“เอี้ย เอี้ย เอี้ย!...” เสียงนักเรียนจู่โจม รุ่นที่ 51 ร้องคำรามดังกังวานไปทั่วแผนกวิชาการรบพิเศษ โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร

วันเวลาที่นักเรียนจู่โจม รุ่นที่ 51 รอคอย เดินทางมาถึงอย่างเป็นทางการแล้ว “วันรายงานตัวเข้ารับการศึกษา” หรือเป็นที่รู้กันในแวดวงผู้กล้าว่า นี่คือวันรับน้อง!

...

นักเรียนหลายคนเตรียมอุปกรณ์สารพัดสิ่งจนดึกดื่น หลายคนเตรียมความพร้อมเบ็ดเสร็จเรียบร้อยมาแล้วหลายวัน แต่บางคนก็ไม่แคล้วนอนไม่หลับ เพราะความตื่นเต้น ความวิตกกังวล หรือแม้กระทั่งความกลัวที่ครอบงำความรู้สึกนึกคิด ณ ขณะนั้น...

“เอี้ย เอี้ย เอี้ย...” เสียงนักเรียนจู่โจมร้องคำรามดังก้องแผนกฯ นักเรียนทุกคนทั้งวิ่งทั้งแบกกระเป๋าสัมภาระหนักไม่ต่ำกว่า 30 กิโลกรัม “เสียงดังกว่านี้ไม่ได้หรือไง!?” ครูฝึก ตะโกนถามหาความแข็งแกร่งจากน้ำเสียงของลูกศิษย์

และแล้วสัญญาณของความหฤโหด ความทรหด ความรู้สึกเหนื่อยยากที่สุดในชีวิต ก็ได้เริ่มต้นขึ้น!...

17 ตุลาคม 2560 อากาศของเช้าวันน้ีเหมือนจะกลั่นแกล้งให้เหล่านักเรียนกว่าร้อยชีวิต ต้องเหนื่อยยากมากขึ้นไปอีก เพราะแสงแดดที่อยู่เหนือหัวนักเรียนขึ้นไปนั้น ช่างจ้ากระหน่ำไม่ปรานีตั้งแต่ยังไม่ทันจะเข้าช่วงสาย

ก่อนที่นักเรียนจะต้องไปพบเจอกับการฝึกอันแสนทรหดนั้น กระบวนการแรกที่ทุกคนจะต้องทำ ก็คือ การจ่ายเงินประกันความเสียหายในระหว่างทำการฝึก โดยยอดเงินที่นักเรียนทุกคนต้องชำระ คือ 2,000 บาท

...

พ.ท.สุรพงษ์ โคตะโน อาจารย์แผนกวิชาการรบพิเศษ กองการศึกษา โรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า อธิบายในเรื่องนี้อย่างละเอียดว่า ในกรณีที่นักเรียนจู่โจมมีความประมาทเลินเล่อ จนทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกชำรุดเสียหาย ทางแผนกมีความจำเป็นที่จะต้องนำเงินจำนวนดังกล่าว มาซื้ออุปกรณ์ชิ้นใหม่เพื่อเป็นการทดแทนของเก่าที่ชำรุด โดยคิดตามราคาจริง

“นอกจากนี้ นักเรียนก็จะนำเงินอีกส่วนหนึ่งมาฝากไว้ที่แผนกวิชาการรบพิเศษฯ เพราะตลอดระยะเวลา 10 สัปดาห์ต่อเนื่อง นักเรียนจะไม่มีโอกาสได้ปล่อยกลับบ้าน หรือไปสถานที่อื่นใดที่อยู่นอกเหนือจากการฝึก ดังนั้น หากนักเรียนเกิดขาดเหลือ หรือใช้งานสิ่งจำเป็นใดๆ จนหมด นักเรียนก็สามารถเสนอกับทางครูฝึก เพื่อนำเงินจำนวนนี้มาจัดซื้อสิ่งของที่จำเป็นให้กับนักเรียนได้” พ.ท.สุรพงษ์ กล่าวถึงระเบียบกติกา

...

อย่างไรก็ตาม หากเงินทั้ง 2 ส่วนของนักเรียนจู่โจม ยังมียอดคงเหลือ ทางแผนกวิชาการรบพิเศษฯ ก็จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคืนให้ ภายหลังจากที่นักเรียนจู่โจมประดับเครื่องหมายหลักสูตรจู่โจม หรือว่าเสือคาบดาบแล้ว

เมื่อการดำเนินการทางเอกสาร และการดำเนินการทางธุรการต่างๆ เสร็จสิ้น สิ่งที่นักเรียนต้องพบเจอต่อไปในวันนี้ก็คือ การทดสอบเตรียมความพร้อมก่อนเปิดการศึกษา หรือที่หลายคนเรียกขานวันนี้ว่า “วันรับน้อง”...

...

นักเรียนจู่โจมรุ่นที่ 51 แบกสัมภาระอันหนักอึ้งขึ้นเหนือหัว พร้อมกู่ร้อง “เอี้ย เอี้ย” ตลอดการเดินเท้าหลายร้อยเมตร หลายคนฟิตแทบจะไม่พบเห็นความอ่อนล้าในใบหน้านั้น แต่บางคนเริ่มหน้าซีด ปากซีด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกมาทั่วหน้าท่วมร่าง

และวินาทีต่อไปของนักเรียนจู่โจมทุกคนก็คือ "การฝากยศ" เพราะก่อนที่นักเรียนทุกคนจะเข้ารับการศึกษาจากทางหลักสูตรฯ นักเรียนทุกคนล้วนมาจากชั้นยศที่แตกต่างกัน บางคนมาจากชั้นสัญญาบัตร ในขณะที่ บางคนมาจากชั้นประทวน แต่สำหรับหลักสูตรจู่โจมอันทรงเกียรตินี้ ทุกคนต้องเท่าเทียม!


