ขอแสดงความยินดีที่นักการเมืองจากสองพรรคใหญ่ ซึ่งเคยเป็นปฏิปักษ์ต่อกันสามารถตกลงยุติคดีหมิ่นประมาทกันได้ เมื่อจำเลยคืออดีตสาม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับผิด และขออภัยต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ฝ่ายโจทก์ยอมให้อภัย และให้ทนายไปถอนฟ้องที่ศาลฎีกา ทำให้จำเลยทั้งสามไม่ขาดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
คดีนี้เคยเป็นข่าวโด่งดังเมื่อหลายปีก่อน จำเลยสามคนคือนายศิริโชค โสภา นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และนายเทพไท เสนพงศ์ ตกเป็นจำเลยในกรณีที่เรียกว่า “โฟร์ซีซั่นส์” ฐานร่วมกันหมิ่นประมาทโจทก์ผ่านรายการโทรทัศน์ “สายล่อฟ้า” ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา วันที่ 19 เดือนนี้
การประนีประนอมยอมความระหว่างสองฝ่าย นับเป็นข่าวที่น่าชื่นชมยินดี ที่นักการเมืองแสดงน้ำใจ รู้สำนึกผิด รู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย ซึ่งเป็นกติกาพื้นฐานของนักกีฬาทั่วไป นักวิชาการบางคนชื่นชมอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่อภัยให้ผู้ชายสามคนที่ใส่ความด้วยความเท็จ และกล่าวว่าในสิบปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง เพราะการโจมตีกันที่น่าขยะแขยง
ต้องยอมรับว่าเป็นความจริง แต่จะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ เนื่องจากมีการปลุกระดมด่ากันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมืองเสื้อสีใด โจมตีกันด้วยวาทะที่ร้อนแรงเพื่อสร้างความเกลียดชัง ป้ายสีฝ่ายตรงข้ามเป็นปีศาจร้าย เป็นชนวนของความขัดแย้งพร้อมที่จะใช้ความรุนแรง และกลายเป็นข้ออ้างการรัฐประหาร ล้มประชาธิปไตยถึงสองครั้ง
วาทกรรมสร้างความเกลียดชัง ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยแต่เกิดขึ้นในหลายประเทศ บางแห่งรุนแรงถึงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่นในเพื่อนบ้านบางประเทศ ในทางพระพุทธศาสนาอาจตรงกับคำว่า “โทสาคติ” คือความลำเอียงที่เกิดจากความเคียดแค้นชิงชัง พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงกับฝ่ายตรงข้าม เพราะเห็นเป็นปีศาจร้ายจากวาทกรรมปลุกระดม
...
คดีโฟร์ซีซั่นส์ที่จบลงด้วยดี จะต้องถือเป็นบทเรียนของนักการเมืองทุกฝ่าย ที่ชอบลากการเมืองออกไปเล่นกลางท้องถนน นำไปสู่โศกนาฏกรรมการเมือง สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สูญเสียประชาธิปไตยสองครั้ง ติดๆกัน และกำลังหาทางคืนสู่ประชาธิปไตย รัฐประหารทั้งสองครั้งอ้างเหตุผลหลายอย่าง แต่ที่ตรงกันก็คือนักการเมืองชอบก่อความวุ่นวาย
แม้การเมืองจะเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ แต่จะต้องต่อสู้โดยสันติตามวิถีทางรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย นักการเมืองไม่ควรตั้งตนเป็นศัตรูซึ่งกันและกันแบบถาวร แต่ควรคำนึงอยู่เสมอว่านักการเมืองต้องจับมือกัน เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และต่อต้านการครอบงำประเทศของเผด็จการทุกรูปแบบ.