“โรคเกาต์” เป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุดในมนุษย์ เมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการปวดเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดได้ฉายาว่า “King of pain” เลยทีเดียว อาการปวดข้ออย่างรุนแรงนี้ เราไม่อยากให้เกิดกับใคร ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้น
“โรคเกาต์” คืออะไร?
“โรคเกาต์” คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีกรดยูริกสูงเป็นระยะเวลานาน จนเกิดการตกตะกอนของผลึกเกลือยูเรตตามเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะข้อ ไต และผิวหนัง ซึ่งเมื่อมีการตกตะกอนที่ข้อ จะทำให้เกิดภาวะข้ออักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวด บวม แดงร้อนที่ข้อ ถ้าไปตกตะกอนที่ผิวหนัง ก็จะเกิดกลุ่มก้อนหรือปุ่มใต้ผิวหนัง เรียกว่าก้อนโทฟัส และถ้าไปตกตะกอนที่ไตก็จะทำให้เป็นนิ่วหรือไตวายจากผลึกเกลือยูเรต
สาเหตุของโรค มีหลายสาเหตุ ดังนี้
• ร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าปริมาณที่ขับออก กรดยูริกเป็นผลผลิตจากขบวนการสลายสารพิวรีนในร่างกาย ซึ่งเป็นสารสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของสารพันธุกรรมที่เรียกว่า กรดนิวคลีอิก โดยกรดยูริกในร่างกายส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ โดยหากร่างกายมีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการย่อยสลายสารพิวรีนทำงานผิดปกติจะทำให้เกิดกรดยูริกสูงตามมา หรือผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีพิวรีนสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์กรดยูริก อาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น อาหารจำพวกเครื่องในทุกชนิด หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะทำให้ร่างกายมีขบวนการเผาผลาญแอลกอฮอล์ทำให้ได้สารพิวรีนเพิ่มขึ้นและทำให้กรดยูริกสูงตามมา
• ร่างกายสร้างกรดยูริกเป็นปกติ แต่ขับออกจากร่างกายได้ลดลง ในภาวะปกติร่างกายจะขับกรดยูริกที่สร้างได้ในแต่ละวันออกทางไตประมาณ 2 ใน 3 และที่เหลือ 1 ใน 3 จะขับออกทางระบบทางเดินอาหาร โดยจากการศึกษาในผู้ป่วยโรคเกาต์ พบว่าประมาณร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายมีความผิดปกติในการขับกรดยูริกออกทางไต ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง
...
• ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้กรดยูริกสูง ได้แก่
• โรคบางชนิด
• โรคที่เพิ่มการสลายตัวของกรดนิวคลีอิก เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เป็นต้น
• การเป็นโรคไต เพราะไตทำหน้าที่หลักในการขับกรดยูริก โดยประสิทธิภาพในการทำงานของไตที่ลดลงจะทำให้ร่างกายขับกรดยูริกได้ลดลง ส่งผลให้กรดยูริกสูงขึ้นตามมา
• การเป็นโรคต่อมไร้ท่อบางชนิด เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง ทำให้ขบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกายผิดปกติก็มีผลทำให้กรดยูริกสูง
• ภาวะโรคอ้วนลงพุงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ร่างกายมีกรดยูริกสูงเช่นกัน
• การรับประทานยาบางชนิด สามารถกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกรดยูริกสูงได้ โดยกลไกหลักๆ มักจะเกิดจากยาไปทำให้ไตขับกรดยูริกได้ลดลง เช่น ยาแอสไพริน ยาขับปัสสาวะบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ยารักษาวัณโรค เป็นต้น
อุบัติการณ์ของโรค