...เพราะอดีตอาจมี “รุ่นพี่” และ “รุ่นน้อง” แต่ต่อไปนี้ จะมีเพียงแค่ “ลูกศิษย์” และ “ครู” เท่านั้น...

เมื่อขั้นตอนของการฝากยศเป็นที่เสร็จสิ้นตามกระบวนการแล้วนั้น ขั้นตอนต่อไปสำหรับวันนี้ก็คือ “การทดสอบเตรียมความพร้อมก่อนเปิดการศึกษา”

ครูฝึกสั่งการเสียงดังลั่น น่าเกรงขาม...นักเรียนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดว่องไว ไม่ว่าจะคลานสูงไปตามพื้นซีเมนต์อันแผดเผา ม้วนหน้าไปมานับร้อยตลบ หัวปักพื้นชวนน่ามืด หรือแม้กระทั่งกางมุ้งกันในกลางวันแสกๆ ความโหดหินของหลักสูตรจู่โจม ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ!

แดดบ่ายสาดแสงแรงกล้า เพียงแค่ยืนนิ่งๆ กลางลานก็ชวนหน้ามืดวิงเวียน แต่นักเรียนจู่โจมรุ่นที่ 51 ต้องเข้าทดสอบความพร้อมของร่างกายท้าแดด ท้าทายกำลังกายของตัวเองต่อไป โดยครูฝึกได้เตรียมการฝึกให้แก่นักเรียนไว้ทั้งหมด 3 สถานี ดังต่อไปนี้

สถานีที่ 1 การทดสอบความพร้อมในการกลิ้งล้อยาง
ในสถานีนี้ นักเรียนจะต้องจับคู่กันล้อละ 2 คน ซึ่งทั้งคู่มาจากต่างที่ต่างถิ่น และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ได้รับภารกิจกลิ้งล้อยางไปให้ถึงที่หมาย ตามคำสั่งที่ได้รับมาจากผู้บังคับบัญชา

“การฝึกในสถานีนี้ เป็นการฝึกความสามัคคีเบื้องต้น เพราะผู้เข้ารับการฝึกจะต้องทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องประสานลงตัว” พ.ท.สุรพงษ์ อธิบายถึงวัตุประสงค์

สถานีที่ 2 แบกซุง
ในสถานีนี้ เป็นการทดสอบความพร้อมของผู้เข้ารับการศึกษาในแง่ของการทำงานเป็นทีม โดยนักเรียนทั้งหมด 10 ชีวิต จะต้องช่วยกันแบกซุงไปตามทิศทางต่างๆ ตามที่ครูฝึกกำหนด หากมีใครคนใดคนหนึ่งกินแรงเพื่อน ก็จะทำให้เพื่อนๆ อีกหลายชีวิตต้องแบกรับน้ำหนักของซุงมากขึ้นไปอีก

“ในขณะเดียวกัน เราต้องการดูความพร้อมของผู้เข้ารับการศึกษาว่า ภารกิจที่ได้ให้ไปนั้น เขามีความพร้อมในการรับคำสั่งมากขนาดไหน หากนักเรียนเตรียมความพร้อมทางร่างกายมาเป็นอย่างดี ก็จะสามารถปฏิบัติตามสิ่งที่ครูฝึกออกคำสั่งได้โดยไร้ปัญหา” พ.ท.สุรพงษ์ ขยายความ


สถานีที่ 3 การปฏิบัติตามคำบอกคำสั่ง

ในสถานีนี้ ทุกคนจะปฏิบัติพร้อมกันทั้งหน่วย โดยมีครูฝึกเป็นผู้ออกคำสั่งให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะสังเกตว่า การตอบสนองของนักเรียนในช่วงเวลาที่ร่างกายของพวกเขา ร้อนสุดขีด เหนื่อยสุดขีด หิวสุดขีด พวกเขาจะสามารถรับภารกิจที่เหนื่อยยากเหล่านี้ได้หรือไม่


ทว่า การฝึกทั้ง 3 สถานี ได้ดำเนินเรื่อยไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ ซึ่งเข้าสู่ช่วงภารกิจที่ปฏิบัติกันมาต่อเนื่องยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น นั่นก็คือ “มนุษย์ทองคำ”...


“มนุษย์ทองคำ”
สำหรับนักเรียนจู่โจม ก็คือ การนำน้ำมันพืชผสมเข้ากับฝุ่นพรางสีดำ และนำมาทาให้ทั่วร่างกายของนักเรียน ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการ “แนะนำสถานที่” ซึ่งหนึ่งในสถานที่สำคัญที่นักเรียนทุกคนต้องเดินเท้าไปสักการะ ก็คือ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช...

สิ่งที่ผู้กล้าเหล่านี้ต้องพบเจอต่อไป จะโหดหิน เหนื่อยยากเพียงใด ติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้!

  • ติดตามรายงานพิเศษตอนอื่นๆ

RANGER ฅนเหนือฅน EP.1 กว่าจะเป็น ‘เสือคาบดาบ’ แกร่งกำยำ ฝ่าด่านอรหันต์สุดโหด!

RANGER ฅนเหนือฅน EP.3 เสี่ยง เสียว! ไต่จาก ฮ. ลงดิน นักรบกล้าตาย ชีวิตลูกผู้ชายจู่โจม