“ดวงตา” นับเป็นอวัยวะสำคัญมากอันหนึ่งของร่างกาย เพราะทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับดวงตาของเราแล้วละก็ จะทำให้ส่งผลเสียอื่นๆ ตามมา ซึ่งโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตานั้นก็มีอยู่มากมาย แต่โรคหนึ่งที่คนยังไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไรก็คือ “โรคม่านตาอักเสบ”
รู้จัก “โรคม่านตาอักเสบ”
“โรคม่านตาอักเสบ” คือ การที่เนื้อเยื่อภายในลูกตาเกิดการอักเสบ โดยสามารถเกิดการอักเสบได้ทั้งส่วนหน้า ส่วนกลาง ส่วนหลัง และอาจมีการอักเสบของจอประสาทตาร่วมด้วย
การอักเสบของม่านตาแบ่งออกเป็นแบบเฉียบพลัน คือ การอักเสบอย่างรวดเร็ว และเป็นอยู่ไม่เกิน 3 เดือน และการอักเสบแบบเรื้อรัง คือ การอักเสบแบบต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือน หรือเป็นๆ หายๆ
สาเหตุของโรค
1. เกิดหลังอุบัติเหตุบริเวณลูกตา รวมถึงการอักเสบที่เกิดหลังการผ่าตัด
2. เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ ซิฟิลิส เชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อปรสิต และวัณโรค เป็นต้น
3. เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เช่น โรคออโตอิมมูนต่างๆ, SLE, โรคข้ออักเสบ เป็นต้น
4. ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
...
อาการ
1.คนไข้มักมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดตา ตาแดง ตามัว ตาสู้แสงไม่ได้ เห็นอะไรลอยไปลอยมา โดยจะเกิดขึ้นกับดวงตาข้างใดข้างหนึ่งที่เกิดการอักเสบ หรือทั้งสองตา อาจจะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน เรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ ได้
2. มีอาการตาแดงเล็กน้อยรอบๆ ตาดำ หรือตาแดงกระจายทั่วๆ ได้
3. ถ้ามีอาการอักเสบมากอาจเห็นเป็นหนองในลูกตา หรือจอตาอักเสบ
หากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้จากโรคม่านตาอักเสบเอง หรือตาบอดจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น ต้อหิน หรือต้อกระจกได้
การวินิจฉัยโรค
แพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ เพื่อหาความเป็นไปได้ของสาเหตุการเป็นโรคม่านตาอักเสบ จากนั้นจึงส่งตรวจเลือดและเอกซเรย์เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค ส่วนใหญ่จะมีการตรวจหาภาวะการอักเสบในร่างกายในกลุ่มโรคออโตอิมมูน เช่น ข้ออักเสบ SLE สะเก็ดเงิน หรือภาวะการติดเชื้อต่างๆ เช่น ซิฟิลิส ไวรัส วัณโรค ปรสิตจากสัตว์เลี้ยง รวมถึงตรวจหาโรคต่างๆ ที่อาจจะพบร่วมกับการเป็นม่านตาอักเสบได้ในกลุ่มโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การรักษา
การรักษาโรคม่านตาอักเสบ จำเป็นจะต้องรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุหรือเกิดร่วมกับการอักเสบของม่านตา กล่าวคือ แพทย์จะให้ยาเฉพาะเพื่อทำการรักษาตามสาเหตุ เช่น โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย จะให้ยาปฏิชีวนะ กรณีที่เกิดจากไวรัส จะให้ยาต้านไวรัส ส่วนการให้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบภายในดวงตา ทั้งในรูปแบบของยาหยอด ยากินหรือยาฉีด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ก็จะมีการให้ยาในกลุ่มเคมีบำบัด เพื่อเป็นการรักษาโรคอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย คนไข้ที่เป็นโรคนี้ ควรติดตามรักษาอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการรักษาดวงตาคู่นี้ไว้กับคุณไปนานๆ
การป้องกัน
ควรสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ทุกวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากดวงตามีความผิดปกติ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที ที่สำคัญคือไม่ควรซื้อยามาหยอดตาเองโดยเฉพาะยาในกลุ่มสเตียรอยด์ เนื่องจากอาจทำให้เกิดต้อหินตามมาได้เมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน
------------------------------------------
แหล่งข้อมูล
ผศ.พญ.โสมศิริ สุขะวัชรินทร์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล