
ทีมข่าวเจาะประเด็น ขอเกริ่นว่า วิกฤติที่ "ประเทศเวเนซุเอลา" เผชิญอยู่ในยามนี้ ถือได้ว่า หนักหนาสาหัส และรุนแรงเลวร้ายมากที่สุดครั้งหนึ่งของภูมิภาคลาตินอเมริกาเลยทีเดียว
ใครจะไปนึกคิด...จากประเทศที่เคยมีปริมาณน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ประเทศที่เคยร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา กลับแปรเปลี่ยนเป็นประเทศที่ผู้คนหิวโหย อดอยากใกล้ตาย และไม่มีแม้กระทั่งยารักษาโรค...
จากแต่ก่อนเก่าที่หลายบ้านในเวเนซุเอลาเคยเป็นเศรษฐีมั่งมีเงินทอง แต่ไม่สามารถหอบเงินหนีไปลงหลักปักฐานนอกประเทศได้ทัน และแล้วเงินที่กองอยู่ในบ้านกลับไร้ค่าไร้ราคา (เพราะเงินเฟ้อ จนกลายเป็นเศษกระดาษ) ต้องพาลูกพาเมียออกระเหเร่ร่อนหาอาหารกินประทังชีวิตตามท้องถนน
เมื่อประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ย่อมหมายความว่า เวเนซุเอลาจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศได้ด้วยเช่นกัน เพราะรายได้ 95% ของประเทศ มาจากการส่งออกน้ำมัน แต่สิ่งที่คิดไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป...
ราคาน้ำมันโลกลดดิ่งลงทุกขณะ ปริมาณการผลิตน้ำมันเมื่อสิบปีก่อนที่เคยผลิตได้กว่า 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงเหลืออยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับราคาน้ำมันมีมูลค่าตกต่ำลง โดยในปี 2557 ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ต่อมา ราคาตกต่ำลงเหลือเพียง 26 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 2559
นั่นเท่ากับว่า รายได้เกือบทั้งหมดของประเทศหายไปกับตา!
พายุซ้ำหนักๆ ซัดแรงๆ จากการที่รัฐบาลอัดนโยบายประชานิยม เน้นเอาใจคนจน ไม่ว่าจะเป็น ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกกว่าความเป็นจริงให้กับประชาชน, รัฐบาลแนะให้ประชาชนเลิกทำการเกษตรและนำเข้าอาหารการกินมาจากต่างประเทศ และผันตัวเองมาเป็นผู้ค้าน้ำมัน, รัฐบาลแจกกระต่ายให้ประชาชนไว้เป็นอาหาร เนื่องจากกระต่ายเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี แต่ประชาชนไม่กิน เพราะมันน่ารัก จึงเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงแทน ซึ่งจุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลว เละเทะของการบริหารอย่างที่สุด!
ในเมื่อพื้นฐานของคนเวเนซุเอลานั้น รักสวยรักงาม ชอบละคร ชอบร้องรำทำเพลง และชื่นชอบความเป็นนางงาม ซึ่งคนไทยเราจะเห็นกันชัดๆ ว่า นางงามจักรวาลและนางงามโลก เวเนซุเอลานั้นเขาขึ้นชื่อมากกว่าใครๆ
ถึงแม้ว่า ในช่วง 4-5 ปีที่เศรษฐกิจถดถอยลงไปเรื่อยๆ แทนที่รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง นายมาดูโรกลับหล่อเลี้ยงประชาชนด้วยความบันเทิงเริงใจ ให้คนเวเนซุเอลาเพลิดเพลินจำเริญใจไปกับกิจกรรมต่างๆ และคิดโครงการเอาใจคนจนออกมาให้คนฮือฮาเรื่อยๆ
ในขณะที่ นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ให้เหตุผลถึงที่มาที่ไปของปัญหาต่างๆ นานานี้ว่า มันมาจากน้ำมือการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของคณะผู้บริหารที่ฝีมือกระจอกงอกง่อย ไม่ได้เรื่องอย่าง "นิโคลัส มาดูโร" ประธานาธิบดี
แต่จะว่าไป นโยบายประชานิยมอันล้มเหลวเละเทะนี้ สืบเนื่องมาตั้งแต่ 15 ปีก่อน สมัยประธานาธิบดี "ฮูโก ชาเวซ" ที่เขาเลือกตัดความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา หันหน้าเข้าหาจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่ให้เวเนซุเอลากู้เงินไปหลายพันล้านดอลลาร์ จนกระทั่ง "ฮูโก ชาเวซ" ถึงแก่อสัญกรรมในปี 2556 และจนถึงทุกวันนี้ ในสายตาคนยากจนยังยกย่องให้เขาเป็นวีรบุรุษของประเทศ