“โรคเกาต์” พบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า โดยพบมากในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี และเกือบทั้งหมดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ก่อนอายุ 50 ปีมักเป็นเพศชาย เนื่องจากผู้หญิงมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายทางไต ดังนั้นจะทำให้พบผู้หญิงที่เป็นเกาต์หลังจากที่หมดประจำเดือนไปแล้วประมาณ 5-10 ปี หรือพบในผู้หญิงที่มีภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควร โดยในปัจจุบันพบว่าอุบัติการณ์ของโรคเกาต์ในผู้ป่วยอายุน้อยมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น คนอายุ 30 ปีก็เริ่มมีข้ออักเสบจากเกาต์แล้ว ทั้งนี้อาจจะเกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในสังคมปัจจุบัน
อาการ
อาการที่สำคัญของผู้ป่วยโรคเกาต์คือ ข้ออักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวด บวม แดงร้อนที่ข้ออย่างชัดเจน ในบางรายอาจมีไข้หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย โดยประมาณร้อยละ 80 พบว่าข้ออักเสบเฉียบพลันครั้งแรกจากเกาต์มักเป็นข้ออักเสบข้อเดียว ข้อที่พบบ่อยคือ ข้อโคนนิ้วหัวแม่โป้งเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ผู้ป่วยบางคนจะมีอาการปวดทรมานมาก ปวดจนไม่สามารถลงน้ำหนักบริเวณข้อได้ บางคนถึงขั้นต้องนั่งรถเข็นมาพบแพทย์ อาการปวดจะปวดแบบเฉียบพลัน คือ เริ่มปวดจนถึงมีอาการปวดสูงสุดใน 1 วัน หลังจากนั้นประมาณ 3-10 วันอาการข้ออักเสบก็จะหายไป โดยผู้ป่วยบางรายอาจจะให้ประวัติมีปัจจัยบางอย่างที่กระตุ้นให้เกิดข้ออักเสบ เช่น ดื่มสุรา รับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูงเป็นปริมาณมาก หรือได้รับอุบัติเหตุบริเวณข้อนั้น เป็นต้น
ในระยะแรกๆ ของโรค อาการข้ออักเสบของผู้ป่วยมักจะเป็นไม่บ่อย เป็นเพียงปีละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าปล่อยให้กรดยูริกในร่างกายสูงเป็นระยะเวลานาน และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะมีข้ออักเสบเฉียบพลันกำเริบบ่อยขึ้น เป็นนานขึ้น หายช้าลง และจะเริ่มลามมีที่บริเวณข้อส่วนบนของร่างกาย เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก เป็นต้น และอาจจะมีข้ออักเสบเกิดขึ้นพร้อมกันหลายข้อได้ นอกจากนี้หากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน จะทำให้มีการตกตะกอนของผลึกเกลือยูเรตตามเนื้อเยื่อต่างๆ ในระยะแรกผลึกจะสะสมในเยื่อบุข้อ และต่อมาจะสะสมบริเวณรอบๆ ข้อ รวมไปถึงใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดกลุ่มก้อนหรือปุ่มใต้ผิวหนัง เรียกว่าก้อนโทฟัส พบได้บ่อยที่นิ้วเท้า หลังเท้า ตาตุ่ม เอ็นร้อยหวาย ข้อศอก นิ้วมือ หลังมือ รวมไปถึงใบหู ซึ่งส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพ ในบางครั้งก้อนโทฟัสเหล่านี้อาจแตกออกมาเป็นผงคล้ายชอล์ค ทำให้เกิดแผลเรื้อรังตามมา เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้ นอกจากนี้ก้อนโทฟัสเหล่านี้ยังสามารถกัดกร่อนกระดูก ทำให้เกิดข้ออักเสบเรื้อรัง ส่งผลทำให้ข้อผิดรูป เกิดภาวะทุพพลภาพตามมา
...
นอกเหนือจากอาการทางข้อ หากมีกรดยูริกสูงเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดนิ่วกรดยูริกในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือหากมีการตกตะกอนของผลึกเกลือยูเรตในเนื้อเยื่อของไตจะทำให้เกิดภาวะไตอักเสบเรื้อรัง และเมื่อปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานจะค่อยๆเกิดภาวะไตวายตามมา นอกจากนี้การที่มีกรดยูริกสูงในร่างกายเป็นระยะเวลานาน จะเพิ่มโอกาสของการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้มากกว่าคนปกติทั่วไป
ได้รู้จักสาเหตุ อุบัติการณ์ อาการ และความน่ากลัวของ “โรคเกาต์” กันไปแล้ว สัปดาห์หน้าเราจะมาพูดถึงเรื่องการรักษาโรคนี้กันต่อ รอติดตามกันนะครับ
-----------------------------------------------------
แหล่งข้อมูล
นพ.โชคชัย ธนาเดชสุนทร หน่วยโรคภูมิแพ้ อิมมูโนวิทยาและโรคข้อ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
...