ปลดล็อกกัญชาจากพืชเสพติด มาผลิตยารักษาโรคเริ่มเห็นทางสว่าง “บิ๊กจิน” จ่อชงกฎหมายเข้า ครม. 13 พ.ย. หลัง สนช.พิจารณาวันที่ 9 พ.ย. เล็งให้องค์การเภสัชกรรมนำร่องเดินหน้าผลิตเพื่อใช้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันก่อน หลังจากนั้นเพิ่มแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนไทยต่อไป ยันผลวิจัยยุโรป-อเมริกาพบ รักษาโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน หืดหอบ และมะเร็งได้ “บิ๊กตู่” ย้ำ อย่าผลีผลามต้องค่อยๆทยอยปลดล็อกกันเกิดปัญหาในอนาคต “หมอจุฬาฯ” จับตาประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ พิจารณาปลดล็อกกัญชา 9 พ.ย. ยืนยันมีประโยชน์ถ้าผลิตได้เอง สามารถลดค่าใช้จ่ายนำเข้าจากต่างประเทศเดือนละ 3-4 หมื่นบาทต่อคน
กรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 เพื่อนำมาศึกษาวิจัยเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ไทย เบื้องต้นมีหลายฝ่ายออกมาสนับ สนุน เนื่องจากในตำราแพทย์แผนไทยแต่โบราณ และผลการศึกษาวิจัยจำนวนมาก พบว่ากัญชาสามารถใช้เป็นยารักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ หลังจากนั้น ครม.เห็นชอบให้นำเรื่องปลดล็อกกัญชาไปศึกษาในรายละเอียดข้อดีข้อเสีย และนำกลับเข้า ครม.อีกครั้งตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 6 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่ง ชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ความจริงกฎหมายกัญชา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้เสนอเข้ามา รัฐบาลจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดว่าจะทำแค่ไหนอย่างไร ตนให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม หารือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้อสำคัญต้องค่อยๆทยอยปลดล็อกดีกว่า ถ้าปลดล็อกมากๆจะเกิดปัญหา ประเทศไทยต้องค่อยๆ เดินไปทีละขั้น แน่นอนเป็นประโยชน์ต่อการรักษาพยาบาลการสาธารณสุข แต่อย่าผลีผลาม อยู่ในแผนแม่บทเหมือนกันเรื่องการพัฒนาสาธารณสุข การปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย แล้วทำให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจ จากเดิมที่เป็นพืชเสพติด ต้องแก้ปัญหาทีละเปลาะ อย่าเร่งร้อนกันนักเลย เดี๋ยวจะเป็นปัญหาต่อไปในภายหน้า
...
ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯและ รมว.ยุติธรรม แถลงหลังการประชุม ครม.ว่า ความ ก้าวหน้าเรื่องการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รัฐบาลส่งร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษเข้าสู่สนช.เมื่อเดือน ก.ค. สนช.ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างดังกล่าว กรอบแรกใช้เวลาพิจารณา 90 วัน แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมากและซับซ้อน จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นรอบด้านจึงยืดเวลาอีก 90 วัน สนช.กำหนดว่า จะพิจารณาร่างกฎหมายนี้ เสร็จในเดือน ก.พ.62 ระหว่างนี้ กมธ.และสมาชิกสนช.ส่วนหนึ่งเห็นว่า การนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ควรแยกเป็น พ.ร.บ.เฉพาะเรื่องนี้ สนช.ยกร่างขึ้นมาแล้วมีบทบัญญัติไม่กี่มาตรา จะชี้แจงในที่ประชุม สนช.วันที่ 9 พ.ย. ครม.มีมติเห็นชอบให้ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นผู้ไปรับเรื่องใช้เวลาพิจารณาภายใน 3 วันแล้วเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม.ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ ถ้า ครม.เห็นชอบจะส่งร่างนี้เข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ต่อไป
พล.อ.อ.ประจินกล่าวต่อว่า ตรงนี้จะทำให้เกิดการปลดล็อกเรื่องนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ขณะนี้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลความเป็นมาของงานวิจัย ประโยชน์ที่ได้รับและข้อเสนอการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ในอดีตมีภูมิปัญญาชาวบ้านการนำกัญชามาใช้รักษาผู้ป่วย ต่อมามีการควบคุมกำหนดให้กัญชาเป็นพืชเสพติดประเภท 5 ห้ามนำมาผลิตหรือนำมาใช้ ขณะที่หลายประเทศวิจัยเรื่องประโยชน์ของกัญชา อาทิ สหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรปพบว่า น้ำมันสกัดสารจากกัญชาสามารถใช้ผสมกับสูตรต่างๆนำไปรักษาโรคได้ โรคที่มีเกณฑ์รักษาแล้วประสบความสำเร็จเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหืดหอบ และโรคมะเร็ง
