมามีความต้องการใช้เพียง 99 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะที่การจัดหาน้ำมันจากทุกแหล่งทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการ โดยเฉพาะกลุ่มนอกโอเปก อย่างเช่นสหรัฐฯที่ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วผลิตน้ำมันดิบได้สูงถึง 11.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 12.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ล่าสุดสหรัฐฯกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันครั้งแรกในรอบ 75 ปี
อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตาตลอดทั้งปีคือ สถานการณ์สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐฯกับจีนว่าจะบรรเทาเบาบางลงหรือไม่ เพราะไม่ว่าไพ่จะออกมาหน้าใดทั้งความรุนแรงลดลงหรือเพิ่มขึ้นย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการเป็นอีก 1 กลไกหลักในการกำหนดราคาน้ำมันตลาดโลก เพราะจีนและสหรัฐฯต่างก็เป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ของตลาดโลก เมื่อ “ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ”
ยังมีอีกปัจจัยที่มีบทบาทบ่งชี้ถึงทิศทางราคาน้ำมันในปีนี้ก็คือ การที่สหรัฐฯยอมผ่อนผันให้ 8 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย สามารถสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่านได้เป็นเวลา 6 เดือน ไปจนถึงกลางปี 62 นี้ หากระยะเวลาผ่อนผันสิ้นสุดลง โดยที่สหรัฐฯและอิหร่านยังทำความตกลงกันไม่ได้ และสหรัฐฯกลับมาใช้มาตรการเข้มงวดกับอิหร่านก็จะส่งผลต่อราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน เพราะทั้ง 8 ชาติก็จะไม่ได้รับสิทธิทำธุรกิจทางการเงินในการค้าขายกับสหรัฐฯผ่านธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯนั่นเอง
ปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้นักวิเคราะห์และผู้ค้าน้ำมัน (Traders) มั่นใจว่า ราคาน้ำมันตลาดโลก จะยังคงอ่อนตัวอยู่ในระดับปัจจุบันไปอย่างน้อยตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 62 ที่จะยังคงมีน้ำมันเกินความต้องการของตลาดโลกอยู่ถึง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ทำให้ฟันธงได้เลยว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 60–70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลอย่างแน่นอน!!!
มาถึงทิศทางราคาทองคำ “ดัชนีชี้วัดเรือนหอกับคาน” จากการติดตามสถานการณ์ราคาทองคำตลอดช่วงปี 2561 ที่ผ่านมาต้องเผชิญกับความผันผวนเกือบตลอดทั้งปี ตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปีที่ราคาทองคำ Spot ทะยานขึ้นไประดับสูงสุดถึง 2 รอบที่ระดับ 1,366 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ในเดือน ม.ค. และ เม.ย.61
แต่หลังจากเดือน เม.ย.เริ่มมีแรงเทขายออกมา ทําให้ราคาทองคำปรับตัวลงไปจนหลุด 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เนื่องจากธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.และยังส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกถึง 4 ครั้งในปีเดียวกัน ทำให้ราคาทองคําปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับต่ำสุดที่ 1,160 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ในเดือน ส.ค. และเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,180-1,210 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ตลอดเดือน ก.ย. ก่อนปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 1,210 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮงกล่าวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า ราคาทองคํา Spot มีแนวโน้มจะปรับขึ้นโดดเด่นในไตรมาสแรก เนื่องจากมีแรงซื้อทองคำจากประเทศในเอเชียช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนต่อเนื่องไปถึงเดือน ม.ค.ปี 62
โดยเมื่อดูสถิติเฉลี่ยย้อนหลัง 3-5 ปี จะเห็นว่าราคาทองคําจะปรับขึ้นมากที่สุดในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ทุกปี โดยราคาทองคำ Spot เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ปรับขึ้น 4.5% ในเดือน ม.ค.และปรับขึ้น 3.9% ในเดือน ก.พ. ขณะที่เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ปรับขึ้น 5.0% ในเดือน ม.ค.และ 2.6% ในเดือน ก.พ. นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่คาดว่าจะเข้ามาเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯที่คาดว่าจะมีการปรับฐานลง แต่จะส่งผลในเชิงลบที่กดดันให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคํามีแนวโน้ม “ขาขึ้น” ในระยะสั้น หลังจากที่ราคาทองคํา Spot แกว่งตัวในกรอบแคบๆ และในที่สุดจะสามารถทะลุแนวต้าน 1,210-1,212 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้ ในช่วงกลางเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งหากราคาทองคำสามารถทะลุผ่านแนวต้าน 1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้ ก็มีโอกาสที่จะทะยานไปถึง 1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ได้ส่งผลให้ราคาทองแท่งในประเทศน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 20,000-20,500 บาทได้
“ตลาดทองคำ Spot เดือน พ.ย. และ ธ.ค.ที่เคลื่อนไหวลงมาใกล้ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์นั้น เป็นโอกาสในการลงทุนได้ ส่วนนักลงทุนที่เข้าซื้อในช่วงที่ราคาทองปรับตัวลดลงในเดือน ส.ค.-ก.ย.61 ถือว่ามีต้นทุนที่ถูกอยากแนะนําถือต่อไป (Let Profit Run) เพื่อขายทํากําไรในช่วงปลายเดือน ม.ค.62 ที่ราคาทองคำน่าจะขยับขึ้นไปที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์หรือทองแท่งในประเทศอยู่ที่ 20,000 บาท”
ปิดท้ายด้วยแนวโน้มของตลาดหุ้นปีหมูทองที่ “กูรูนักวิเคราะห์” พากันคาด-การณ์ทิศทางตลาดหุ้นในปีหน้าว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาได้สร้างความเจ็บปวดให้นักลงทุนมานักต่อนัก
เริ่มด้วย “นายไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ นายกสมาคมนักวิเคราะห์ และประธานสภาธุรกิจตลาดทุน ที่มองตลาดหุ้นไทยปีหมูว่ายังเป็นขาขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ยังเติบโตโดย “จีดีพี” ปีหน้าที่คาดว่าจะเติบโต 4.0% ทำให้ประเมินกำไร บจ.โดยรวมจะขยายตัวได้ราว 7-8%
แต่ตลาดหุ้นคงจะผันผวนรุนแรงไม่แพ้ปีก่อน เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังคงกดดัน โดยเฉพาะสภาพคล่องการเงินโลกที่เริ่มลดลงจากการลดงบดุลต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) muj ยุติการทำ QE หรืออัดฉีดเงินเข้าระบบ
ที่สำคัญจะเกิดภาวะ “เงินเริ่มมีที่ไป” หลังผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดพันธบัตรระยะยาว (Bond Yield) ทยอยปรับขึ้นตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่นอกจากทำให้การลงทุนในตลาดพันธบัตรกลับมาน่าสนใจแล้วยังกดดันระดับการประเมินมูลค่าตลาดหุ้นผ่าน Earning Yield Gap และ Discount Rate ด้วย
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงต้องกระจายความเสี่ยงในหุ้นหลากหลายอุตสาหกรรม โดยกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตดีกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มแบงก์คาดว่าจะโต 16%, พาณิชย์โต 15%, ก่อสร้างโต 29%, มีเดียโต 20% และขนส่งเติบโต 14%
ส่วนการเลือกลงทุนนั้น “ไพบูลย์” แนะให้เลือก “หุ้นคุณภาพดี” มากขึ้น โดยพิจารณาจากรายชื่อหุ้นยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์รวมทั้งหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง, หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเดินหน้าเศรษฐกิจภายในประเทศ, หุ้นที่ฐานราคาต่ำและมีระดับการประเมินมูลค่าไม่แพง, หุ้นที่มีรายได้-ธุรกิจมั่นคง และหุ้นจ่ายปันผลดี เป็นต้น
เซียนวิเคราะห์อีกคน “ภรณี ทองเย็น” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ให้เป้าดัชนีหุ้นไทยปี 62 ไว้ที่ 1,795 จุด มี P/E 16 เท่า ซึ่งเป้าหมายนี้ได้ปรับขึ้นจากเดิมที่ 1,662 จุด และ P/E ที่ 15 เท่า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่เริ่มไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียและไทย โดยเฉพาะสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติที่อยู่ระดับต่ำมากแค่ 29.57% เท่านั้นในปัจจุบัน
โดยแนะให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทยขึ้นเป็น 50% จากเดิม 40% เน้นหุ้นที่อ้างอิงการเติบโตตามเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น หุ้น KBANK และ BBL รองรับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ, หุ้นส่งออกที่ปรับตัวจากผลกระทบการค้าโลกได้ เช่นหุ้น HANA และหุ้นที่เกี่ยวกับการลงทุนสาธารณูปโภคหุ้นเด่นเช่น SCC, STEC, WHA รวมทั้งยังมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภาคครัวเรือน ADVANC, DTAC, PLANB
“ภรณี” ยังประเมินว่าสัปดาห์แรกหลังเลือกตั้งหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้น จากสถิติการเลือกตั้ง 4 ครั้งหลังสุดมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยเฉลี่ย 8,290 ล้านบาท ส่งผลบวก ต่อหุ้นไทย 4.88% ดังนั้นในช่วงก่อนเลือกตั้งจึงแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มค้าปลีกก่อน โดยเฉพาะ CPALL-BJC เพราะได้รับประโยชน์จากนโยบายเลือกตั้งที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย.
ทีมเศรษฐกิจ