เป็นคดีฆ่าที่สยดสยองเลือดเย็นกว่าทุกๆ คดี เมื่อผู้ต้องหาที่ลงมือก่อเหตุ คือชาวต่างชาติ ที่วางแผน เลือกโลเคชั่นในประเทศไทย ลวงอดีตภรรยามาฆ่าทิ้ง เนื่องจากปัญหาความรัก และแค้นส่วนตัว ..ถึงแม้แผนการที่เขากำหนดไว้จะสุดแสนแยบยล ซับซ้อนเพียงใดก็ตาม หากทว่าคงคาดไม่ถึง สบประมาทความสามารถตำรวจไทย ท้ายที่สุดถูกแกะรอยการฆ่าสยดสยองครั้งนี้ได้ภายในระยะเวลาแค่ 1 วัน
ผงะ! ศพสยองถูกหั่นเป็นชิ้น ยัดกระเป๋าเดินทางลอยโผล่ คลองกลางกรุง
สายวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2547 พนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 2 ได้รับแจ้งเหตุพบกระเป๋าเดินทางบรรจุศพลอยอยู่ในคลองผดุงกรุงเกษม หน้าสถานีสูบน้ำกรุงเทพ สำนักงานการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร ซอยเจริญกรุง 30 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระเป๋าเดินทางสีดำ มีล้อเลื่อน ขนาด 45X60 ซม. ยี่ห้อแอร์ไลต์ (AIR LIGHT) ทันทีที่เปิดออกดู พบชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ ช่วงลำตัวตั้งแต่คอถึงบั้นเอว ลักษณะผิวขาว มีรอยถูกแล่ส่วนเต้านมรวมทั้งชิ้นเนื้อตามลำตัวอีกหลายชิ้นออกไป ไม่มีท่อนแขนขาและส่วนศีรษะ
นอกจากนี้ ยังพบถุงพลาสติกใบใหญ่ขนาด 2X2 ฟุตครึ่ง 2 ใบ สีเขียวและสีฟ้า ยัดอยู่ในกระเป๋าด้วย มีผ้าม่านพลาสติกที่ใช้ในห้องน้ำบุกันเลือดซึมออกจากกระเป๋า และผ้าขนหนูเช็ดหน้ามีชื่อ ”ปรินซ์พาเลซโฮเต็ล” ตั้งอยู่ที่ถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
...
ชุดสืบสวน เริ่มปมไขคดี สาวถึงฆาตกรมือสับร่าง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์โรงแรม โดยผู้จัดการโรงแรมให้การว่า พบพิรุธของหนุ่มสาวชาวอิสราเอลคู่หนึ่ง ได้เข้ามาเปิดห้องพักหมายเลข 2701 ชั้น 27 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ แต่อีก 4 วันต่อมา ฝ่ายชายขอเปลี่ยนลงมาห้อง 1920 ชั้น 19 โดยไม่ยอมบอกเหตุผล และไม่ปรากฏว่ามีหญิงสาวคนรักตามมาพักอยู่ห้องใหม่ด้วย
ทราบชื่อผู้เช่าห้องต่อมาคือ นายอีลี่ โคเฮน อายุ 34 ปี และนางแครอล โคเฮน ภรรยาวัย 26 ปี ชาวอิสราเอล โดยทางเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัว นายอีลี่ โคเฮน มาสอบปากคำ ต่อมาเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในห้องพักแรกที่ทั้ง 2 คนเคยพักก่อนหน้านี้ โดยมีกองพิสูจน์หลักฐานตรวจเก็บรอยนิ้วมือแฝงที่ห้อง 2701 พบที่ประตูห้องน้ำมีคราบเลือดเป็นรอยป้าย และที่อ่างอาบน้ำมีรอยขูดขีดจากของมีคม ม่านพลาสติกกันน้ำกระเด็นมีรอยถูกกรีดฉีกขาดออกอีกด้วย
ลากกระเป๋าเดินทางซ่อนศพ 2 ใบ ออกจากห้องพัก วงจรปิดจับภาพ
จากการตรวจสอบภาพโทรทัศน์วงจรปิดของโรงแรมที่บันทึกไว้ ยังพบหนุ่มอิสราเอล หรือ นายอีลี่ โคเฮน ซึ่งเป็นอดีตสามี และผู้ต้องสงสัยเพียง 1 เดียว ในขณะนั้นหิ้วกระเป๋า 2 ใบขนาดใหญ่ เหมือนที่พบบรรจุชิ้นส่วนศพและใบเล็กอีก 1 ใบ นำลงทางลิฟต์ออกจากโรงแรมเวลา 00.04 น. วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ก่อนจะกลับมาตัวเปล่าไม่มีกระเป๋าตอนเช้ามืด
ขณะเดียวกัน เมื่อเช็กย้อนหลังกลับไป ภาพวงจรปิดยังเห็นนางแครอลครั้งสุดท้ายเมื่อดึกวันที่ 23 กุมภาพันธ์ โดยขึ้นลิฟต์มากับสามีด้วยท่าทางเหมือนมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ก่อนจะหายเข้าไปพักในห้องไม่โผล่ออกมาอีกเลย กระทั่งภาพวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ได้อีกครั้ง ระหว่างที่ นายอีลี่ ขนกระเป๋าย้ายลงมาจากห้องพักลำพังคนเดียว...
