ไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์นานาชาติ นำโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในสหรัฐอเมริกา ได้ออกโรงเตือนว่าผืนป่า ทะเลทราย หรือระบบนิเวศทั้งหมดกำลังเสี่ยงต่อการเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในศตวรรษต่อไป เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
จากผลการศึกษาข้อมูลซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) และอุณหภูมิในช่วง 21,000 ปีก่อนจนถึงสมัยโฮโลซีนประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว พบว่าเมื่อปลายยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลง อุณหภูมิในโลกก็อุ่นขึ้น 4-7 องศาเซลเซียส และปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ระบุว่าบางส่วนของการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศได้เกิดขึ้นแล้วในทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา นั่นคือเหตุการณ์ไฟป่าลุกลามขนาดใหญ่ที่ทำลายป่าสนและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแนวอาณาเขตของชีวนิเวศทุ่งไม้พุ่ม (shrubland) ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของระบบนิเวศทุ่งหญ้า
นอกจากนี้ยังเผยว่า ในอีก 100-150 ปีข้างหน้าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะขยายไปสู่เขตทุ่งหญ้าสะวันนา (savannas), ทะเลทรายและป่าไม้อื่นๆ จะทำให้พืชและสัตว์ในระบบนิเวศขาดความสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากก๊าซเรือนกระจกถูกจำกัดให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีสปี พ.ศ.2558 ความน่าจะเป็นของการเปลี่ยนแปลงของพืชขนาดใหญ่อาจจะลดลงน้อยกว่า 45% เลยทีเดียว.