ช่วงนี้ดูเหมือนอุณหภูมิทางการเมืองเริ่มกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังรัฐบาลส่งสัญญาณเปิดช่องให้มวลชน กลุ่มก้อนทางการเมือง หรือนักกิจกรรมได้เคลื่อนไหวกัน ...

ไล่เรียงกันตั้งแต่ การเปิดโอกาสจดแจ้งพรรคการเมือง กระทั่งล่าสุด มีความเคลื่อนไหวของนักกิจกรรม “คนอยากเลือกตั้ง” นำโดย นายรังสิมันต์ โรม พร้อมด้วย นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว และคนอื่นๆ โดยรวมตัวกันที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และพากันเดินทางมาที่ กองบัญชาการกองทัพบก ก่อนจะทำกิจกรรมจนถึงตอนค่ำ ซึ่งระหว่างทางก็มีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ 1. จัดเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 61 2. ยุบ คสช. และ 3. กองทัพยุติบทบาทการหนุน คสช.

...

แหล่งข่าวจากฟากรัฐบาล เปิดเผยกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยมีหน่วยความมั่นคงดูแลความเรียบร้อยอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อน มีบ้างที่กระทบกระทั่ง แต่ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ

สำหรับภารกิจของหน่วยความมั่นคงนั้น คือการดูแลประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้กระทบกระทั่งเกินความจำเป็น โดยมีหน้าที่หลัก 3 แนวทาง ประกอบด้วย

1. ดำเนินการตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ และตามคำสั่ง คสช.
2. ดูแลการชุมนุม ประสานงาน หรือเจรจาพูดคุยเพื่อหาทางออก
3. กรณีที่เป็นการดำเนินการของมหาวิทยาลัย ในรั้วมหาวิทยาลัย ก็มีกติกาของมหาวิทยาลัย โดยมีคณบดี อธิการบดี หรือจะเป็นฝ่ายกิจกรรมนิสิต คอยดูแลอยู่ หากทำผิดกติกามหาวิทยาลัย เขาต้องดูแลอยู่แล้ว

“ตราบใดที่ยังอยู่ในกรอบและกติกาของกฎหมาย ก็ไม่มีปัญหาอะไร..”

ไขคำตอบ ทำไม “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” เลือกเคลื่อนไหวในช่วงนี้..

แหล่งข่าวคนเดิม เผยว่า ที่ผ่านมา หลายฝ่ายให้ความเห็น โดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) หรือ คสช. เพราะต้องการเปิดพื้นที่ทางการเมือง ก่อนนำไปสู่โรดแม็ปการเลือกตั้ง และนี่เป็น “ช่วงผ่อนคลาย” อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเมือง โดยมีการเปิดลงทะเบียนพรรคการเมือง การเตรียมการของพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองก็มีการลงพื้นที่ สามารถมีกิจกรรมร่วมกับทางสังคม เช่น วัด ชุมชน ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่เปิดเผย และได้รับอนุญาต

ส่วนกรณีที่มีการเคลื่อนไหวนี้ คาดว่ามีความต้องการสร้างประเด็น เพื่อดึงความสนใจ โดยเฉพาะฝ่ายที่เห็นต่างกับ คสช. อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคนส่วนมากก็ยังรู้สึกกังวล โดยเฉพาะเรื่องความสงบสุขในบ้านเมือง ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นกิจกรรมของกลุ่มเฉพาะ ทั้งต่อต้านและสนับสนุน นอกจากการเมืองแล้ว จริงๆ ตอนนี้ก็มีกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมอยู่แล้ว เช่น กลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน, กลุ่มที่ดินทำกิน เป็นต้น

เปิดหน้าเล่น เดินเกมทางการเมืองเพื่อใคร..เดินเกมแรงมีสิทธิปราชัย

ทีมข่าวฯ ถามคนในรัฐบาล คสช.ว่า กลุ่มที่เกี่ยวข้องโยงใยกับการเมืองหรือไม่ แหล่งข่าว กล่าวว่า กลุ่มข้างต้น (กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง) เขาก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใหม่ๆ หรือกลุ่มการเมืองเก่าๆ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการรณรงค์ในการทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งแล้ว ถือว่าดี เพราะเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงไม่อยากเห็นการเผชิญหน้าทางการเมืองอย่างที่ผ่านมาๆ

ตรงนี้เองคือ เกราะที่ทำให้ คสช. ที่จะใช้ในการประคับประคองสถานการณ์ให้ คสช. สามารถประคับประคองสถานการณ์ไปได้ ส่วนกิจกรรมหลังจากนี้ อาจจะมีมากขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

...