...
ชิ้นส่วนหลักฐานอื่นๆ ของศพ ค่อยๆ โผล่พ้นน้ำกลางคลองผดุงกรุงเกษม
เวลาผ่านไป ชิ้นส่วนศพของนางแครอล เหยื่อฆาตกรรมโหด ถูกพบอีกหลายชิ้น ภายในคลองผดุงกรุงเกษม รวมถึงศีรษะที่ถูกสามีฆาตกรโหดสับคอจนขาด ซ้ำยังถลกหนังศีรษะหายไปทั้งหนังหัว ผม รวมไปถึงหนังบริเวณใบหน้าหลุดออกมา ตรวจสอบพบ มีรอยมีดกรีด หน้าซีกซ้ายลอกหนังออกไปจนถึงแก้มและริมฝีปาก เหลือหนังติดใบหน้าที่แก้มขวาและจมูก ประจานความเหี้ยมอำมหิตของหนุ่มยิวฆาตกรชำแหละศพ ตำรวจสอบปากคำข้ามคืน ผู้ต้องหายังปากแข็งไม่ยอมรับสารภาพใดๆ
จำนนต่อหลักฐาน ให้การรับสารภาพในชั้นศาล ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต
คดีนี้จะหาข้อยุติไม่ได้ภายใน 24 ชม. หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พบผ้าขนหนูซึ่งถูกบรรจุอยู่ในกระเป๋า เขียนชื่อ โรงแรมปรินซ์พาเลซ โฮเต็ล เหตุนี้เองทำให้เจ้าหน้าที่ตามพิสูจน์จนพบ นอกจากนี้ยังมีพยานปากสำคัญคือคนขับรถแท็กซี่ คันที่พานายอีลี่นำกระเป๋าเดินทางไปโยนทิ้งภายในคลองผดุงกรุงเกษม คนขับแท็กซี่เล่าว่า ทีแรกนายอีลี่ต้องการจะเรียกรถไปพัทยา แต่คนขับปฏิเสธ เพราะรู้สึกว่ามันไกลไป
จากนั้น เมื่อขับรถผ่านคลองดังกล่าว นายอีลี่ จึงบอกให้คนขับหยุดรถ ก่อนจะอุ้มกระเป๋าเดินทางลงจากรถ และลากชิ้นส่วนศพที่บรรจุอยู่ไปทิ้งลงคลอง ที่สำคัญ เจ้าของร้านขายมีดและขายกระเป๋าเดินทางย่านโบ๊เบ๊ ยังโผล่แสดงตัวให้ปากคำว่า "นายอีลี่" ได้มาซื้อของเหล่านี้ในร้าน คืนวันก่อนเกิดเหตุ
...
ประมาทฝีมือตำรวจไทย คิดว่าฆ่าหั่นศพทิ้ง จะไม่สามารถตามจับได้
เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า ประเทศไทย มีคดีฆ่าหั่นศพเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง การวางแผนลวงอดีตภรรยามาฆ่า จึงเป็นเรื่องไม่คาดคิดว่าตำรวจไทยจะมีศักยภาพจับได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อสมัยที่เขาอยู่อิสราเอล เคยเป็นช่างตัดผม และเป็นผู้ติดยาเสพติด กระทั่งต่อมา เลิกเสพยาจนหันมาเป็นสายให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสามารถชี้เป้าให้เจ้าหน้าที่จับผู้ต้องหาค้ายารายใหญ่ๆ ได้หลายราย แลกกับเงินรางวัลนำจับนับแสนบาท
ตรงจุดนี้เอง เป็นเหตุให้เขาและครอบครัวต้องคอบหลบหนีบรรดาเครือข่ายผู้ค้ายารายอื่นๆ โดยตัวเขาเองต้องย้ายมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ส่วนภรรยากับลูกอีก 2 คน ยังคงอยู่ที่ประเทศอิสราเอล ความห่างไกลทำให้ต้องหย่าร้างกันในที่สุด นายอีลี่ เกิดความแค้น และหึงหวง ก่อนจะนัดภรรยาเก่ามาพักผ่อนในประเทศไทย และทะเลาะบานปลายก่อนจะลงมือฆ่าสับร่างในที่สุด
...
พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. นักสืบมือฉมัง คลี่คลายคดี
"ทราบว่า นายอีลี่ โคเฮน หนุ่มยิว ได้ชักชวนอดีตภรรยามาเที่ยวเมืองไทย ระหว่างอยู่ด้วยกันก็พยายามขอคืนดีหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล บานปลายไปสู่การฆ่าหั่นศพ แบ่งชิ้นส่วนต่างๆ ใส่กระเป๋าเดินทางทิ้งลงคลองผดุงกรุงเกษม ศีรษะถูกบั่นขาด ใบหน้าและหนังศีรษะถูกถลก ที่ใบหน้ามีรอยมีดกรีดลอกหนังออกไปจนถึงแก้มและริมฝีปากอย่างอำมหิต ส่วนกะโหลกถูกพบในคลองแสนแสบ"
คดีนี้มันเกิดขึ้นนาน 10 กว่าปีแล้ว เอารายละเอียดลึกๆ คงจำไม่ได้ทั้งหมด แต่ในวันนั้นเราสามารถปิดคดีภายใน 24 ชม. หลังรับแจ้งจากพื้นที่ว่าพบชิ้นส่วนศพลอยน้ำในคลองผดุงกรุงเกษม ต่อมาก็เจอกุญแจดอกสำคัญคือผ้าขนหนูมีตราของโรงแรมแห่งหนึ่งย่านโบ๊เบ๊ แต่เมื่อไปถึงโรงแรมไม่ให้ความร่วมมือมากนัก แต่สุดท้ายก็ได้คุย กระทั่งเรียกแม่บ้านมาสอบปากคำ
"จึงรู้ว่ามีชายต่างชาติคนหนึ่งมาขอผ้าแบบที่เจอในกระเป๋าชิ้นส่วนศพไปหลายผืนจากแม่บ้าน กระทั่งแกะรอยเพิ่มเติมได้จากกล้องวงจรปิด ก็พบมีผู้ชายระบุว่าเป็นคนเดียวกับที่หยิบผ้าไป ลากกระเป๋าออกมาจากลิฟต์ มีท่าทีพิรุธ สอบจนรู้ว่าพักห้องไหน แถมยังระบุว่า ผู้ต้องหาขอเปลี่ยนห้องพักหลังอดีตภรรยาหายตัวไป จึงมีความเป็นไปได้สูง"
ก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งจากสถานทูตว่า มีชายต่างชาติแจ้งว่าภรรยาหายไป มันสอดคล้องกันหมด กระทั่งคุมตัวไปยัง สน.พลับพลาไชย 2 และให้ พฐ.เข้าตรวจพิสูจน์ห้องพักห้องแรกที่เข้าพัก มองเผินๆ ไม่มีอะไร แต่เมื่อใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ตรวจคราบเลือดในห้องน้ำ ปรากฏว่ามีคราบเลือดจริง ก่อนจะไปตามหาร้านที่ซื้อมีด กระเป๋าเดินทาง แล้วก็ค้นหาชิ้นส่วนศพที่เหลือ
"คดีนี้ถามว่ายากไหม ก็ไม่ยากมาก เพราะหลักฐานมันชัด เราเลยนำสืบแล้วจับกุมได้โดยเร็ว แต่ก็ถือว่าสะเทือนขวัญนะ สำหรับผมผ่านคดีฆ่าหั่นศพมาไม่น้อย แต่ที่โหดและตามจับค่อนข้างยาก เป็นคดีเกิดในท้องที่ บก.น.4 ตอนนั้นผมเป็น ผบก.น.4 น่าจะเกือบ 20 ปีแล้ว ผู้ต้องหาเป็นคนจีน สมัยนั้นเทคโนโลยีไม่ค่อยทันสมัยเหมือนตอนนี้ แกะรอยยากกว่า ตามสืบก็ยาก ที่สำคัญคือเมื่อก่อนหากมีเคสฆ่าหั่นศพส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติก่อเหตุ นานๆ จะมีคนไทยก่อเหตุสักที แต่เดี๋ยวนี้คนไทยหันมาทำอะไรแบบนี้เยอะขึ้น นี่คือความแตกต่าง" พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้าย.