จากนั้น ฮูโก ชาเวซ ก็ส่งไม้ต่อการบริหารให้กับประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และมาดูโร ก็ไม่ได้ทำให้ ฮูโก ชาเวซ ผิดหวังแม้แต่น้อย เพราะเขาเจริญรอยตามการปกครองของชาเวซ รัฐบาลของเขายังหยุดการเปิดเผยสถิติเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือต่างๆ รวมทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ มิหนำซ้ำ ยังรับสินบนจากเอกชน เพื่ออนุมัติโครงการก่อสร้างต่างๆ
โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ออกมาประกาศแล้วว่า เวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบกับความล่มสลายทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในโลก ตั้งแต่นายมาดูโรเข้ามาบริหารประเทศเมื่อ พ.ศ.2556
และตั้งแต่ที่นายมาดูโรคนนี้ขึ้นสู่อำนาจ เงินโบลิวาร์แทบเป็นเศษกระดาษ ต้องเอาเงินเกือบล้านโบลิวาร์ไปแลก ถึงจะได้เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30 บาทไทย)
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจได้ทำนายอัตราเงินเฟ้อของเวเนซุเอลาจนถึงช่วงปลายปีนี้ ไว้ว่า อาจพุ่งสูงแตะระดับ 1,000,000 เปอร์เซ็นต์ (หนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์) หรือเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพว่า ชาวบ้านต้องใช้ธนบัตรค่าสูงสุดคือ 100,000 โบลิวาร์ จำนวนมากถึง 25 ใบ (เท่ากับ 2.5 ล้าน โบลิวาร์) เพื่อแลกซื้อแค่กาแฟแก้วเดียว
ในขณะที่ เงินจำนวนแสนโบลิวาร์สามารถซื้อบุหรี่ได้เพียงมวนเดียว ส่วนธนาคารในเวเนซุเอลาก็เริ่มกำหนดเพดานขั้นสูงให้ลูกค้าถอนเงิน โดยมีกำหนดไว้ว่า ประชาชนสามารถถอนเงินได้ไม่เกิน 1 แสนโบลิวาร์ต่อคนต่อครั้ง นั่นหมายความว่า คนเวเนซุเอลาถอนเงินได้แต่ละครั้งเพื่อไปซื้อบุหรี่ได้เพียง 1 มวนเท่านั้น
ห่างออกไปจากเมืองหลวงราว 150 กิโลเมตร อันเป็นที่ตั้งของเมืองซานฆวน เด โลส มอร์โรส ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ราว 1.6 แสนคน ในอดีตเมืองแห่งนี้ถือเป็นแหล่งผลิตน้ำมันป้อนตลาดโลกติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก มีแต่เศรษฐี มีแต่คนร่ำรวยเดินจับจ่ายในเมืองอย่างเต็มไปด้วยความสุข แต่ปัจจุบัน...
ผู้คนในเมืองแห่งนี้ หิวโหย ไร้บ้าน ตกงาน ขาดน้ำใช้ เพราะทางรัฐบาลจะปล่อยน้ำประปาให้ใช้เพียงเดือนละ 1 ครั้ง ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั้งหมดแทบใช้การไม่ได้ ตู้เอทีเอ็มว่างเปล่า อีกทั้งการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนใช้เวลานานขึ้นหลายเท่าตัว
ประธานาธิบดีมาดูโร ไม่มีเงินในหน้าตักเพียงพอที่จะอุดหนุนสวัสดิการสังคม หรือแม้แต่จะจ่ายเงินเดือนข้าราชการทั่วประเทศ สถานการณ์ภายในประเทศวิกฤติถึงขีดสุด หน่วยงานภาครัฐแทบจะไม่มีเงินมาจ่ายเงินเดือนคนงาน ถึงขั้นต้องให้หยุดงาน โดยมาทำแค่สัปดาห์ละ 2-3 วัน
ความเดือดร้อน ทุกข์ยากนี้ทำให้ชาวเวเนซุเอลาละทิ้งรกราก ละทิ้งบ้านเกิด พากันอพยพย้ายถิ่นฐานออกนอกประเทศไปตายเอาดาบหน้ามากกว่า 2.3 ล้านคน ซึ่งการหลั่งไหลอย่างล้นหลามของชาวเวเนซุเอลาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบถึงชาติเพื่อนบ้านที่สภาพเศรษฐกิจดีกว่าและการเมืองมีเสถียรภาพมากกว่า ให้ต้องช่วยรับแบ่งเบาบรรเทาปัญหาด้วย
บทเรียนมันมีให้เห็น
นำดี ตามดี
ประชาชน คนในชาติสบาย!