ที่บอกว่า มีเชื่อมโยงกลุ่มการเมืองเก่าหรือใหม่ ในที่นี้มีการเชื่อมโยงกับ “คนนอก” ด้วยหรือไม่ ทีมข่าวฯ รีบยิงคำถาม แหล่งข่าวคนเดิมตอบแบบเคลียร์ๆ ว่า คนที่ไปชุมนุมเขาก็ประกาศตัวชัด ใส่เสื้อสีอะไร มาจากไหน จะสนับสนุนใคร “ทุกอย่างชัดเจน..เข้าใจได้” แต่ตราบใดที่เขาอยู่ในกรอบ ไม่ได้เป็นปัญหาทางความมั่นคง ก็ถือว่าสามารถทำได้

กลับกัน...หากมีหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหว ประชาชนอาจจะรู้สึกกังวลว่าอาจจะเกิดเรื่องอีกหรือไม่ ถ้าทุกอย่างมันชัด ประชาชนที่สนับสนุนเขาก็อยากมา แต่ไม่สนับสนุนเขาก็ไม่มา แต่โดยมากแล้ว สื่อจะไม่ค่อยพาดพิงตัวตน หรือเฟซบุ๊กของคนเหล่านี้ แต่จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่า ฝ่ายความมั่นคงก็ดูอยู่

...

วาทกรรม ใช้หาเสียงได้ บางเรื่องไม่เป็นความจริงแต่ยังพูดกัน..

ทั้งนี้ คนจากฟากฝั่งรัฐบาล ได้วิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ว่า เรื่องเหล่านี้มีคนเคยพูดเมื่อหลายปีก่อนว่า เกิดเหตุเผาบ้านเผาเมืองแล้วจับใครไม่ได้..เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย เพราะหลายคดีอยู่ในศาล คดีความต่างๆ ก็อยู่ในการรายงานของสื่อ แต่กลับมีคนบางกลุ่มมาพูดข้ามๆ ไปว่า “มีการยิงและทำร้ายกันแล้วจับใครไม่ได้” เรื่องนี้ไม่จริงเลย โดยเฉพาะพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่แปลก

หากเป็นอย่างนั้นจริงก็คงต้องกลับไปจุดเดิม ทั้งที่จริงแล้วคิดว่าการเมืองมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นพอสมควรแล้ว เพราะคนที่ทำผิดก็ถูกลงโทษทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีอะไร แต่การที่จะมาบอกว่า “เราเสียเวลาไปหลายปี แต่จับใครไม่ได้เลย..” มันเป็นคำพูดที่ประหลาดมาก ซึ่งก็ไม่ว่ากัน เพราะเชื่อว่านี่คือการหาเสียง และรัฐบาล คสช. ก็ใจกว้างพอที่จะไม่ว่าอะไร..

“คนที่มาส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองปกติ สนับสนุนประเด็นนี้ พรรคนั้นอยู่แล้ว เขาโปร่งใส ไลฟ์เฟซบุ๊ก เราก็ตามดูอยู่ เพื่อดูว่าเขาจะทำอะไรให้เกิดความวุ่นวายหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ดูก็ไม่มี”

...

เป้าที่แท้จริง คะแนนเสียงบริสุทธิ์ จากคนรุ่นใหม่เลือกตั้งครั้งแรก 3-5 ล้านเสียง

ทั้งนี้ แหล่งข่าวคนเดิมได้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่น่าสนใจในการเดินเกมครั้งนี้ คือ คะแนนเสียงจากนิสิตนักศึกษา และประชาชนรุ่นใหม่ที่กำลังจะได้เลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งมีมากถึง 3-5 ล้านเสียง ตรงนี้ต่างหากคือ สิ่งที่กำลังแย่งชิงกัน

การช่วงชิงคะแนนตรงนี้ จำเป็นต้องทำกิจกรรมกับกลุ่มคนอายุน้อย กลุ่มคนที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ที่ผ่านมามีการอภิปรายโจมตี คสช.อย่างเข้มข้น เพื่อที่จะ “เปิดประเด็น” โดยหวังผลในการ “หาเสียง” ให้พรรคการเมือง หรือบางส่วนอาจจะหาเสียงให้ตัวเอง หรือกระตุ้นเพื่อนๆ ให้ตื่นตัวมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนรุ่นใหม่นั้นตื่นตัวกับการเมือง ที่เราเคยได้ยินพูดว่าคนรุ่นใหม่ไม่สนใจการเมืองนั้น เป็นเรื่องไม่จริง

แสดงว่า เป้าหมายที่ถูกวางไว้หลังการเคลื่อนไหวครั้งนี้ คือ 3-5 ล้านคะแนน..แหล่งข่าวในภาครัฐคนเดิม เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น แม้ตอนนี้เพราะพรรคเก่าอาจจะดูนิ่งๆ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่อีกพรรคหนึ่งอาจจะมีฐานเสียง 10 ล้าน หรือ 7-8 ล้าน แต่สำหรับ 5 ล้านเสียงใหม่ๆ นี้ หากมีการกระตุ้นให้ตื่นตัว ก็อาจจะเป็นผลดีกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็เป็นได้

การเปิดประเด็นให้ชัด แย่งพื้นที่สื่อทุกสัปดาห์ เพื่อให้คนได้ติดตามสนใจ ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตาในการประเมินดูว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ 3-5 ล้านนี้จะเห็นคล้อยหรือไม่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร

ยังจำฝังใจ ปิดสนามบิน เผาเมือง ชัตดาวน์ เชื่อไม่มีใครอยากไปจุดนั้นอีก สิ่งที่ดีที่สุดคือ การรับฟัง

กลัวว่าจะมีการชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่ยืดเยื้อ แหล่งข่าว กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าคนไม่อยากจะกลับไป “ชัตดาวน์” หรือไปเห็นเปลวเพลิง หรือปิดสนามบิน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่เอาสิ่งนี้ เพราะถือว่ายังมีความทรงจำฝังใจอยู่ ดังนั้น หากเราช่วยกันประคับประคองเพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปจุดนั้นได้ ก็เชื่อว่าจะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งได้

ทุกอย่างถูกเริ่มต้นตั้งแต่รัฐธรรมนูญแล้ว ว่าเราจะชวนกันเดินไปข้างหน้าดีไหม.. ถึงแม้รัฐธรรมนูญ ไม่ลงตัวก็ขอให้เดินไปก่อน ตรงนี้เอง คือ “พลังเงียบ” ของคน ถึงแม้ไม่มีใครอ้างความชอบธรรมตรงนี้ได้ แต่ก็ต้องบอกว่าไม่มีใครอยากทะเลาะ และกลับไปจุดนั้นอีก

เรื่องนี้รัฐบาลก็ต้องรับฟัง และต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ด้วย เพราะการฟัง คือ สิ่งที่ดีที่สุด พยายามอย่าให้เกิดอะไรที่มันรุนแรงกว่านี้

คสช.ยังเอาอยู่ เกราะเพชร คือ พลังเงียบไม่ต้องการความรุนแรง เดินหน้าตามโรดแม็ป

ในช่วงท้าย แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวว่า ช่วงนี้ไม่มีอะไรน่ากังวล แต่จำเป็นต้องดูแลไม่ให้มีกลุ่มที่มีความก้าวร้าวหรือรุนแรง เข้ามาฉวยประโยชน์หรือโอกาส เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนให้เดินไปสู่การเลือกตั้งอย่างสงบ และตราบใดที่คนส่วนใหญ่ยังคิดแบบนี้ก็เชื่อว่าทาง คสช.ยังคงทำงานได้ กลับกันหากกลุ่มคนส่วนใหญ่คิดว่า ควรจะออกมาเดินขบวนอีก ไม่ว่าจะเป็น คสช.หรือรัฐบาลใด ก็คงดูแลได้ยาก ขณะเดียวกัน หาก คสช.มีการดำเนินการที่ไม่ตึง และไม่หย่อนเกินไป ก็คาดว่าน่าจะอยู่ได้

“ท่านนายกฯ ตั้งใจแบบนั้น และมีการประกาศชัดเจนแล้วในส่วนของฝ่ายบริหาร พร้อมกับได้ประกาศไปยังต่างประเทศแล้วด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับอีกหลายฝ่าย อาทิ ฝ่ายเลือกตั้ง อย่าง กกต. ฝ่ายนิติบัญญัติ การแก้กฎหมาย และฝ่ายความมั่นคง เพื่อประเมินว่าในพื้นที่แต่ละแห่งมีความพร้อมหรือไม่ จะมีการเผชิญหน้ากันอีกหรือไม่ หากทุกอย่างลงตัว ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามโรดแม็ป แต่ถ้าไม่พร้อมจริงๆ คสช.ก็จำเป็นต้องอธิบายว่าเป็นเพราะอะไร..” แหล่งข่าวจากฝ่ายรัฐบาล กล่าวทิ้งท้าย.. 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน