นาทีนี้ ชื่อของ นางสาว เหมิง หวันโจว บุตรสาววัย 46 ปี ของประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกภายในชั่วข้ามคืน นับตั้งแต่ถูกจับช็อกโลกที่สนามบินในนครแวนคูเวอร์ ของแคนาดา เมื่อ 1ธ.ค. 61 ตามคำขอของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้แคนาดาส่งตัวเธอไปดำเนินคดีในข้อหาละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯต่ออิหร่าน
ที่ผ่านมา เหมิง หวันโจว เป็นนักธุรกิจหญิงที่เดินตามรอยเท้าพ่อ ไม่ชอบทำตัวเด่นดังในสังคม ทั้งที่เธอเป็นบุตรสาวคนรอง ของนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทหัวเว่ย บริษัทโทรคมนาคมใหญ่สุดในจีนเลยทีเดียว ทว่าคนภายนอกรู้จักเธอน้อยมาก อีกทั้งยังมีภาพออกสื่อเพียงน้อยนิด ก่อนนางสาวเหมิงจะเริ่มออกงานเมื่อ 2-3ปีที่ผ่านมา
...
* เหมิง หวันโจว ไม่ชอบเป็นคนดัง
นางสาว เหมิง หวันโจว ปัจจุบันอายุ 46 ปี มีชื่อเป็นที่รู้จักในชื่อภาษาอังกฤษ ว่า Sabrina Meng และCathy Meng เริ่มชีวิตการทำงาน จากการเป็นเป็นพนักงานต้อนรับ ตั้งแต่ปี 2536 และหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาโท จากคณะการบัญชี จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวจง ในปี 2542แล้ว นางสาวเหมิงได้เข้ามาทำงานในแผนกการเงินของบริษัทหัวเว่ย
จากนั้นในปี 2554 นางสาวเหมิง ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน (CFO) ของอาณาจักร หัวเว่ย ก่อนจะได้รับการโปรโมต ให้นั่งเก้าอี้ รองประธานของบริษัทหัวเว่ย เพียง2-3เดือน ก่อนถูกจับกุม
ตามการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ประจำปี 2561 ปรากฏว่า นางสาวเหมิงติดอันดับ 12 ของนักธุรกิจหญิงคนสำคัญในจีน ซึ่งลดลง 4 อันดับเมื่อเทียบกับปี 2560
ส่วนชีวิตส่วนตัว นางสาวเหมิง เมื่อตอนอายุ 16 ได้แหวกขนบธรรมเนียมจีน ด้วยการขอใช้นามสกุลของแม่ นางเหมิง จุ้น ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้เป็นพ่อ
*ข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ใช้เล่นงานลูกสาวประธานหัวเว่ย
การจับกุม นางสาวเหมิง ของทางการแคนาดา ขณะรอเปลี่ยนเครื่องบินอยู่ที่สนามบินในนครแวนคูเวอร์ ตามคำขอของสหรัฐฯเมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการจับกุมสะท้านโลก จนถูกมองว่าเธอกลายเป็น‘จำเลย’ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในฐานะที่เธอเป็นนักธุรกิจหญิง บุตรสาวของนายเหริน เจิ้งเฟย มหาเศรษฐี วัย 74 ปี ผู้ก่อตั้งอาณาจักร หัวเว่ย
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องที่ทำให้ทุกคนรู้สึกงงงวยประหลาดใจกันมากขึ้น ก็คือ นางสาวเหมิงถูกจับในวันเดียวกันกับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้บรรลุข้อตกลงที่จะหยุดพัก ระงับสงครามการค้า โดยจะไม่มีการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าต่อกัน เป็นเวลา 90 วันพอดี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการประท้วงของทางการจีนที่ตอบโต้แคนาดาจับกุมนางสาวเหมิงโดยไม่มีการชี้แจงข้อกล่าวหา ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น บีบีซี เผยว่า อัยการสหรัฐฯได้ระบุข้อกล่าวหาที่มีต่อนางสาวเหมิง รองประธานและCFO ของบริษัทหัวเว่ยว่าได้ปิดบังหลอกลวงธนาคารข้ามชาติหลายแห่ง ด้วยการบอกธนาคารเหล่านี้ว่า บริษัทสาขาของหัวเว่ยแห่งหนึ่ง ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทหัวเว่ย ซึ่งถือเป็นแผนปิดบังที่บริษัทหัวเว่ยละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯต่ออิหร่าน
...
บีบีซี ระบุว่า ทางการสหรัฐฯได้ดำเนินการสืบสวนในเรื่องความไม่ชอบมาพากล ของบริษัทหัวเว่ย มาตั้งแต่ปี 2559 เพราะเชื่อว่า บริษัทสาขาแห่งหนึ่งของหัวเว่ยได้แอบขายอุปกรณ์ต่างๆที่ผลิตในสหรัฐฯให้แก่บริษัทคู่ค้าในอิหร่าน ซึ่งจากข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ อาจทำให้นางสาวเหมิงเผชิญหน้ากับโทษจำคุกข้อหาละ 30 ปี หากเธอถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดจริง
...