“นักวิจัยไทยหลายสถาบันติดตามค้นคว้า และศึกษา คณะทำงานร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุขรวบรวมผลการวิจัยและความเป็นไปได้การนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ขณะเดียวกัน ต้องยึดถือข้อตกลงฐานะเป็นสมาชิกสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ด้านยาเสพติด กำหนดว่าให้ประเทศสมาชิกต้องไม่ยินยอมให้นำยาเสพติดมาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย อีกทั้งให้นำพืชเสพติดมาใช้ทดลองทางวิทยาศาสตร์และประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น” พล.อ.อ.ประจินกล่าว
พล.อ.อ.ประจินกล่าวอีกว่า สำหรับกัญชาที่นำมาใช้ จะนำพันธุ์กัญชามาปลูกในพื้นที่ควบคุมมีอุณหภูมิ แสง และน้ำที่เหมาะสม อีกทั้งกระบวนการสกัดน้ำมันต้องทำในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์นำไปผสมเป็นสูตรรักษาโรค ต้องมีแพทย์และผู้ป่วยที่สมัครใจเข้ารับการรักษา ตรงนี้ต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) การนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการนำเข้ายาจากต่างประเทศ เปิดโอกาสให้นักวิจัยและผู้ประกอบการทำธุรกิจตรงนี้เป็นธุรกิจที่พึ่งพาตนเองในประเทศ เมื่อมีกฎหมายปลดล็อกแล้ว จะกำหนดผู้ทำหน้าที่ดูแลการผลิต และผู้ควบคุมการรักษาให้เป็นตามวัตถุประสงค์
“กระทรวงสาธารณสุขสามารถใช้กฎหมายที่มีอยู่เปลี่ยนกัญชาเป็นพืชเสพติดประเภท 2 เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ทันที ต้องปรับแก้กฎกระทรวงเรื่องการได้มาซึ่งแหล่งกัญชาเพื่อนำมาสู่กระบวนการสกัด เมื่อแก้ไขกฎกระทรวงแล้วทำให้องค์การเภสัชกรรมเป็นหน่วยนำร่องผลิตน้ำมันสารสกัดจากกัญชาใช้ทางการแพทย์ ก่อนระดมหน่วยงานด้านวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างๆมาร่วมมือกันผลิตแล้วขึ้นทะเบียนกับ อย.เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์สมัยใหม่ ส่วนแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนไทยต้องรอออก พ.ร.บ.นี้ก่อน แล้วหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนก่อนนำไปใช้ประโยชน์อย่างถูกกฎหมาย แต่คงไม่สามารถนำกัญชาอัดแห้งที่ตำรวจจับมาใช้ประโยชน์เรื่องนี้ได้ เพราะต้องใช้ต้นกัญชาสดที่มีอายุระดับหนึ่ง แต่กัญชาที่จับกุมได้ฝ่อไปแล้ว ไม่สามารถสกัดน้ำมันได้” พล.อ.อ.ประจินกล่าว
ขณะที่ นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวถึงการปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์หลังประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุขว่า ขณะนี้สิ่งที่กังวลคือ กรณีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะส่งข้อมูลให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ อาจไม่นำข้อมูลที่กรมการแพทย์เป็นผู้รับผิดชอบได้แก่ 1.เรื่องข้อบ่งใช้ ไม่ได้นำหลักฐานประโยชน์และผลข้างเคียงของหลายภาคส่วนทั้งจุฬาฯ ม.เกษตรศาสตร์ ม.รังสิต และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เข้าไป แต่ใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาโดยใช้กัญชาเป็นเรื่องของยาเสพติดอย่างเดียว นำมาสู่ข้อมูลทางลบเรื่องของยาเสพติดที่ต้องควบคุมอย่างเข้มงวดแบบมอร์ฟีน 2.อย.กำหนดมาตรฐานสูงสุดโดยละเลยและไม่สนใจสารสกัดกัญชาที่ อภ.ศึกษาจนรู้สารออกฤทธิ์และความเข้มข้น หากใช้ต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นบาท
“หากผ่อนผันให้นำสารสกัดกัญชามาใช้ได้จะมีปัญหา เพราะข้อบ่งใช้จะจำกัดอยู่แค่ 4 ประเด็น ทำให้มีผู้ป่วยใช้ได้น้อย การครอบครองพืชกัญชา กระท่อม สารสกัดกัญชาไม่ว่าจะแบบหยาบหรือเข้ากับมาตรฐาน เช่น น้ำมันกัญชายังมีโทษเหมือนเป็นยาเสพติดประเภทร้ายแรง ทำให้มองว่าขณะนี้เรามองแต่ว่ากัญชาเป็นยาเสพติด ทั้งนี้ ทราบดีแล้วว่า กัญชาไม่ได้ติดรุนแรงอย่างที่คิด อย่างไรก็ตาม วันที่ 9 พ.ย. จะประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษเป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวลมาก เนื่องจากข้อมูลที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง จะได้รับจากคณะกรรมการยาเสพติดและ อย. อาจเป็นข้อมูลที่เข้มงวดเหมือนการใช้มอร์ฟีน ทำให้ไม่มีใครอยากใช้ ดังนั้น ผลที่ได้รับคือ กัญชาจะลงใต้ดินหมด เรื่องนี้ทุกคนต้องร่วมกันผลักดัน ยืนยันว่าตนไม่ได้ค้านการปลดล็อกกัญชา แต่อยากให้ปลดล็อกครอบคลุมข้อมูลที่เป็นไปได้จริงๆ จะมีประโยชน์กับผู้ป่วยอย่างแท้จริง” นพ.ธีระวัฒน์กล่าว