*จีนโต้แรง จับชาวแคนาดาแล้ว 2 คน อ้างเป็นภัยความมั่นคง
ท่ามกลางสถานการณ์เคร่งเครียดของชะตากรรมบุตรสาวของประธานบริษัทหัวเว่ย ด้านทางการจีนได้ตอบโต้ ด้วยการจับกุม ชาวแคนาดา 2 คนในประเทศจีน คนแรกคือนายไมเคิล โควริค อดีตนักการทูตแคนาดา ถูกจับที่กรุงปักกิ่ง เมื่อ10 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยหลังจากนั้น ไม่กี่วัน นายไมเคิล สแปวอร์ นักธุรกิจชายชาวแคนาดา ก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการจีน จับกุมเป็นรายที่ 2 ด้วยข้อกล่าวหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของจีน
เว็บไซต์ อัลจาซีรา แจ้งว่า เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติ สาขาเมืองตางตง มณฑลเหลียวหนิงของจีน เปิดเผย ขณะนี้ เจ้าหน้าที่จีนกำลังเริ่มการสอบสวนนายสแปวอร์ ซึ่งมีสำนักงานในเมืองตานตง เนื่องจากสงสัยว่าเขาอาจเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของจีน ในขณะที่นายไมเคิล โควริค อดีตนักการทูตแคนาดา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของกลุ่มนักคิด ‘International Crisis Group’ ก็ถูกควบคุมตัวด้วยเหตุผลต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาติจีนเช่นกัน
...
*โล่งได้หน่อย..ศาลแคนาดาอนุญาตให้ประกันตัว
เมื่อ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลในนครแวนคูเวอร์ของแคนาดา ได้ตัดสินอนุญาต ให้นางเหมิงได้รับการประกันตัว ด้วยการยื่นหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นเงิน 7.4 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 236 ล้านบาท) และต้องปฏิบัติตามคำสั่งหลายอย่าง อันเป็นมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่นางสาวเหมิงอาจลักลอบหลบหนีเดินทางออกจากแคนาดา
ภายใต้ข้อห้ามการได้รับการประกันตัว นางสาวเหมิงจะต้องอยู่ภายใต้การเฝ้าจับตาจากเจ้าหน้าที่ตลอด 24 ชม. รวมถึงการสวมกำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ และ ห้ามออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 23.00-06.00 น. รวมทั้ง ต้องมอบพาสปอร์ตและหนังสือเดินทางทั้งหมดให้แก่ทางการยึดไว้ เนื่องจากตามรายงานของสื่อหลายแห่ง ระบุว่า นางสาวเหมิงมีหนังสือเดินทางถึง 7 เล่ม เป็นหนังสือเดินทางจีน อย่างน้อย 4 เล่ม และหนังสือเดินทางฮ่องกง อีก 3เล่ม
*เผยชีวิตลูกสาวประธานหัวเว่ย ต่อศาล
ก่อนที่ศาลในนครแวนคูเวอร์จะตัดสินอนุญาตให้นางสาวเหมิงได้รับการประกันตัวตามคำร้องขอนั้น ทางฝ่ายทนายของนางสาวเหมิง จำต้องเปิดเผยเรื่องราวในชีวิตของนางสาวเหมิงเพื่อขอความเมตตาต่อศาล พิจารณาอญุญาตให้ประกันตัว ไม่ว่าจะเป็น การที่เธอรอดชีวิตมาได้จากโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ แต่ตอนนี้ ต้องเผชิญกับภาวะความดันโลหิตสูง อาการนอนหลับผิดปกติ และจำเป็นต้องกินยาเป็นประจำทุกวัน
นอกจากนั้น ทนายความของนางสาวเหมิง ซึ่งมีบุตร 4 คน และแต่งงานครั้งที่ 2 กับนายหลิว เสี่ยวซ่ง ยังได้พยายามแย้งฝ่ายโจทก์ กรณีที่หากนางสาวเหมิงได้รับการประกันตัวทำให้มีความเสี่ยงที่จะเดินทางออกจากแคนาดาว่า นางสาวเหมิง เคยมีถิ่นฐานที่พำนักในแคนาดา จนถึงปี 2552 ซึ่งเธอต้องเดินทางกลับประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม นางสาวเหมิงได้ซื้อบ้าน ขนาด 6 ห้องนอนกับสามีคนที่สอง นายหลิว เสี่ยวซ่ง ในนครแวนคูเวอร์ และเธอจะเดินทางมาเยี่ยมลูกๆและสามีเป็นประจำ เนื่องจากลูกบางคนของเธอ ต้องเรียนโรงเรียนในแคนาดาจนถึงปี 2556
ข่าวแจ้งว่า บ้านของนางสาวเหมิงในนครแวนคูเวอร์ ขณะนี้มีสนนราคา อยู่ที่ 5.6 ล้านดอลลาร์แคนาดา ประมาณ 4.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(หรือราว 134 ล้านบาท) นอกจากนั้น นางสาวเหมิงและสามี ยังซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งที่ 2 เป็น แมนชั่น มีมูลค่าถึง 16.3 ล้านดอลลาร์แคนาดาอีกด้วย ซึ่งบ้านและแมนชั่น เป็นหลักทรัพย์ที่นางสาวเหมิงใช้ประกอบในการยื่นคำร้องขอประกันตัว
เรียกว่า ถึงตอนนี้ ชะตากรรม นางสาวเหมิง ยังคงต้องลุ้นระทึกต่อไปว่า ทางการแคนาดาจะส่งตัวเธอไปให้สหรัฐฯเพื่อดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาหรือไม่?? ท่ามกลางข่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เอ่ยปากแล้วว่า พร้อมจะแทรกแซงกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ช่วยเหลือ นางสาวเหมิง ในเรื่องนี้ หากจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน...